ในขณะที่เธอกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกเคาะเบาๆ
“เข้ามาได้” สวี่จือจือเอ่ย
เด็กสาวคนหนึ่งเม้มปาก เดินเข้ามาด้วยท่าทีลังเลใจ
“คุณจะแต่งงานกับพี่ชายของฉันจริงๆ เหรอ?” เด็กสาวถามเสียงเบา
ใบหน้าด้านข้างของเด็กสาวดูคล้ายคลึงกับลู่จิ่งซาน แต่ท่าทางกลับดูประหม่าและขัดเขินเล็กน้อย
สวี่จือจืออดขมวดคิ้วไม่ได้
“เธอคือน้องสาวของลู่จิ่งซานเหรอ?” เธอถาม
“ฉันชื่อลู่ซืออวี่” ลู่ซืออวี่มองเธอด้วยสายตาเศร้าสร้อย “ถ้าพี่ชายแต่งงานกับคุณแล้ว เขาจะไม่สนใจฉันอีกต่อไปใช่ไหม?”
หา?
“ใครเป็คนบอกเธอแบบนั้น?” สวี่จือจือถามอย่างจนปัญญา
ที่จริงไม่ต้องถามก็รู้ ในนิยายเคยกล่าวถึงลู่ซืออวี่ไว้ว่า ั้แ่เกิดมาก็มีชื่อเสียงว่าเป็ตัวซวย ทำให้แม่แท้ๆ ต้องตาย ถูกเหอเสวี่ยฉินเลี้ยงดูจนมีนิสัยที่อ่อนไหวและขี้อาย แถมยังขี้แยเป็พิเศษ
อาจจะเป็เพราะขาดความรักั้แ่เด็ก สุดท้ายก็ถูกชายแก่คนหนึ่งหลอกล่อด้วยอาหารมื้อเดียว แล้วก็หนีตามเขาไป ชายคนนั้นอายุพอๆ กับลู่หวยเหริน ไม่เพียงแต่ี้เีสันหลังยาว แถมยังเป็คนเ้าชู้มากอีกด้วย
ลู่ซืออวี่ทำงานสามกะหาเงินเลี้ยงดูชายคนนี้ สุดท้ายก็ทำงานหนักจนตาย
“ฉัน...” ลู่ซืออวี่ก้มหน้าลง กุมชายเสื้อตัวเอง “ฉันก็แค่ฟังคนอื่นพูดมา”
“ฉันแต่งงานกับพี่ชายของเธอ แล้วเธอจะไม่ใช่น้องสาวของพี่ชายเธอแล้วเหรอ?” เธอถาม
“ก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” ลู่ซืออวี่ยเงยหน้าขึ้นมองเธอ “พี่ชายของฉันก็ยังเป็พี่ชายของฉันเสมอ”
“ก็แค่นั้นแหละ” สวี่จือจือกลอกตา นอนลงบนเตียงเตาแล้วลูบท้อง เธอรู้สึกหิวอีกแล้ว หลังจากกินข้าวหมากไปแค่ครึ่งชาม
“คุณ...ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ?” ลู่ซืออวี่มองอีกฝ่ายด้วยความใ “ไม่มีท่าทีของกุลสตรีเลย”
เดี๋ยวก่อน อะไรนะ?
กุลสตรี?
สวี่จือจือลุกขึ้นนั่งบนเตียงเตา มองลู่ซืออวี่อย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้าไม่ใช่เพราะภาพนกยวนยางเล่นน้ำ และตัวอักษรมงคลสีแดงที่ติดอยู่บนกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง เธอคงต้องสงสัยว่าตัวเองย้อนยุคไปอยู่ในสมัยโบราณแล้ว
เมื่อเห็นเธอหันไปมอง ลู่ซืออวี่ก็ยืดหลังขึ้น เหมือนว่าการยืนแบบนั้นจะทำให้อีกฝ่ายดูเป็กุลสตรีขึ้นมาได้
ไม่รู้ว่าใครเป็คนสอนอีกฝ่ายแบบนี้ ช่างเป็เด็กสาวที่แปลกเสียจริง
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง?” สวี่จือจือนอนลงไปเหมือนเดิมแล้วพูด “เหนื่อยแล้วจะไม่ให้คนนอนพักเหรอ?”
ั้แ่ทะลุมิติมายังไม่มีโอกาสได้พักเลยสักนิด แถมร่างกายเดิมก็อ่อนแอ ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนกระดูกจะแตกเป็เสี่ยง
“คุณ...ทำไมถึงทำแบบนี้” ลู่ซืออวี่กระทืบเท้าแล้วร้องไห้วิ่งออกไป ปล่อยให้สวี่จือจือนอนงงอยู่บนเตียง
ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ชายของเธอก็ยังเป็พี่ชายของเธอ” สวี่จือจือนอนอยู่กับที่แล้วพูด “ถ้าเธอคิดว่าฉันไม่ดี ให้พี่ชายเธอหย่ากับฉันก็ได้นะ”
ทันทีที่พูดจบ อุณหภูมิในห้องก็เหมือนจะลดลงไปหลายองศา
“หย่า?” เสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ของชายหนุ่มดังขึ้น “วันแรกของการแต่งงาน คุณอยากจะหย่า?”
สวี่จือจือลุกขึ้นนั่งจากเตียงเตาทันที
“ทำไมถึงเป็คุณได้ล่ะ?” เธอถามด้วยความประหลาดใจ เธอนึกว่าลู่ซืออวี่วิ่งกลับมาเสียอีก
“คุณคิดว่าเป็ใคร?” ลู่จิ่งซานเหลือบมองเธอ วางถาดไม้สีแดงที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง กลิ่นหอมของอาหารลอยมาแตะจมูก สวี่จือจือลงจากเตียง จ้องมองอาหารในถาดไม้ด้วยดวงตาเป็ประกาย
ไม่แปลกใจเลยที่รุ่นพี่ที่เคยได้กินอาหารในงานเลี้ยงของหมู่บ้านสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ถึงได้โหยหามากขนาดนั้น แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกว่าอร่อยมากแล้ว
“อร่อยจัง” สวี่จือจือพูดกับลู่จิ่งซานพลางกินไปด้วย “มีตะเกียบอีกคู่นึงด้วยนี่นา คุณรีบกินบ้างสิคะ”
ลู่จิ่งซาน “...”
เธอไม่ได้คิดว่าเขาเป็คนนอกเลยจริงๆ
“เมื่อกี้ซืออวี่มาเหรอ?” ลู่จิ่งซานถาม
“ค่ะ” สวี่จือจือพยักหน้า ปากก็เคี้ยวตุ้ยๆ เหมือนหนูแฮมสเตอร์ตัวน้อยที่กำลังกินอาหารมื้อใหญ่ ทำให้ดูน่ารักอย่างประหลาด
“ไม่รู้ทำไมถึงร้องไห้ด้วย” สวี่จือจือกินไปพลางสังเกตปฏิกิริยาของเขาไปด้วย อยากจะดูว่าลู่จิ่งซานจะมีปฏิกิริยายังไง
แต่ตะเกียบของเขาก็ไม่ได้หยุดเลยสักนิด แม้จะกินเร็วแต่ก็ไม่ได้ดูเสียมารยาท สวี่จือจือก็เลยไม่ได้พูดอะไรอีก
ทั้งสองคนนั่งกินข้าวกันหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแบบหันหน้าเข้าหากัน
เมื่อกี้แค่กินข้าวหมากรองท้อง กินไปไม่เท่าไหร่ สวี่จือจือก็อิ่มแล้ว
เมื่อเห็นว่าเธอไม่กินต่อ ลู่จิ่งซานก็ไม่เกรงใจ กินอาหารที่เหลือจนหมดเกลี้ยง
“เก็บของแล้วออกไปดื่มเหล้าคารวะ” เขานำถาดไม้ออกไป
ตลอดทั้งกระบวนการ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับการร้องไห้ของลู่ซืออวี่เลย
“อ้อ ใช่สิ” ชายหนุ่มที่กำลังจะก้าวออกไปหยุดแล้วหันมามองหญิงสาวในห้อง
มาแล้ว
สวี่จือจือเลิกคิ้ว
“ยัยหนูซืออวี่นิสัยแปลกๆ หน่อย แถมขี้แย” ลู่จิ่งซานพูด “แต่โดยเนื้อแท้แล้วไม่ได้เป็คนไม่ดี”
“คุณเป็พี่สะใภ้ของเธอ ต่อไปก็ช่วยสอนเธอหน่อยแล้วกัน”
สวี่จือจือ “...”
แต่เธอก็ยังเป็เด็กเหมือนกันนะ!
“พี่สะใภ้ก็เหมือนแม่อีกคน”
สวี่จือจือ “!”
ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย เธอไม่อยากจะเป็พี่สะใภ้แบบนั้น เธอกำลังคิดว่าจะคุยกับลู่จิ่งซานดีๆ ว่าจะอยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยาปลอมๆ สักพักก่อนแล้วค่อยหย่ากัน!
ยังไงซะลู่จิ่งซานก็ไม่ได้คิดอะไรกับเธอ เธอเองก็ไม่ได้ชอบลู่จิ่งซานด้วย การแต่งงานที่ไม่มีความรักเป็เื่ที่ไม่ถูกต้อง
“แล้วก็คำนั้น” เสียงทุ้มนุ่มลึกของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง “ผมไม่อยากได้ยินอีก”
โดยเฉพาะในวันมงคลแบบนี้ ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อเื่ผีสาง แต่ก็รู้สึกไม่เป็มงคล
“แต่ว่า...” สวี่จือจือยังพูดไม่ทันจบ ประตูก็ปิดลงแล้ว ทำให้เธอโมโหจนต้องยกกำปั้นเล็กๆ ขึ้นมาฟาดอากาศสองสามที ถึงจะรู้สึกหายโมโห
ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก
“ภรรยาจิ่งซาน” ผู้หญิงคนหนึ่งะโมาจากข้างนอก “ออกไปดื่มเหล้าได้แล้ว”
สวี่จือจือยังไม่ทันได้ตั้งตัวประตูก็ถูกเคาะอีกครั้ง เธอถึงได้รู้ว่าภรรยาจิ่งซานเป็คำที่เรียกเธอ
ในชนบทมักจะเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วแบบนี้ ใครจากบ้านนั้นหรือภรรยาของใคร
คนที่ะโเรียกเธออยู่ข้างนอกคือแม่เลี้ยงของลู่จิ่งซาน คนที่เอามือปิดปากแล้ววิ่งออกไปเมื่อกี้
พอเห็นเธอ สวี่จือจือก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อกี้ตอนที่ลู่ซืออวี่เอามือปิดปากวิ่งร้องไห้ออกไป ก็เหมือนกับคนที่อยู่ตรงหน้ามาก
“ภรรยาจิ่งซาน” เหอเสวี่ยฉินไว้ผมบ๊อบ เมื่อเห็นเธอหันมามองก็ทัดผมไปข้างหูแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “มองฉันทำไมเหรอ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ” สวี่จือจือยิ้ม “แค่คิดว่าน้าเหอสวยดีเท่านั้น”
“เด็กคนนี้ พูดจาแบบนี้ได้ยังไง” เหอเสวี่ยฉินยิ้มอย่างใจดีแล้วกวักมือเรียก “อย่าให้จิ่งซานรอนานเลย ทหารน่ะใจร้อนนัก”
“จริงเหรอคะ?” สวี่จือจือยิ้มตาหยีเดินตามอีกฝ่ายออกไป
เหอเสวี่ยฉินไม่ได้ตอบ เพราะสวี่จือจือเดินไปหาลู่จิ่งซานพร้อมกับรอยยิ้มอย่างรวดเร็วแล้ว
“เป็อะไรไป?” ลู่หวยเหรินเห็นเธอยืนนิ่งอยู่ก็ถามขึ้น
“ก็แค่รู้สึกซาบซึ้งใจน่ะ” เหอเสวี่ยฉินพูดทั้งที่น้ำตาคลอ “ก็แค่อยากให้ทั้งสองคนมีความสุข ฉันจะได้ไม่รู้สึกผิดต่อฉิงโหรว”
“พี่รอง” เหอเสวี่ยฉินพูดเสียงเบา “ทำไมฉันรู้สึกว่าภรรยาของจิ่งซานไม่ค่อยชอบฉันเลยนะ”
สวี่จือจือที่กำลังดื่มเหล้าอยู่ก็จามออกมาโดยไม่มีสาเหตุ
“เป็อะไรไป” ลู่จิ่งซานถาม “อยากจะสวมเสื้อเพิ่มไหม?”
“ไม่เป็ไรค่ะ” สวี่จือจือส่ายหน้า
เวลาที่จามหนึ่งครั้งแปลว่าด่า สองครั้งมีคนคิดถึง สามครั้งเป็หวัด เกรงว่าคงจะมีคนคิดถึงเธอล่ะมั้ง?
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้