หลังกลับมาถึงถ้ำ เธอก็หย่อนก้นนั่งลง แต่รอยฟกช้ำที่ก้นก็ทำให้เธอต้องสูดปาดร้องซี้ดอย่างอดไม่ได้
ก่อนหน้านี้เธอแล่นไปโน่นมานี่อยู่ตลอด แผลฟกช้ำติดตัวก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย แต่พอได้พักเท่านั้น ความปวดเมื่อยก็ถาโถมเข้ามาเป็ระลอก
"โอ๊ย ฉันนี่มันดวงคนใช้แรงงานแท้ๆ ต้องขยับถึงจะไม่รู้สึกปวดเมื่อยตามตัว"
เธอแยกเขี้ยวยิงฟันทำหน้าเบ้ขณะนวดบั้นเอว ก่อนหิ้วไก่ป่าเตรียมไปจัดการที่ริมแม่น้ำ
"ไม่มีเตาต้มน้ำร้อน แล้วจะถอนขนไก่ป่ายังไงล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นเกาหัวแกรกๆ ที่บ้านเวลาเชือดไก่ต้องเอาไปลวกในน้ำร้อนก่อนถึงจะถอนขนง่าย
ถอนขนไก่สดๆ ทำง่ายเสียที่ไหน หรือว่าจะเลียนแบบวิธีทำไก่ขอทาน ใช้โคลนพอกไก่ทั้งตัวแล้วเอาไปเผา แต่หากเผาจนสุกแล้วจะถอนขนได้อีกหรือ
เซวียเสี่ยวหรั่นขมวดคิ้วใช้ความคิดว่าวิธีไหนจะประหยัดเวลามากกว่ากัน
ทางด้านเหลียนเซวียนขยับตัวเล็กน้อย
"เหลียนเซวียน ท่านว่าระหว่างถอนขนไก่สดๆ กับเอาโคลนพอกก่อนแล้วเอาไปเผาให้สุกค่อยถอนขนแบบไหนดีกว่ากัน"
เซวียเสี่ยวหรั่นถามเขาประโยคหนึ่ง
เหลียนเซวียนเหลือบมาที่นางด้วยสีหน้าเรียบเฉย เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มตาหยี มองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบหินสำหรับเขียนอักษรก้อนนั้นยัดใส่มือเขา
"ช่วยออกความเห็นหน่อย เมื่อก่อนวรยุทธ์ของท่านเก่งกาจขนาดนั้น คงล่าสัตว์มาไม่น้อย บอกมาขนไก่ถอนอย่างไรง่ายที่สุด"
เซวียเสี่ยวหรั่นเบิกตากว้างจดจ้องเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
วรยุทธ์เก่งกาจกับถอนขนไก่มันเกี่ยวข้องกันตรงไหน? เหลียนเซวียนมุมปากกระตุก
แต่เขาก็ค่อยๆ เขียนอักษรลงไปที่พื้น เพราะเขาเองก็รู้จริงๆ ว่าถอนขนแบบไหนถึงจะง่ายที่สุด
"ใช้... ไฟ... ย่าง... ขน... ไก่"
เมื่อก่อนเหลยลี่ก็ใช้วิธีนี้ ทุกครั้งที่จับไก่ป่ากลับมา ก็จะเอาไปย่างในกองไฟโดยตรง ขนไก่ก็จะถอนง่ายขึ้น
ใช้ไฟย่างขนไก่? สอดคล้องกับหลักการขยายตัวด้วยความร้อนหดตัวด้วยความเย็น เพียงแต่ขนไก่จะไม่ติดไฟไหม้หมดหรือ?
"ได้ งั้นข้าจะลองดู"
เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์บอกว่าได้ นั่นก็ต้องได้อย่างแน่นอน ไม่รู้เพราะเหตุใดเซวียเสี่ยวหรั่นถึงเกิดความเชื่อมั่นในตัวเหลียนเซวียนอย่างเป็ปริศนา
อาจเป็เพราะเขาคือคนแรกที่เธอพบหลังจากตกลงมาในป่ารกร้างไร้ผู้คนแห่งนี้
หรือไม่ก็อาจเป็เพราะเธอเห็นความสุขุมเยือกเย็นและแข็งแกร่งทรหดที่สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้คนจากดวงตาที่มองไม่เห็นของเขาคู่นั้น
สรุปแล้ว เธอก็เหมือนกับลูกเจี๊ยบที่ฟักออกมาจากไข่ ลืมตาขึ้นมาเห็นใครเป็คนแรก ก็จะเกิดความเชื่อมั่นอย่างไม่อาจอธิบายได้แบบลูกเจี๊ยบ
เซวียเสี่ยวหรั่นเป็นักปฏิบัติ ทันทีที่พูดจบก็ลงมือทันที
ไฟในกองไฟมอดไปแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นหาหญ้าแห้งมาก่อไฟอีกครั้ง หลังจากนั้นก็โยนผลลูกหนามเข้าไปในกองไฟ
วิ่งอยู่ครึ่งวัน ท้องหิวจนตาลาย โยนเกาลัดเข้ากองไฟไปหลายลูก อีกประเดี๋ยวคงพอรองท้องได้
พอไฟเริ่มคุ เธอก็ดึงมีดจากออกหัวของไก่ป่า ใช้น้ำในขวดสาดไปบนตัวมันเล็กน้อย หลังจากนั้นก็หิ้วคอของมันขึ้นมา ใช้ไม้สองท่อนมาวางค้ำแล้วเอาไก่ป่าขึ้นวางบนกองไฟ
ขนไก่มิไหม้ไฟ แต่กลับส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั้งถ้ำ
"กลิ่นนี่สุดจะทนจริงๆ ขนงดงามของมันช่างเปล่าประโยชน์ เผาแล้วยังเหม็นอีก" เซวียเสี่ยวหรั่นบ่นอุบพลางพลิกไก่ไปอีกด้าน แล้วเริ่มย่างต่อ
ขนของไก่ป่าสวยนักหรือ? เหลียนเซวียนหวนคิด ก็รู้สึกว่าเป็เช่นนั้น สตรีผู้นี้คงจะไม่เคยเห็นนกที่สวยงามมาก่อนเลยกระมัง ถึงได้รู้สึกว่าขนไก่ป่าน่ามอง
"ถ้ำของพวกเรากว้างขวางขนาดนี้ ไม่ค่อยปลอดภัยนัก หากมีหมาป่าเข้ามากลางดึกจะทำอย่างไร ต้องหาทำประตูสักบานมาปิดถึงจะดี"
ขณะที่ย่างขนไก่ เซวียเสี่ยวหรั่นก็มองไปที่ปากถ้ำพลางแสดงความวิตกกังวล
ปากถ้ำน่าจะกว้างราวสามสี่เมตรได้ หากจะทำประตูก็คงไม่ง่าย ถ้ำไม่มีประตูก็ไม่มีความปลอดภัย
เซวียเสี่ยวหรั่นตัดสินใจ ภารกิจใน่บ่ายก็คือทำประตูสักบาน
หมาป่าอยู่รวมกันเป็ฝูง หากพบเจอมันจริงๆ ประตูที่ไม่แข็งแรงบานหนึ่งจะสามารถทำอะไรได้ เหลียนเซวียนปรายตาไปที่ข้างกองไฟ
แน่นอนว่าหากการทำประตูบานหนึ่งแล้วทำให้นางรู้สึกอุ่นใจขึ้น ก็เป็เื่ดี เขาเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ อย่าสาดน้ำเย็นใส่นางดีกว่า
เหลียนเซวียนจดจ้องแสงสว่างหน้าปากถ้ำ สงวนวาจา
ขนไก่ที่ผ่านการย่างแล้วถอนง่ายมาก เซวียเสี่ยวหรั่นมองขนไก่ที่ร่วงกราวด้วยสีหน้าพึงพอใจ
"จอมยุทธ์ก็คือจอมยุทธ์ วิธีการที่เสนอก็มีความสง่างามเยี่ยงจอมยุทธ์ ดูขนไก่นี่สิ ยังทันแตะต้องก็ร่วงไปเองหมดแล้ว ฮ่าๆ"
แม่นางผู้นี้ ถ้อยคำพรรณนาของเ้าดูเกินจริงไปหน่อยหรือไม่ เหลียนเซวียนผู้ถูกสวมหมวกจอมยุทธ์มุมปากกระตุกโดยไม่รู้ต้ว
"อื้อหือ ไก่ตัวนี้ภายนอกแลดูอ้วนท้วนดีอยู่หรอก แต่พอไม่มีขนแล้ว กลับเหลือตัวเล็กนิดเดียว ท่านว่าไก่ป่าตัวหนึ่งจะรักษารูปร่างผอมเพรียวเช่นนี้ไปทำไม"
เซวียเสี่ยวหรั่นหิ้วไก่ที่ถอนขนจนเกลี้ยงขึ้นมาพลางพูดงึมงำ
รอจนเกาลัดสุกดีคีบออกมาจากกองไฟแล้ว ก็กล่าวเพิ่มอีกประโยค
"เหลียนเซวียน ข้าจะไปริมแม่น้ำสักหน่อย ท่านช่วยดูไฟสักครู่"
เธอหิ้วไก่มือหนึ่ง อีกมือก็ถือขวดน้ำกับมีดพับ เดิมทีเอากระเทียมป่ากับเห็ดไปล้างด้วยจะได้ไม่เสียเที่ยวต้องวิ่งไปอีกรอบ แต่น่าเสียดาย เธอไม่มีมือมากกว่านี้
กระเป๋าเป้ก็สกปรกจนหมดสภาพ หากใส่ของเปียกๆ เข้าไป ก็คงเอามาใช้ไม่ได้อีกแล้ว
"ได้เห็นความสำคัญของตะกร้าก็ตอนนี้ล่ะ ไม่มีตะกร้าพอจะหิ้วของก็ได้แต่อาศัยมือทั้งสอง ให้ตายเถอะ แค่หลับตาแล้วลืมตาขึ้น ก็ย้อนกลับมาในสังคมยุคดึกดำบรรพ์ที่ไม่มีอะไรสักอย่างเสียแล้ว"
เหลียนเซวียนฟังเสียงบ่นของแม่นางผู้นั้นจนกระทั่งคนออกไปจากถ้ำ แม้แต่คิ้วเขายังคร้านจะกระดิกด้วยซ้ำ
วันไหนที่นางไม่ได้บ่น วันนั้นคงเกิดพายุเข้า
เขาผินหน้าไปทางขวาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ กองฟืนพิงอยู่ข้างกำแพง
เซวียเสี่ยวหรั่นกลับมาที่ถ้ำ แต่ก็หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามกว่าแล้ว
เหตุผลสำคัญก็คือของที่อยู่ในท้องไก่ตกน้ำนั่น เธอตัดใจทิ้งไม่ลง
การล้างทำความสะอาดเครื่องในไก่ต้องเสียเวลามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไส้กับกึ๋นต้องใช้เวลาในการล้างนานกว่าปรกติ
เธอวางเนื้อไก่ในช่องกำแพงหินเดียวกับที่วางเนื้องู แล้วหยิบกระเทียมป่ากับเห็ดวิ่งไปที่ริมน้ำ
ครั้งนี้เธอใช้เวลาไม่นานก็หอบของที่ล้างสะอาดแล้วกลับมาในถ้ำ
เธอหิวจะแย่แล้ว
เธอเอาไก่ที่หั่นเรียบร้อยแล้ววางบนแผ่นหินที่ตั้งบนกองไฟ แล้วย่างไก่ด้วยวิธีเดียวกับการย่างเนื้องู
"ไม่มีเกลือ แต่พวกเรามีชิงฮวาเจียว"
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบชิงฮวาเจียวออกมา ไม่สนใจว่าจะต้องล้าง ก็ปลิดขั้วของมันแล้วโยนลงไปในกระทะหิน
กลิ่นฉุนของฮวาเจียวพุ่งเข้าจมูก
เหลียนเซวียนแสบจมูกจนหน้านิ่วคิ้วขมวด
แคว้นฉีตั้งอยู่ทางเหนือ อาหารส่วนใหญ่เป็แป้งเน้นต้มกับตุ๋นเป็หลัก รสชาติค่อนไปทางเค็ม ไม่ชอบรสเผ็ด และรสชาติที่ให้ความรู้สึกชาลิ้น เครื่องปรุงประเภทฮวาเจียวจึงไม่เป็ที่นิยมในแคว้นฉี
ดังนั้นเหลียนเซวียนไม่ชอบอาหารรสชาติแบบหมาล่า [1]
"แค่กๆ ฉุนจริง ฮวาเจียวยังไม่แดงก็ฉุนขนาดนี้แล้วหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นไอสองสามครั้ง แต่สีหน้ากลับพึงพอใจ "ฮวาเจียวสามารถกำจัดความชื้น ขับไล่ความหนาวเย็น ไล่แมลง กินมากหน่อยมีประโยชน์ต่อร่างกาย หืม... ถ้าหาล่าเจียว [2] ได้ก็ยิ่งดี"
เหลียนเซวียนหนังตากระตุก เหตุใดรสนิยมของนางช่างเหมือนกับศิษย์พี่ยิ่งนัก หรือว่านางเป็คนแคว้นหลี?
แคว้นหลีตั้งอยู่ทางใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเทือกเขาและหุบเขาสูงชัน คนที่นั่นชอบรสชาติแบบหมาล่าเป็ที่สุด อาหารแต่ละอย่างล้วนมีเงาของล่าเจียวสีแดงทั้งสิ้น
ตอนที่เขามาถึงหุบเขาราชันโอสถใหม่ๆ ยังไม่รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของศิษย์พี่ ถูกเขาบังคับให้กินอาหารสองสามมื้อ แต่แค่เห็นอาหารที่มีสีแดงเต็มโต๊ะเขาก็กลัวจนขวัญหนีดีฝ่อแล้ว อาหารมื้อหนึ่งกว่าจะกินหมดเป็ความทุกข์ทรมานเหลือหลาย ผลที่ตามมาหลังจากนั้นยิ่งอนาถ ยามปลดทุกข์่ล่างก็แสบร้อนแทบปลิดิญญา ชวนให้คนไม่อาจลืมเลือนชั่วชีวิต
ต่อมาทุกครั้งที่ศิษย์พี่มาเชิญกินข้าว เหลียนเซวียนก็นึกอยากทุบตีเขาให้น่วม
...
[1] หมายถึงรสเผ็ดแบบชาลิ้น
[2] หมายถึงพริก