ทว่ากระทั่งตอนนี้ซูฉางอันก็ยังเลื่อนพลังขึ้นไปอีกระดับไม่ได้อยู่ดีหลังปราณดาราทั้งเก้าผสานจนกลายเป็หนึ่งร่างกายของเขาก็เหลือปราณดาราอยู่เพียงดวงเดียวเท่านั้น แต่ปราณดาราของเขาในตอนนี้รวบรวมพลังในปราณดาราทั้งเก้าเข้าด้วยกันแล้ว และเมื่อหกเดือนก่อน ในตอนนั้นลำพังแค่พลังแห่งดาบและเพลิงศักดิ์สิทธิ์เขาที่มีพลังต่ำเตี้ยเรี่ยดินก็สามารถเอาชนะนักรบระดับเก้าดาราแบบเจ็ดต่อหนึ่งได้แล้ว...
ดังนั้นแม้ซูฉางอันในตอนนี้จะมีปราณดาราอยู่เพียงดวงเดียวจึงยังมีพลังอยู่ในระดับหลอมจิตเท่านั้นแต่พลังที่แท้จริงของเขาแข็งแกร่งมากจนสามารถต่อกรกับนักรบระดับอรุณรุ่งได้เสียด้วยซ้ำและสิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในที่สุดปัญหาเื่ธาตุพลังที่ขัดแย้งกันในร่างของเขาก็หมดสิ้นไปเสียทีเขาเพียงต้องฝึกตัวเองต่อไปด้วยวิธีเดิมจนกระทั่งสะสมปราณดาราครบทั้งเก้าดวงเท่านั้น เพียงเท่านี้ซูฉางอันก็ก้าวขึ้นไปเป็นักรบระดับเก้าดาราได้แล้ว สำหรับซูฉางอันแล้วนี่นับเป็เื่ที่น่ายินดีเหลือเกิน
แม้เื่นี้จะน่ายินดีทว่าตลอดสองวันต่อจากนั้น เขากลับรู้สึกไม่มีความสุขเลยสักนิดเพราะั้แ่วันนั้นเป็ต้นมา เขาก็ต้องนอนติดเตียงนานถึงสองวันเลยทีเดียว
เขาพยายามจะอธิบายให้หญิงงามทั้งสามเข้าใจว่าอาการาเ็ที่เคยมี ได้รับการรักษาจากพลังที่น่าอัศจรรย์นั้นจนหายขาดแล้วแต่พวกนางยังคงไม่พอใจในเื่วันนั้น ที่ตนทำตามใจตัวเองอยากเลื่อนพลังมากจนทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง แล้วเช่นนี้มีหรือที่พวกนางจะฟังคำอธิบายจากเขา
ครั้งนี้หญิงทั้งสามที่ไม่ถูกกันมาโดยตลอดกลับเห็นพ้องต้องกันอย่างหาชมได้ยากพวกนางขังซูฉางอันเอาไว้ในห้องไม่ให้ออกไปไหนแล้วบังคับให้รักษาอาการาเ็ที่ไม่มีจริงอยู่แต่ในห้องเท่านั้น...
ซูฉางอันนั่งอยู่ริมเตียงเขาพิงแผ่นหลังลงบนผนังอย่างเบื่อหน่าย พลางทอดมองออกไปเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย
เขากำลังคิดว่าพลังที่พุ่งเข้ามาในร่างของตนอย่างกะทันหันในวันนั้นเป็อะไรกันแน่ในตอนแรกเขาคิดว่าฉู่ซีฟงกับอวี้เหิงแอบช่วยเหลือเขาเสียอีกแต่ต่อมาเขาก็ได้รับคำตอบคือการปฏิเสธจากคนทั้งสอง แน่นอนเขารู้เื่ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นจากหญิงงามทั้งสามแล้วจึงพอจะเดาได้ว่าพลังลึกลับนั้น ต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประหลาดในคืนนั้นเป็แน่แต่เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้นหรือมีคนคอยให้ความช่วยเหลือตนอย่างลับๆ?
ซูฉางอันลองคิดอย่างละเอียดว่าในบรรดาคนที่ตนรู้จักใครที่เก่งกาจจนพอจะทำเื่เช่นนี้ได้ นอกจากฉู่ซีฟงกับอวี้เหิง ก็คงจะเหลือแต่วู๋ถงคนเดียวเท่านั้นแต่ตอนนี้วู๋ถงก็อยู่ไกลเป็พันๆ ลี้... ซูฉางอันครุ่นคิดอยู่นานไม่เข้าใจว่าวู๋ถงใช้วิธีใด เหตุใดถึงทำเช่นนั้นได้
อย่างไรเสียนี่ก็นับเป็เื่ดีดังนั้นในเมื่อคิดหาคำตอบไม่ได้ ซูฉางอันจึงเลิกคิดในที่สุด
แอด...
ประตูห้องถูกเปิดออกตามด้วยร่างของสตรีในอาภรณ์สีเหลือง นางประคองบางอย่างเอาไว้ด้วยสองมือและก้าวเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวัง
“หรูเยว่” ซูฉางอันรีบเดินลงมาจากเตียงแต่เมื่อเห็นว่าสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้ายกเข้ามาพร้อมกันเป็อะไรคนหนุ่มก็มีสีหน้าขมขื่นลงทันตา
มันเป็ยาน้ำที่ทำจากสิ่งใดก็ไม่อาจทราบได้จากที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้บอกมาดูเหมือนของพวกนี้จะเป็ยาหายากที่นางนำออกมาจากพระราชวังด้วยกันทั้งสิ้นซึ่งของเหล่านี้นับเป็ของที่ไม่อาจประเมินค่าได้เลยในโลกภายนอกแต่เพราะนางทั้งสามไม่รู้เื่การปรุงยา ทั้งยังทำอาหารไม่เป็ จึงเทของดีต่างๆที่ได้มาลงไปในหม้อเสียทีเดียว จากนั้นก็ต้มจนได้ยาน้ำในมือฝานหรูเยว่มานั่นเอง
เขาเคยดื่มยาน้ำเช่นนี้มาหลายครั้งแล้วรสชาติของมัน ช่างเป็อะไรที่ยากจะพรรณนาเสียจริงแต่ทุกครั้งที่เห็นหญิงทั้งสามเดินเข้ามาหาด้วยสายตาเป็ห่วงและคาดหวังเขาก็ทนกัดฟัน แล้วยกชามยาน้ำขึ้นมากระดกจนหมดในรวดเดียว
“คุณชาย ท่านฟื้นแล้วรึ?” ฝานหรูเยว่กะพริบดวงตาที่แสนงดงามปริบๆพูดไปพลาง ก็มองซูฉางอันไปด้วย
“ข้ายังไม่ได้นอนเลยต่างหาก...” ซูฉางอันพูดอย่างจนปัญหา จากนั้นก็มองไปยังพื้นที่ด้านหลังฝานหรูเยว่ราวกำลังมองหาอะไรก่อนจะถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ทำไมศิษย์พี่กับเซี่ยนจวินไม่มาด้วยกันละ?”
โดยปกติแล้วในเวลานี้กู่เซี่ยนจวินกับเซี่ยโหวฟ่งอวี้จะมาเยี่ยมตนพร้อมกับฝานหรูเยว่เสมอแต่วันนี้กลับมีเพียงฝานหรูเยว่แค่คนเดียวเท่านั้น ซูฉางอันจึงอดสงสัยไม่ได้
เมื่อได้ยินดังนั้นฝานหรูเยว่ก็มองซูฉางอันอย่างคาดโทษเล็กน้อย “่ที่ผ่านมาคุณชายซูเอาแต่สนใจเื่การฝึกวิชา มีเวลาไปสนใจอย่างอื่นเสียที่ไหน?”
ซูฉางอันชะงักไปเล็กน้อยจากนั้นจึงเกาหัวอย่างเขินอาย แล้วพูดขึ้น “่ที่ผ่านมามีเื่อะไรเกิดขึ้นรึ?”
“ดื่มยาน้ำนี่ก่อนข้าถึงจะบอก” ฝานหรูเยว่กะพริบตาปริบๆ อย่างทะเล้นจากนั้นก็ส่งชามยาน้ำมาเบื้องหน้าซูฉางอันด้วยรอยยิ้ม
เดิมที นางก็มีรูปโฉมงดงามอยู่แล้วยิ่งแสดงท่าทางเช่นนี้ ความงามบนใบหน้าก็ถูกเปิดเผยออกมาจนหมดแล้วหากไม่ใช่เพราะรู้จักและอยู่ร่วมกันมานานหลายเดือนเกรงว่าซูฉางอันคงจะถูกรอยยิ้มตรงหน้าสะกดจนสติหลุดลอยไปแล้ว
ซูฉางอันมองยาสีประหลาดตรงหน้าจากนั้นก็มองดูฝานหรูเยว่ที่ยังคงโปรยเสน่ห์ออกมาไม่หยุด เขากัดฟัน ปิดจมูกและอดกลั้นต่อรสชาติอันน่าสยดสยองที่ส่งผ่านมาทางลิ้นัั แล้วกระดกยาน้ำจนหมดสิ้นภายในรวดเดียว
เขาวางชามว่างเปล่าให้พ้นทางในสภาพเหงื่อท่วมร่างจากนั้นก็หายใจหอบเพื่อดูดอากาศเข้าไปในปอดอย่างต่อเนื่องในบางครั้งเขาก็คิดว่าหากต้องดื่มยาน้ำที่มีรสชาติเช่นนี้ สู้ให้เขาไปสู้กับอินซานโจ๋วหรือหลงเซี่ยงจวินอีกครั้งยังจะดีเสียกว่า
“คุณชาย!” ฝานหรูเยว่มองไปยังซูฉางอันที่มีเหงื่อท่วมร่างแล้วดุด้วยเสียงไพเราะ ขณะที่มือก็หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาจากที่ใดก็ไม่ทราบจากนั้นก็ยื่นมันไปที่หน้าผากของซูฉางอัน และซับเหงื่อบนนั้นให้อย่างอ่อนโยนจนใบหน้าของเขากลับมาสะอาดและเป็ระเบียบเรียบร้อยอีกครั้ง
เมื่อได้ดมกลิ่นหอมที่ไม่รู้ว่ามาจากผ้าเช็ดหน้าหรือตัวของฝานหรูเยว่กันแน่จู่ๆ ซูฉางอันก็รู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขณะที่ใบหน้าก็ประกายสีแดงระเรื่อออกมาอย่างอดไม่ได้เขาถอยไปทางด้านหลังเล็กน้อยอย่างทำตัวไม่ถูก ต้องเรียบเรียงคำพูดอยู่นานกว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้ “เ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่า่ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฝานหรูเยว่คล้ายจะเคยชินกับนิสัยขี้อายของซูฉางอันไปแล้วนางเก็บผ้าเช็ดหน้ากลับเข้าที่ จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “ข้าไม่รู้รายละเอียดมากหรอกแค่ได้ยินองค์หญิงกับแม่นางกู่พูดถึงบนโต๊ะอาหารเท่านั้น เื่แรกที่พวกนางพูดถึงเป็เื่ของมณฑลเหลียงโจในดินแดนตะวันตก ดูเหมือนเมื่อเร็วๆ นี้เผ่าหนึ่งของชาวหมานมีชื่อเสียงโด่งดังเป็อย่างมาก ว่ากันว่าหัวหน้าเผ่าคนนี้ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิของชาวหมาน ทั้งยังสังหารแม่ทัพของต้าเว่ยไปมากกว่าสิบคนแล้วนอกจากนี้ หัวหน้าเผ่าคนนี้ยังยกทัพโจมตีจนด่านเซียวหู่แตกพ่ายตอนนี้ก็ยกทัพเข้าไปล้อมเมืองหลายหยุนเอาไว้อีกที่องค์หญิงเร่งกลับพระราชวังอย่างกะทันหัน ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเื่นี้”
“แล้วกู่เซี่ยนจวินละ? นางไปไหน?” ซูฉางอันถามขึ้นอีก
ฝานหรูเยว่ส่ายหน้า “แม่นางกู่ไปจัดการอีกเื่ที่นอกเมืองฉางอันแล้ว”
“เื่อะไร?” ซูฉางอันชะงักนิ่งไปเขาจำได้อย่างชัดเจนว่าตระกูลกู่ต้องลำบากขนาดไหนกว่าจะส่งนางเข้ามาในเมืองฉางอันได้เพราะเห็นว่าเมืองนี้เป็เมืองที่องค์จักรพรรดิทรงประทับอยู่ ทั้งยังมีนักรบแห่งดาราจักรปกปักอยู่หลายคนจึงคิดว่านางจะปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่ แล้วเื่ใดกันหนอที่ทำให้นางยอมเสี่ยงชีวิตออกไปจากเมืองฉางอันเช่นนี้?
“ประมาณหลายวันก่อนเมืองหลานหลิงที่อยู่ข้างเมืองฉางอันเกิดเื่ขึ้น คนในเมืองนั้นถูกฆ่ายกเมืองไม่ว่าจะเป็เด็ก คนแก่ หญิงหรือชาย ไม่มีใครรอดชีวิตอยู่เลยสักคนไม่รู้ว่าพวกเขาไปมีเื่กับพวกโจรป่าหรือว่าอย่างไรในเมืองนั้นมีเศรษฐีอยู่ครอบครัวหนึ่ง ได้ข่าวว่าเศรษฐีคนนั้นเป็คนสกุลกู่เหมือนกันซึ่งน่าจะเป็ญาติห่างๆ ของคุณหนูกู่... องค์จักรพรรดิทรงกริ้วมากถึงกับส่งยอดนักปราบโจรโกซานหยุนลงไปสืบเื่นี้ด้วยตัวเองแม่นางกู่จึงร่วมเดินทางไปพร้อมกัน”
“อย่างนั้นรึ” ซูฉางอันพยักหน้าเป็เชิงตอบรับก่อนคิ้วจะเริ่มขมวดเข้าหากัน เท่าที่เขารู้จักกู่เซี่ยนจวินสิ่งที่ทำให้นางรีบร้อนเดินทาง โดยไม่มีเวลาแม้แต่จะกล่าวร่ำลาเช่นนี้ต้องไม่ได้เป็เพียงเพราะเกิดเื่กับญาติห่างๆ แน่ๆ
“ยังมีอีกเื่...” จู่ๆ ฝานหรูเยว่ก็กล่าวขึ้นอีกแต่ครั้งนี้ จู่ๆ นางก็ลดเสียงให้เบาลง จากนั้นก็ก้มหน้าลงต่ำทั้งยังดึงชายเสื้อมาจับเอาไว้คล้ายทำตัวไม่ถูก ไม่ต่างไปจากเด็กที่ทำความผิดเลย
เมื่อได้เห็นท่าทางของนางซูฉางอันก็นึกขบขันขึ้นในใจ จึงถามออกไปอีกครั้ง “ยังมีเื่อะไรอีกรึ?”
“ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือไม่” ฝานหรูเยว่พูดด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
“ควรไม่ควรอะไรกัน พูดมาเถอะ” ซูฉางอันกล่าวระคนหัวเราะ
ดูเหมือนฝานหรูเยว่ยังคงลังเลอยู่ไม่น้อยนางก้มหน้าลงต่ำ แล้วครุ่นคิดอยู่นาน กว่าจะยอมเปล่งเสียงออกมาในที่สุด “เมื่อครึ่งเดือนก่อนหลงเซี่ยงจวินไปที่สำนักปาฮวง”
“หืม?” ซูฉางอันชะงักไปเล็กน้อย “เื่นี้รึ?”
เขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรทำไมฝานหรูเยว่ถึงไม่กล้าบอกเื่นี้กับเขา?
“อืม” ฝานหรูเยว่ก้มหน้างุด “เขาใช้คำขอของคุณชายนำไน่เหอออกมาจากสำนักปาฮวง”
“ไน่เหอ?” ซูฉางอันขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้งตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้าสำนักเทียนหลานเป็วันแรกอีกแล้วย่อมรู้เื่ต่างๆ ภายในเมืองฉางอันอยู่บ้าง
ไน่เหอเป็อาวุธวิเศษของสำนักปาฮวงเป็กระบี่ที่หนึ่งในผู้ก่อตั้งสำนักปาฮวงทิ้งเอาไว้ให้ ว่ากันว่ามันเป็กระบี่ที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจที่ทำขึ้นจากกระดูกของคนตายในยมโลกและถูกหลอมทีู่เาไฟในแดนตะวันตกของชาวหมานเป็เวลาสี่สิบเก้าวันเลยทีเดียว
มีตำนานกล่าวว่าเมื่อใดที่กระบี่ไน่เหอปรากฏ ผู้พบเห็นเป็อันต้องลงไปดื่มน้ำเบญจรสในนรกทุกรายแค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้ว ว่ากระบี่นี้ทรงพลังมากขนาดไหน
อาวุธที่ล้ำค่ามากขนาดนี้เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าสำนักปาฮวงจะมอบมันให้กับคนที่เป็จอมดาราในงานหลอมดาวเพื่อทำตามคำสัญญาจริงๆ?
ซูฉางอันขมวดคิ้วและนิ่งเงียบอยู่นานทำให้ฝานหรูเยว่รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที คิดว่าซูฉางอันกำลังรู้สึกโกรธจึงะเิความกระวนกระวายออกมาในใจ นางถามขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงแ่ “คุณชายซู ท่านกำลังโกรธข้ารึ?”
ซูฉางอันได้สติกลับมาในที่สุดเขามองไปยังฝานหรูเยว่ด้วยความฉงนใจเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “โกรธ? ทำไมข้าต้องโกรธเ้าด้วย?”
ฝานหรูเยว่ยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้นนางพูดด้วยเสียงเบาหวิว “หากไม่ใช่เพราะข้ากระบี่เล่มนั้นก็ต้องตกเป็ของท่าน”
ซูฉางอันหลุดหัวเราะออกมาแล้วส่ายหน้า พลางตบดาบที่ข้างตัว แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ข้าจะเอากระบี่ไปทำไมกันในเมื่ออาวุธที่ข้าชอบเป็ดาบ”
บางทีอาจเป็เพราะน้ำเสียงของซูฉางอันฟังดูไม่ใส่ใจเอาเสียเลยหรืออาจเป็เพราะคำพูดของเขาฟังดูมีปัญหาอยู่แล้ว ดังนั้น หลังสิ้นเสียงกล่าวฝานหรูเยว่ก็เงยหน้าขึ้นไปมองซูฉางอันอย่างอดไม่ได้ สายตาที่มองไปคล้าย้าจะจับรายละเอียดบางอย่างจากใบหน้าของคนหนุ่ม แต่นางก็ต้องผิดหวังเพราะสายตาของซูฉางอันในตอนนี้ ทั้งใสสะอาดและบริสุทธิ์ไม่ต่างไปจากลำธารบนยอดเขาสูงเลย ไม่ได้แฝงไปด้วยอารมณ์ หรือความรู้สึกใดๆเลยแม้แต่น้อย
นางไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าซูฉางอันกำลังคิดเห็นสิ่งใดอยู่กันแน่ ไน่เหอล้ำค่าถึงเพียงนี้เื่นี้เกี่ยวข้องกับการที่เขาใช้ดาบ หรือกระบี่เป็อาวุธอย่างไรกัน? ต่อให้จะไม่ได้ใช้แต่หากนำไปถวายให้องค์จักรพรรดิละก็ เขาสามารถเลื่อนขั้นไปเป็เจว๋ เป็อ๋องหรือโหวเยได้สบายๆ เสียด้วยซ้ำ
นางกำลังจะพูดบางอย่างออกไปอยากเตือนซูฉางอันว่ากระบี่เล่มนั้นล้ำค่ามากเพียงไร แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆฝานหรูเยว่ก็คิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ตอนที่เด็กหนุ่มตรงหน้าก้าวออกมาจากฝูงชนแล้วเปล่งเสียงกังวานขึ้นต่อหน้าชนชั้นสูงทั้งหลาย “ทำแบบนี้ไม่ถูก” ในตอนที่เขาพูดคำๆนี้ออกมา สายตาของเขาก็ใสสะอาด ไม่ต่างไปจากตอนนี้เลย
จู่ๆนางก็ประกายสีแดงระเรื่อขึ้นทางใบหน้า คำพูดที่ติดอยู่ที่ปากถูกกลืนลงคออีกครั้งเพราะนางรู้ดีว่าต่อให้ซูฉางอันจะรู้ หรือไม่รู้ถึงความล้ำค่าของกระบี่เล่มนั้นไม่ว่าอย่างไรคำตอบของเขาก็ยังเหมือนเดิมอยู่ดี
จู่ๆ นางก็ประกายรอยยิ้มออกมาฝานหรูเยว่มองไปยังซูฉางอัน ก่อนดวงตาจะมีน้ำใสๆ รื้นขึ้นอย่างกะทันหัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้