เมื่อรู้ว่าได้ไปรับยุวปัญญาชนทำให้เจิ้งเจวียนดีใจอย่างยิ่ง ครั้นเธอทานข้าวเสร็จก็ยกอ่างน้ำเข้าไปในห้อง ล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาด ก่อนค้นกล่องรื้อตู้หาเสื้อผ้าดูดีมาใส่
เจิ้งหยวนโกรธไม่น้อย จึงอดดุคนเป็น้องสาวไม่ได้ “แกก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นยุวปัญญาชน จำเป็ต้องทำแบบนี้ด้วยหรือไง?”
เจิ้งเจวียนค้นเสื้อเชิ้ตลายดอกตัวหนึ่งออกมาทาบบนตัว ก่อนหันหน้าไปเถียงเจิ้งหยวน “ยุวปัญญาชนที่เพิ่งมาจากในเมืองไม่เหมือนยุวปัญญาชนที่อยู่ในชนบทมานานพวกนั้นนี่นา”
เมื่อได้ยินคำตอบ เจิ้งหยวนถึงกับกลอกตา “แล้วมันแตกต่างกันตรงไหนล่ะ?”
แต่ทว่าเจิ้งเจวียนกลับยิ้มระรื่น “ยุวปัญญาชนพวกนั้นอยู่ในชนบทมานานจะมีกลิ่นชาวนาติด ส่วนยุวปัญญาชนที่เพิ่งมาไม่เหมือนกัน อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ยังมีกลิ่นอายคนเมืองอยู่”
เจิ้งหยวนหมดคำจะพูด “กลิ่นอายคนเมืองเป็ยังไง? กลิ่นหอมหรือเหม็นล่ะ?”
เจิ้งเจวียนเอียงศีรษะและเชิดคางขึ้น “กลิ่นทันสมัยต่างหากละ! ยังไงก็ไม่เหมือนกัน” เธอเอ่ยขึ้นอีก “พี่ พี่ว่าฉันใส่ตัวนี้เป็ยังไงบ้าง ดูดีไหม?”
เจิ้งหยวนปรายตามองเสื้อผ้าตัวนั้นอย่างเกียจคร้าน มันเป็เสื้อผ้าเก่าของเธอเอง เธอใส่ด้วยความระมัดระวัง จึงไม่มีรอยปะชุนสักจุด แล้วยังมีลูกไม้เล็กๆ เหลืออยู่ตรงขอบกระดุมเสื้อด้วย เจิ้งหยวนให้เจิ้งเจวียนไปหลังกลับมาเกิดใหม่ เจิ้งเจวียนชอบมาก ทะนุถนอมมันอยู่ตลอด ไม่เคยใส่ลงทำนาเลยสักครั้ง แถมตอนนี้เจิ้งเจวียนยังอายุเพิ่งสิบห้า เรียกว่าโตเป็สาวแล้ว เอวเป็เอว สะโพกเป็สะโพก หน้าอกค่อนข้างอวบอิ่ม เธอไม่ค่อยลงแปลงนาด้วย ผิวเลยยังขาวผ่อง พอถักเปียสองข้าง สวมเสื้อเชิ้ตตัวเล็กๆ ทำให้มีกลิ่นอายของนักเรียนเรียบร้อยมีมารยาท
แต่เจิ้งหยวนมองอย่างไรก็ขัดหูขัดตาอยู่ดี “แกจะแต่งตัวสวยไปทำไม? ไม่ได้ไปนัดบอดเสียหน่อย”
ไม่ไปนัดบอดแล้วแต่งตัวดีๆ ไม่ได้หรือ? อีกอย่าง ดีร้ายอย่างไรเจิ้งเจวียนก็เป็สาวน้อยวัยแรกแย้ม ครานี้ยังไปรับยุวปัญญาชนด้วย หากในกลุ่มยุวปัญญาชนมีคนหน้าตาดี ก็ต้องสร้างความประทับใจให้คนเขาไว้สิ บางทียุวปัญญาชนอาจจะชอบเธอก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ? เจิ้งเจวียนวาดแผนการไว้ในใจ แต่พอโดนเจิ้งหยวนพูดใส่หน้าเธอก็อับอายขึ้นมาและมองพี่สาวตาขวาง “พี่ พูดอะไรเนี่ย!”
เจิ้งหยวนเห็นท่าทางเก้อกระดากของเธอก็คิดว่าแย่แล้ว เจิ้งเจวียนวางแผนไว้จริงๆ ด้วย! เธอลุกพรวดทันทีและจ้องเจิ้งเจวียนเขม็งไม่ต่างกัน “เจวียนจื่อ แกอย่าทำอะไรโง่ๆ นะ ยุวปัญญาชนพวกนั้นล้วนมาจากเมืองเอกของมณฑล เราอยู่ไกลปืนเที่ยง ไม่รู้กำพืดพวกเขาดี แกจะรู้นิสัยเขา รู้ว่าคนในครอบครัวเขาใจคอเป็แบบไหนได้ยังไง? หากคนพวกนั้นดูถูกคนชนบทอย่างเราๆ ขึ้นมาล่ะ? ใครจะไปรู้ล่ะ ถ้ายุวปัญญาชนพวกนั้นมีโอกาสกลับเข้าเมืองในอนาคต บางทีเขาอาจมองแกเป็ภาระ ทิ้งแกไว้ที่ชนบทแล้วหนีไปเองก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”
เจิ้งเจวียนโดนพูดใส่จนความไม่พอใจปรากฏชัดอยู่บนหน้า เธอเบะปาก “พี่พูดอะไรน่ะ? เื่ยังไม่ทันเกิดเลย พี่คิดมากไปเองต่างหาก!”
ดูพี่สาวเธอพูดเข้าสิ ทำเหมือนกับว่าเธอไม่เหมาะจะพาออกหน้าออกตา และคงไม่มียุวปัญญาชนคนไหนจริงใจกับเธออย่างนั้นแหละ? ถึงแม้ว่าเธอจะหน้าตาดีไม่เท่าพี่สาว แต่ก็ผิวขาวสะอาดสะอ้าน เครื่องหน้าสวยหมดจด ทั้งยังถูกคนข้างนอกชมไม่น้อย แล้วทำไมพี่สาวเธอที่หมั้นหมายอยู่แล้วยังได้รับความจริงใจจากผู้ชายในเมือง ส่วนเธอกลับไม่คู่ควรแม้แต่พวกยุวปัญญาชนล่ะ?
เจิ้งหยวนไม่รู้ว่าเจิ้งเจวียนคิดมากขนาดไหน เธอจึงยังพยายามเกลี้ยกล่อม “ฉันว่านะ แกไม่ต้องรีบหาคู่หรอก รอแกสอบเข้ามหา’ลัยได้แล้ว ค่อยคบเพื่อนร่วมเรียนไม่ดีกว่าเหรอ? ฐานะทางสังคมพอๆ กัน แถมทัศนคติน่าจะไปด้วยกันได้ด้วย”
“พี่ พี่ก็แค่อยากโน้มน้าวให้ฉันไปเรียนหนังสือน่ะสิ?” ในที่สุดเจิ้งเจวียนก็รู้จุดประสงค์ที่พี่สาวเกลี้ยกล่อมเธอแล้ว “พี่หยุดโน้มน้าวฉันเถอะ ฉันไม่มีดวงสอบเข้ามหา’ลัยได้หรอก”
เจิ้งหยวนยังอยากโน้มน้าวต่อก็ได้ยินเสียงเจิ้งเทียนหยางะโอยู่ข้างนอก เขาขับรถม้ามาถึงหน้าประตูแล้วและกำลังรอรับเจิ้งเจวียนเข้าเขตไปด้วยกันอยู่
เจิ้งเจวียนส่งเสียงตอบรับ “พี่เทียนหยางคะ มาแล้วค่ะ!” จากนั้นก็วิ่งพรวดออกไป
เจิ้งหยวนเองก็ตามมาส่งถึงหน้าประตูด้วย
เจิ้งเทียนหยางขับรถม้าคันหนึ่ง ตัวรถเป็เกวียนที่พวกเขาใช้ขนข้าวนั่นแหละ มันใหญ่มากจึงนั่งกันได้หลายคน ตอนนี้เจิ้งเฉวียนกังก็นั่งอยู่บนเกวียนด้วยเช่นกัน
เจิ้งเจวียนะโขึ้นรถม้าอย่างร่าเริง และโบกมือให้เจิ้งหยวน “พี่ พวกฉันไปแล้วนะ”
เจิ้งหยวนขานรับคำหนึ่งด้วยสีหน้าอึมครึม เจิ้งเทียนหยางหันมาทักทายเจิ้งหยวนพอเป็พิธี ก่อนจะตวัดสายบังเหียนให้รถม้าเคลื่อนตัว
ห่างออกไปไกลแล้ว เสียงเจิ้งเฉวียนกังกับเจิ้งเจวียนยังลอยมา
“เดี๋ยวแกรับผิดชอบปรับทัศนคติสหายหญิงสองคนนั้น อธิบายชีวิตความเป็อยู่ของกองหยางหลิวให้พวกเธอฟังว่าทำงานตอนไหน เลิกงานกี่โมง ทำงานหนึ่งวันได้แต้มเท่าไร ให้พวกเธอเข้ากับเราให้ได้เร็วที่สุด เด็กที่มาจากในเมืองต้องอวดดีกว่าพวกเราแน่นอน บางคนอาจจะไม่เต็มใจมากองพวกเรา แกต้องคอยสังเกตไว้ และตักเตือนพวกเขาว่าอย่าแอบอู้ วันดีๆ ยังรออยู่ข้างหลัง… อีกอย่าง เจวียนจื่อ แกอย่าซักถามมั่วซั่วติดตลกละ เข้าใจไหม”
“รู้แล้วๆ พ่อ ฉันรู้แล้วค่ะ”
เจิ้งหยวนเดินกลับเข้าบ้านด้วยหัวใจหนักอึ้งหลังพวกเขาจากไปไกล เธอเก็บเสื้อผ้าสกปรกที่เจิ้งเจวียนเพิ่งเปลี่ยนและเสื้อผ้าเลอะเทอะบางส่วนของเธอขึ้นมานั่งซักตรงริมบ่อน้ำ พลางขบคิดเื่การหาคู่ของเจิ้งเจวียน
เจิ้งหยวนรู้ดี เมื่อใดที่เด็กสาวเริ่มชอบใครสักคนจะดื้อรั้นขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชาติก่อนเจิ้งเจวียนกล้าลักลอบคบหากับยุวปัญญาชนคนหนึ่ง จริงอยู่ที่ชาตินี้เธออาจจะไม่ทำแบบนั้นอีก แต่เมื่อสังเกตเด็กหนุ่มมากความสามารถในกองหรือแม้กระทั่งในคอมมูนอย่างละเอียด ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่พอจะเทียบยุวปัญญาชนที่มีการศึกษาจากในเมืองได้
หากไม่ใช่เพราะชาติก่อนน้องสาวเธอโดนยุวปัญญาชนหลอกจนตายอนาถ เธอคงไม่ปัดตกยุวปัญญาชนพวกนี้ในคราวเดียวหรอก ความจริงในหมู่ยุวปัญญาชนก็มีคนจริงใจอยู่ ตอนได้กลับเมืองยุวปัญญาชนบางคนก็ไม่ยอมไป ส่วนบางคนถึงจะสอบติดมหาวิทยาลัยก็พาลูกเมียไปเรียนด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ชาติก่อนเจิ้งเจวียนโชคร้าย พบคนสารเลวเข้า
ยิ่งเธอไม่รู้ว่าคนสารเลวนั่นเป็ใคร ถึงจะพยายามเลี่ยงแล้วก็อาจจะหนีไม่พ้นอีก การยืนหยัดด้วยตัวเองของเจิ้งเจวียนเลยกลายเป็สิ่งสำคัญที่สุด เมื่อเธอยืนหยัดจนมีกิจการและความฝันของตัวเองก็ไม่ต้องกลัวโดนผู้ชายหลอกแล้ว
ดังนั้น ต้องเกลี้ยกล่อมให้เธอเรียนต่อ อย่างน้อย… ก็ต้องเอาให้จบมัธยมต้น! ส่วนความรู้ของมัธยมปลาย เจิ้งหยวนคิดว่าเธอสอนให้เองก็ได้! หลังเธอเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน เฝิงเจี้ยนเหวินจะอยู่บ้านสักระยะหนึ่งแล้วต้องกลับเข้ากองทัพเป็แน่ เธอซึ่งอยู่บ้านคนเดียว ย่อมมีเวลาเหลือเฟือที่จะทบทวนความรู้สมัยมัธยมปลายอีกครั้ง ระดับความสามารถของเธอพอจะสอนเจิ้งเจวียนได้แล้ว เพราะอย่างไรเธอก็เป็ถึงนักศึกษาปริญญาโทที่เคยเรียนต่อเมืองนอก แต่น่าเสียดายที่เธอผ่านการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาหลายสิบปี จึงลืมเนื้อหาการสอบปีนี้ไปว่ามีอะไรบ้าง ภาษาจีน การเมืองยังโอเค เธอพอจำคำถามข้อใหญ่สองสามข้อได้อยู่ ส่วนคณิต ฟิสิกส์ เคมีและวิชาอื่นๆ เธอจำรูปแบบคำถามได้คลับคล้ายคลับคลา เพราะฉะนั้นไม่จำเป็ต้องสอน ส่งคำถามเดิมให้เจิ้งเจวียนเตรียมตัวไว้ ก็อาจจะส่งเธอเข้ามหาวิทยาลัยสำเร็จก็เป็ได้?
เจิ้งหยวนพลันมีความสุขเมื่อนึกถึงตรงนี้ มันเป็ฝันกลางวันที่ค่อนข้างสวยงามทีเดียว สำหรับหนังสือมัธยมปลายที่จะใช้เรียน บังเอิญบ้านเธอมีอยู่พอดีด้วยพี่เธอเคยเรียนจบมัธยมปลายมาก่อน แค่จำไม่ได้ว่าขายทิ้งไปหรือยัง ซึ่งก็แอบหวังว่าจะยังไม่ขาย มิอย่างนั้นเธอคงต้องไปหาที่สถานีรับซื้อขยะอีกที จะว่าไปปีนั้นพี่ชายเธอโชคไม่ดีอย่างยิ่ง จบมัธยมปลายปี 66 การสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ถูกยกเลิกไปพอดี พี่ชายเธอเรียนค่อนข้างเก่ง หากระบบไม่ถูกยกเลิก บางทีตอนนี้พี่ชายเธออาจจบมหาวิทยาลัยได้บรรจุงานในอำเภอเป็เ้าหน้าที่รัฐกินเงินข้าราชการไปแล้ว
จริงด้วย ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยปี 77 พี่ชายเธอเพิ่งจะอายุสามสิบ สามารถเข้าร่วมสอบได้เหมือนกัน! ปีนั้นมีคนอายุสามสิบกว่าเรียนมหาวิทยาลัยตั้งหลายคน ทำไมพี่ชายเธอจะเข้าไม่ได้กัน?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้