เกิดใหม่อีกครั้ง สู่ช่วงวันวานแสนมั่งคั่งในยุค 70 (จบแล้ว)

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

     เมื่อรู้ว่าได้ไปรับยุวปัญญาชนทำให้เจิ้งเจวียนดีใจอย่างยิ่ง ครั้นเธอทานข้าวเสร็จก็ยกอ่างน้ำเข้าไปในห้อง ล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาด ก่อนค้นกล่องรื้อตู้หาเสื้อผ้าดูดีมาใส่

        เจิ้งหยวนโกรธไม่น้อย จึงอดดุคนเป็๞น้องสาวไม่ได้ “แกก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นยุวปัญญาชน จำเป็๞ต้องทำแบบนี้ด้วยหรือไง?”

        เจิ้งเจวียนค้นเสื้อเชิ้ตลายดอกตัวหนึ่งออกมาทาบบนตัว ก่อนหันหน้าไปเถียงเจิ้งหยวน “ยุวปัญญาชนที่เพิ่งมาจากในเมืองไม่เหมือนยุวปัญญาชนที่อยู่ในชนบทมานานพวกนั้นนี่นา”

        เมื่อได้ยินคำตอบ เจิ้งหยวนถึงกับกลอกตา “แล้วมันแตกต่างกันตรงไหนล่ะ?”

        แต่ทว่าเจิ้งเจวียนกลับยิ้มระรื่น “ยุวปัญญาชนพวกนั้นอยู่ในชนบทมานานจะมีกลิ่นชาวนาติด ส่วนยุวปัญญาชนที่เพิ่งมาไม่เหมือนกัน อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ยังมีกลิ่นอายคนเมืองอยู่”

        เจิ้งหยวนหมดคำจะพูด “กลิ่นอายคนเมืองเป็๞ยังไง? กลิ่นหอมหรือเหม็นล่ะ?”

        เจิ้งเจวียนเอียงศีรษะและเชิดคางขึ้น “กลิ่นทันสมัยต่างหากละ! ยังไงก็ไม่เหมือนกัน” เธอเอ่ยขึ้นอีก “พี่ พี่ว่าฉันใส่ตัวนี้เป็๲ยังไงบ้าง ดูดีไหม?”

        เจิ้งหยวนปรายตามองเสื้อผ้าตัวนั้นอย่างเกียจคร้าน มันเป็๞เสื้อผ้าเก่าของเธอเอง เธอใส่ด้วยความระมัดระวัง จึงไม่มีรอยปะชุนสักจุด แล้วยังมีลูกไม้เล็กๆ เหลืออยู่ตรงขอบกระดุมเสื้อด้วย เจิ้งหยวนให้เจิ้งเจวียนไปหลังกลับมาเกิดใหม่ เจิ้งเจวียนชอบมาก ทะนุถนอมมันอยู่ตลอด ไม่เคยใส่ลงทำนาเลยสักครั้ง แถมตอนนี้เจิ้งเจวียนยังอายุเพิ่งสิบห้า เรียกว่าโตเป็๞สาวแล้ว เอวเป็๞เอว สะโพกเป็๞สะโพก หน้าอกค่อนข้างอวบอิ่ม เธอไม่ค่อยลงแปลงนาด้วย ผิวเลยยังขาวผ่อง พอถักเปียสองข้าง สวมเสื้อเชิ้ตตัวเล็กๆ ทำให้มีกลิ่นอายของนักเรียนเรียบร้อยมีมารยาท

        แต่เจิ้งหยวนมองอย่างไรก็ขัดหูขัดตาอยู่ดี “แกจะแต่งตัวสวยไปทำไม? ไม่ได้ไปนัดบอดเสียหน่อย”

        ไม่ไปนัดบอดแล้วแต่งตัวดีๆ ไม่ได้หรือ? อีกอย่าง ดีร้ายอย่างไรเจิ้งเจวียนก็เป็๞สาวน้อยวัยแรกแย้ม ครานี้ยังไปรับยุวปัญญาชนด้วย หากในกลุ่มยุวปัญญาชนมีคนหน้าตาดี ก็ต้องสร้างความประทับใจให้คนเขาไว้สิ บางทียุวปัญญาชนอาจจะชอบเธอก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ? เจิ้งเจวียนวาดแผนการไว้ในใจ แต่พอโดนเจิ้งหยวนพูดใส่หน้าเธอก็อับอายขึ้นมาและมองพี่สาวตาขวาง “พี่ พูดอะไรเนี่ย!”

        เจิ้งหยวนเห็นท่าทางเก้อกระดากของเธอก็คิดว่าแย่แล้ว เจิ้งเจวียนวางแผนไว้จริงๆ ด้วย! เธอลุกพรวดทันทีและจ้องเจิ้งเจวียนเขม็งไม่ต่างกัน “เจวียนจื่อ แกอย่าทำอะไรโง่ๆ นะ ยุวปัญญาชนพวกนั้นล้วนมาจากเมืองเอกของมณฑล เราอยู่ไกลปืนเที่ยง ไม่รู้กำพืดพวกเขาดี แกจะรู้นิสัยเขา รู้ว่าคนในครอบครัวเขาใจคอเป็๲แบบไหนได้ยังไง? หากคนพวกนั้นดูถูกคนชนบทอย่างเราๆ ขึ้นมาล่ะ? ใครจะไปรู้ล่ะ ถ้ายุวปัญญาชนพวกนั้นมีโอกาสกลับเข้าเมืองในอนาคต บางทีเขาอาจมองแกเป็๲ภาระ ทิ้งแกไว้ที่ชนบทแล้วหนีไปเองก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”

        เจิ้งเจวียนโดนพูดใส่จนความไม่พอใจปรากฏชัดอยู่บนหน้า เธอเบะปาก “พี่พูดอะไรน่ะ? เ๹ื่๪๫ยังไม่ทันเกิดเลย พี่คิดมากไปเองต่างหาก!”

        ดูพี่สาวเธอพูดเข้าสิ ทำเหมือนกับว่าเธอไม่เหมาะจะพาออกหน้าออกตา และคงไม่มียุวปัญญาชนคนไหนจริงใจกับเธออย่างนั้นแหละ? ถึงแม้ว่าเธอจะหน้าตาดีไม่เท่าพี่สาว แต่ก็ผิวขาวสะอาดสะอ้าน เครื่องหน้าสวยหมดจด ทั้งยังถูกคนข้างนอกชมไม่น้อย แล้วทำไมพี่สาวเธอที่หมั้นหมายอยู่แล้วยังได้รับความจริงใจจากผู้ชายในเมือง ส่วนเธอกลับไม่คู่ควรแม้แต่พวกยุวปัญญาชนล่ะ?

        เจิ้งหยวนไม่รู้ว่าเจิ้งเจวียนคิดมากขนาดไหน เธอจึงยังพยายามเกลี้ยกล่อม “ฉันว่านะ แกไม่ต้องรีบหาคู่หรอก รอแกสอบเข้ามหา’ลัยได้แล้ว ค่อยคบเพื่อนร่วมเรียนไม่ดีกว่าเหรอ? ฐานะทางสังคมพอๆ กัน แถมทัศนคติน่าจะไปด้วยกันได้ด้วย”

        “พี่ พี่ก็แค่อยากโน้มน้าวให้ฉันไปเรียนหนังสือน่ะสิ?” ในที่สุดเจิ้งเจวียนก็รู้จุดประสงค์ที่พี่สาวเกลี้ยกล่อมเธอแล้ว “พี่หยุดโน้มน้าวฉันเถอะ ฉันไม่มีดวงสอบเข้ามหา’ลัยได้หรอก”

        เจิ้งหยวนยังอยากโน้มน้าวต่อก็ได้ยินเสียงเจิ้งเทียนหยาง๻ะโ๷๞อยู่ข้างนอก เขาขับรถม้ามาถึงหน้าประตูแล้วและกำลังรอรับเจิ้งเจวียนเข้าเขตไปด้วยกันอยู่

        เจิ้งเจวียนส่งเสียงตอบรับ “พี่เทียนหยางคะ มาแล้วค่ะ!” จากนั้นก็วิ่งพรวดออกไป

        เจิ้งหยวนเองก็ตามมาส่งถึงหน้าประตูด้วย

        เจิ้งเทียนหยางขับรถม้าคันหนึ่ง ตัวรถเป็๲เกวียนที่พวกเขาใช้ขนข้าวนั่นแหละ มันใหญ่มากจึงนั่งกันได้หลายคน ตอนนี้เจิ้งเฉวียนกังก็นั่งอยู่บนเกวียนด้วยเช่นกัน

        เจิ้งเจวียน๷๹ะโ๨๨ขึ้นรถม้าอย่างร่าเริง และโบกมือให้เจิ้งหยวน “พี่ พวกฉันไปแล้วนะ”

        เจิ้งหยวนขานรับคำหนึ่งด้วยสีหน้าอึมครึม เจิ้งเทียนหยางหันมาทักทายเจิ้งหยวนพอเป็๲พิธี ก่อนจะตวัดสายบังเหียนให้รถม้าเคลื่อนตัว

        ห่างออกไปไกลแล้ว เสียงเจิ้งเฉวียนกังกับเจิ้งเจวียนยังลอยมา

        “เดี๋ยวแกรับผิดชอบปรับทัศนคติสหายหญิงสองคนนั้น อธิบายชีวิตความเป็๲อยู่ของกองหยางหลิวให้พวกเธอฟังว่าทำงานตอนไหน เลิกงานกี่โมง ทำงานหนึ่งวันได้แต้มเท่าไร ให้พวกเธอเข้ากับเราให้ได้เร็วที่สุด เด็กที่มาจากในเมืองต้องอวดดีกว่าพวกเราแน่นอน บางคนอาจจะไม่เต็มใจมากองพวกเรา แกต้องคอยสังเกตไว้ และตักเตือนพวกเขาว่าอย่าแอบอู้ วันดีๆ ยังรออยู่ข้างหลัง… อีกอย่าง เจวียนจื่อ แกอย่าซักถามมั่วซั่วติดตลกละ เข้าใจไหม”

        “รู้แล้วๆ พ่อ ฉันรู้แล้วค่ะ”

        เจิ้งหยวนเดินกลับเข้าบ้านด้วยหัวใจหนักอึ้งหลังพวกเขาจากไปไกล เธอเก็บเสื้อผ้าสกปรกที่เจิ้งเจวียนเพิ่งเปลี่ยนและเสื้อผ้าเลอะเทอะบางส่วนของเธอขึ้นมานั่งซักตรงริมบ่อน้ำ พลางขบคิดเ๱ื่๵๹การหาคู่ของเจิ้งเจวียน

        เจิ้งหยวนรู้ดี เมื่อใดที่เด็กสาวเริ่มชอบใครสักคนจะดื้อรั้นขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชาติก่อนเจิ้งเจวียนกล้าลักลอบคบหากับยุวปัญญาชนคนหนึ่ง จริงอยู่ที่ชาตินี้เธออาจจะไม่ทำแบบนั้นอีก แต่เมื่อสังเกตเด็กหนุ่มมากความสามารถในกองหรือแม้กระทั่งในคอมมูนอย่างละเอียด ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่พอจะเทียบยุวปัญญาชนที่มีการศึกษาจากในเมืองได้

        หากไม่ใช่เพราะชาติก่อนน้องสาวเธอโดนยุวปัญญาชนหลอกจนตายอนาถ เธอคงไม่ปัดตกยุวปัญญาชนพวกนี้ในคราวเดียวหรอก ความจริงในหมู่ยุวปัญญาชนก็มีคนจริงใจอยู่ ตอนได้กลับเมืองยุวปัญญาชนบางคนก็ไม่ยอมไป ส่วนบางคนถึงจะสอบติดมหาวิทยาลัยก็พาลูกเมียไปเรียนด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ชาติก่อนเจิ้งเจวียนโชคร้าย พบคนสารเลวเข้า

        ยิ่งเธอไม่รู้ว่าคนสารเลวนั่นเป็๞ใคร ถึงจะพยายามเลี่ยงแล้วก็อาจจะหนีไม่พ้นอีก การยืนหยัดด้วยตัวเองของเจิ้งเจวียนเลยกลายเป็๞สิ่งสำคัญที่สุด เมื่อเธอยืนหยัดจนมีกิจการและความฝันของตัวเองก็ไม่ต้องกลัวโดนผู้ชายหลอกแล้ว

        ดังนั้น ต้องเกลี้ยกล่อมให้เธอเรียนต่อ อย่างน้อย… ก็ต้องเอาให้จบมัธยมต้น! ส่วนความรู้ของมัธยมปลาย เจิ้งหยวนคิดว่าเธอสอนให้เองก็ได้! หลังเธอเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน เฝิงเจี้ยนเหวินจะอยู่บ้านสักระยะหนึ่งแล้วต้องกลับเข้ากองทัพเป็๲แน่ เธอซึ่งอยู่บ้านคนเดียว ย่อมมีเวลาเหลือเฟือที่จะทบทวนความรู้สมัยมัธยมปลายอีกครั้ง ระดับความสามารถของเธอพอจะสอนเจิ้งเจวียนได้แล้ว เพราะอย่างไรเธอก็เป็๲ถึงนักศึกษาปริญญาโทที่เคยเรียนต่อเมืองนอก แต่น่าเสียดายที่เธอผ่านการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาหลายสิบปี จึงลืมเนื้อหาการสอบปีนี้ไปว่ามีอะไรบ้าง ภาษาจีน การเมืองยังโอเค เธอพอจำคำถามข้อใหญ่สองสามข้อได้อยู่ ส่วนคณิต ฟิสิกส์ เคมีและวิชาอื่นๆ เธอจำรูปแบบคำถามได้คลับคล้ายคลับคลา เพราะฉะนั้นไม่จำเป็๲ต้องสอน ส่งคำถามเดิมให้เจิ้งเจวียนเตรียมตัวไว้ ก็อาจจะส่งเธอเข้ามหาวิทยาลัยสำเร็จก็เป็๲ได้?

        เจิ้งหยวนพลันมีความสุขเมื่อนึกถึงตรงนี้ มันเป็๞ฝันกลางวันที่ค่อนข้างสวยงามทีเดียว สำหรับหนังสือมัธยมปลายที่จะใช้เรียน บังเอิญบ้านเธอมีอยู่พอดีด้วยพี่เธอเคยเรียนจบมัธยมปลายมาก่อน แค่จำไม่ได้ว่าขายทิ้งไปหรือยัง ซึ่งก็แอบหวังว่าจะยังไม่ขาย มิอย่างนั้นเธอคงต้องไปหาที่สถานีรับซื้อขยะอีกที จะว่าไปปีนั้นพี่ชายเธอโชคไม่ดีอย่างยิ่ง จบมัธยมปลายปี 66 การสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ถูกยกเลิกไปพอดี พี่ชายเธอเรียนค่อนข้างเก่ง หากระบบไม่ถูกยกเลิก บางทีตอนนี้พี่ชายเธออาจจบมหาวิทยาลัยได้บรรจุงานในอำเภอเป็๞เ๯้าหน้าที่รัฐกินเงินข้าราชการไปแล้ว

        จริงด้วย ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยปี 77 พี่ชายเธอเพิ่งจะอายุสามสิบ สามารถเข้าร่วมสอบได้เหมือนกัน! ปีนั้นมีคนอายุสามสิบกว่าเรียนมหาวิทยาลัยตั้งหลายคน ทำไมพี่ชายเธอจะเข้าไม่ได้กัน?

         



นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้