เงื่อนไขของอวิ๋นอี้นั้นเรียบง่ายและชัดเจนนัก หากนางมีวิธีทำให้ร้านกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ฉะนั้นรายได้ของกิจการครึ่งหนึ่งต้องเป็ของนาง
ซึ่งหมายความว่านาง้าเป็หุ้นส่วน
ลู่จงเฉิงมีเงินก็ลงเงิน นางมีแรงก็ลงแรง
อวิ๋นอี้รู้ดีว่าเงื่อนไขของนางนั้นจะมากไปเสียหน่อย ลู่จงเฉิงไม่โง่พอที่จะให้นางร่วมหุ้นโดยไม่ลงเงิน
เป็เช่นนั้น พอได้ฟังคำพูดของนาง ลู่จงเฉิงก็ยิ้มออกมา
พอเขายิ้ม อวิ๋นอี้ก็แทบทนไม่ไหวเสียแล้ว
ใบหน้าที่ดูหม่นหมองและเฉยเมย ในทันใดก็สง่างามมีชีวิตชีวาขึ้นมา คิ้วที่คมชัดดูมีเสน่ห์จนผู้ใดละสายตาจากไปไม่ได้
อวิ๋นอี้สูดหายใจเข้าลึกๆ แอบคิดถึงความงดงามของเขาอยู่หลายครา กว่าจะดึงสติกลับมาได้
นางครุ่นคิดเล็กน้อยและสบตากับลู่จงเฉิงอีกครั้ง
ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปาก อีกฝ่ายก็พูดขึ้นก่อนว่า “พระชายาช่างราวกับสิงโตอ้าปากนะพ่ะย่ะค่ะ!” [1]
อวิ๋นอี้ชะงัก ยิ้มแต่ไม่พูดกระไรออกมา รอให้เขาพูดจนจบ ถึงจะมองเขาต่อนิ่งๆ
น่าแปลกที่คราวนี้ไม่มีความตื่นเต้นแล้ว
นางอธิบายทีละอย่างช้าๆ “เหตุผลที่ข้า้ากำไรครึ่งหนึ่ง นั่นก็เพราะว่าข้ามีความสามารถ ตราบใดที่ร้านของท่านยังเปิดต่อไป ข้ารับประกันได้ว่ามันจะหาเงินได้ต่อ แต่ข้าขอถามท่านมหาเสนาบดีนะเ้าคะ ว่าท่านทำได้หรือไม่? ท่านรับประกันได้หรือไม่ว่าร้านของท่านจะยังคงเปิดดำเนินไปได้? พูดอย่างไม่เกรงใจ ถ้าข้าไม่ออกโรง ตามความเห็นของข้า ร้านค้าสองแห่งภายใต้การดูแลของท่าน อยู่ได้มากสุดมิเกินสามเดือน ก็ต้องปิดตัวลง เมื่อถึงเวลาข้าจะรับมาทำต่อ มันก็สามารถกลับมาทำเงินได้แน่นอน”
เดิมทีอวิ๋นอี้วางแผนไว้เช่นนี้
ไม่มีผู้ใดอยากแบ่งเงินให้ผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้น นางชอบที่จะได้เงินมาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่า
แต่เมื่อหลังจากที่รู้ว่าเ้าของร้านทั้งสองร้านเป็ลู่จงเฉิง นางก็เปลี่ยนไป ขอเพียงแค่กำไรครึ่งหนึ่งเพียงเท่านั้น
เมื่อพูดไปเช่นนี้แล้ว ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าไพ่ตายของอีกฝ่ายคือกระไร
ห้องเงียบลงอีกครั้ง ลู่จงเฉิงไม่พูดกระไรอีก เขาหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบทีละอึก
หมอกควันขาวที่คลุ้งหายไป อวิ๋นอี้ไม่รีบร้อน นางพอมีเวลาอยู่กับเขา
เงื่อนไขที่นำเสนอไปเป็สิ่งที่ดึงดูดใจ
ผู้ที่เสียเงินมิใช่นาง นางไม่ทรมานใจนัก แต่ผู้ที่กำลังลุกเป็ไฟอยู่นั้นคือลู่จงเฉิง
สุดท้าย ลู่จงเฉิงก็พยักหน้า "ตกลง ข้ายอมรับ ตราบใดที่ท่านสามารถทำให้ร้านกลับมามีชีวิตชีวาและทำกำไรได้ แบ่งให้ท่านครึ่งหนึ่งก็มิใช่เื่ใหญ่กระไร"
นี่เป็การร่วมมือระยะยาว เขาคำนวณได้ชัด
อวิ๋นอี้ยิ้มอย่างพึงพอใจ นางแนะนำว่า "ในเมื่อเราสองคนได้บรรลุข้อตกลงแล้ว กระนั้นก็ลงควรลงนามเขียนข้อตกลงกัน จะได้มิมีผู้ใดหนีนะเ้าคะ"
“เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
พูดแล้วทำเลย ทั้งสองคนไม่มัวเสียเวลา ทั้งยังร้านของลู่จงเฉิงยังมีตั้งสองร้าน รอต่อไปเช่นนี้มิได้แล้ว
ขืนเป็เช่นนี้ต่อไป ถึงจะนับว่าเป็คนโง่เงินเยอะอย่างลู่จงเฉิงก็ไม่อาจจะทานไว้ได้
อวิ๋นอี้พูดอธิบาย จ่างกุ้ยร้านฝนหมึก ลู่จงเฉิงเขียน หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ข้อตกลงสองชุดก็ถูกสร้างขึ้น
หลังจากตรวจสอบซ้ำ แน่ใจว่าไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสองคนก็ลงนามและกดลายนิ้วมืออย่างจริงจัง
ลู่จงเฉิงยื่นสำเนาข้อตกลงให้นาง อวิ๋นอี้เหลือบมองและหน้าก็แดง
ตัวอักษรของเขาช่างเหมือนกับตัวเขาเสียจริง มีความหมาย งดงาม และให้ความรู้สึกสูงส่งระหว่างบรรทัด
ถัดจากลายนามของเขา ก็เป็นาง
อืม...น่าเกลียดนัก
นางไม่ชอบอ่านหนังสือ ปกติแล้วก็ี้เีเขียนหนังสือ ทั้งยังพู่กันยังเขียนได้ไม่ค่อยดีด้วย นางจึงเขียนไปชุ่ยๆ
ตอนที่เขียนไม่ได้รู้สึกอายกระไร แต่เมื่อชื่อทั้งสองรวมเข้าด้วยกัน ก็รู้สึกอับอายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
นางมุ่ยปากและพับกระดาษสัญญาอย่างรวดเร็ว ยัดมันเข้าไปในแขนเสื้อ
ทั้งสองก็นับว่าทำเื่เสร็จข้อตกลงสมใจไปแล้ว ตอนที่นั่งลงอีกครั้ง ก็เริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับการพัฒนาร้าน
อวิ๋นอี้มีความคิดมานานแล้ว เกี่ยวกับทั้งร้านตัดเสื้อและโรงเตี๊ยม
เมื่อพิจารณาการเลือกเวลา นางตั้งใจเริ่มที่ร้านตัดเสื้อ
"ท่านตั้งใจจะทำอย่างไรกับร้านตัดเสื้อพ่ะย่ะค่ะ?" ลู่จงเฉิงถาม
อวิ๋นอี้มองมาที่เขา ผ่านช่องไหล่ของเขาไป ได้เห็นท้องฟ้ามืดด้านนอก ก็ใ ที่แท้นางคุยกับเขามาทั้ง่บ่าย!
หรงซิวเป็คนขี้หึงนัก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตอนนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน นางไม่อยากให้หรงซิวเข้าใจผิดอีกแล้ว
อวิ๋นอี้ตัดสินใจกลับบ้าน นางอธิบายให้ลู่จงเฉิงอย่างรวบรัดว่า "ข้ามีแผนการสำหรับร้านตัดเสื้อ ในเมื่อท่านมหาเสนาบดีมอบให้ข้าดูแลแล้ว ได้โปรดวางใจเถิดเ้าค่ะ หากข้าทำให้ร้านตัดเสื้อกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งจริง อย่าลืมรักษาสัญญานะเ้าคะ”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ลู่จงเฉิงไม่รู้จะถามกระไร และเขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่ต้องทุบหม้อเค้นถามให้รู้เื่ทุกอย่าง เขาจึงมอบให้อวิ๋นอี้จัดการ
เมื่อเขาเห็นชอบแล้ว อวิ๋นอี้ก็ชี้ไปที่ท้องฟ้าข้างนอกพอดี "เย็นมากแล้วเ้าค่ะท่านมหาเสนาบดี ข้าขอตัวกลับจวนก่อน"
"ให้ข้าไปส่งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?" จู่ๆ ลู่จงเฉิงก็ถามออกมา ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะยุ่งเื่ชาวบ้าน เมื่อโพล่งออกไปอย่างนั้น ก็รู้สึกเสียใจขึ้นในทันที
ถ้อยคำที่พูดออกไป ก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้วเอากลับคืนมิได้
อวิ๋นอี้ใเล็กน้อย เขาเสนอไปส่งนาง ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง
บรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้แผ่ขยายออกไป เพื่อให้ดูไม่แย่นัก ลู่จงเฉิงอธิบายว่า "พระชายาเป็คนจำทิศทางไม่ได้ ข้าได้ยินเื่นี้มานาน เพลานี้ฟ้ามืดแล้ว ในเมืองหลวงไม่มีความปลอดภัย เมื่อไม่นานคุณหนูซูเดินถนนกลางวันแสกๆ ยังโดนคนดักทุบตี พระชายาเป็ผู้สูงศักดิ์ ข้าไปส่งพระชายาจะปลอดภัยกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำนั้นมีเหตุมีผลชัดเจน อวิ๋นอี้เบิกตากว้างอึ้งๆ
เกรงว่าคำนี้จะเป็คำพูดที่เขาพูดเยอะที่สุดในคราวเดียวของลู่จงเฉิงก็ว่าได้
ยากที่จะปฏิเสธความหวังดี ทั้งสองจึงเดินเคียงข้างกันกลับจวน
อวิ๋นอี้กังวลเล็กน้อย
นางรู้ว่าหรงซิวเป็คนขี้หึงที่งี่เง่า เื่คราวก่อนที่สำนักศึกษาจิงซุ่ย เขาไม่ชอบใจนัก
หากเขาได้เห็นนางกับลู่จงเฉิงกลับไปด้วยกันอีก ไม่รู้ว่าจะโกรธจนหัวฟูเลยหรือไม่
คิดไปคิดมา ก็รู้สึกกระวนกระวายใจ อวิ๋นอี้ได้แต่แอบภาวนาให้หรงซิวยังไม่กลับจวน
ความหวังของนางมลายหายไปสิ้น
หรงซิวไม่เพียงแต่กลับถึงจวนเร็ว แต่ยังเรียกให้คนมารอดูที่ประตูบ้านด้วย
เมื่ออวิ๋นอี้และลู่จงเฉิงเดินเข้ามา หรงซิวที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านก็เห็นเข้าเสียแล้ว
ระยะทางค่อนข้างไกล อวิ๋นอี้ไม่กล้ามองหน้าหรงซิว เพียงแต่เห็นฝีเท้าของเขาหยุดนิ่ง แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วราวลมกระโชกแรง
ที่น่าแปลกคือใบหน้าของบุรุษผู้นั้นไม่ดุดัน แต่พร้อมด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ
เขาเอื้อมมือไปหานางอย่างเป็ธรรมชาติ "อวิ๋นเออร์ มานี่"
"......"
ในสถานการณ์เช่นนี้ อวิ๋นอี้จะหักหน้าเขาได้หรือ?
แน่นอนว่าไม่
นางวิ่งไปหาเขาอย่างเชื่อฟัง วินาทีต่อมาก็ถูกแขนที่แข็งแรงโอบรอบเอวไว้ กดนางเข้าไปแนบในอ้อมแขนของเขา ทั้งสองยืนอยู่ชิดกันทันที
ลมหายใจของหรงซิวปกคลุมมารอบตัว
ไม่รู้เพราะเหตุใด ใจที่กระสับกระส่ายของอวิ๋นอี้ก่อนหน้านี้ ค่อยๆ สงบลง
นางได้ยินเสียงทุ้มและเย้ายวนของเขา เงยหันไปทางลู่จงเฉิง "ขอบใจอัครมหาเสนาบดีขวาลู่มาก ที่มาส่งชายาข้าด้วยตนเอง"
"ไม่เป็ไรพ่ะย่ะค่ะ" ขนตาของลู่จงเฉิงขยับเล็กน้อย สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ข้ากับพระชายาคุยกันอย่างถูกคอจนเพลานี้ เป็ธรรมดาที่ต้องพานางมาส่งพ่ะย่ะค่ะ"
หือ?
จู่ๆ ก็ลู่จงเฉิงพูดจาชวนคิดลึก อวิ๋นอี้ไม่รู้กระไรเลยจริงๆ
คุยกันอย่างถูกคอ ประโยคนี้มันชวนให้เข้าใจผิดนัก!
พวกเขาพูดกันเื่หาเงินทองชัดๆ ได้โปรดหยุดพูดคลุมเครือเช่นนั้นได้หรือไม่!
อวิ๋นอี้ไม่สบายใจ
หรงซิวไม่สบายใจยิ่งกว่า เขาเหลือบมองสตรีตัวน้อย เมื่อเห็นท่าทีไม่ดีของนาง เขาก็หงุดหงิดขึ้นมา
เขาอารมณ์ไม่ดี จึงพูดกับลู่จงเฉิงว่า "ค่ำแล้ว เชิญท่านมหาเสนาบดีกลับเถิด"
มือของหรงซิวที่จับเอวของนางค่อยๆ กระชับขึ้น อวิ๋นอี้ตระหนักว่าจะมีเื่ไม่ดีเป็แน่
จนกระทั่งเขาผลักนางเข้าไปในห้อง กดนางแน่นกับประตูแล้วจูบนางโดยไม่พูดกระไรสักคำ รีบร้อนอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน ราวกับว่ากำลังมองหาที่ระบาย
หรงซิวดูดลิ้นนางจนชา หายใจลำบาก จนนางเรียกชื่อเขาอย่างอู้อี้
"หรง...หรงซิว..."
นางยิ่งนุ่มนวลเท่าใดชายหนุ่มก็ยิ่งดุร้ายขึ้น
ไอ้คนชั่ว
อวิ๋นอี้เหมือนจะเข้าใจรสชาติความชั่วร้ายของเขาแล้ว ในขณะที่เขายังคงละเลงต่อไป นางก็ฉวยโอกาสกัดลิ้นเขาทันที
เขาซี้ดปาก มือที่บีบหน้าของนางปล่อยทันที เว้นระยะห่างระหว่างพวกเขาออก
“เ้าคุยกับเขาเื่กระไร?” หรงซิวไม่ลืมสิ่งที่ทำให้เขาหึง ถามนางอย่างหอบเหนื่อย
พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก เขาจงใจกดทับนางอีกครั้ง ในขณะที่เสียดสีไปมานั้น อวิ๋นอี้ก็รู้สึกการเปลี่ยนแปลงของส่วนนั้น
แม้ว่าจะทำเื่นั้นกันแล้ว แต่นางก็ยังหน้าบาง ก้มหน้าลงอย่างอายๆ ตอบ "คุยเื่ร้านเพคะ"
"ร้านหรือ?" หรงซิวหัวเราะ "ไอ้ร้านที่จะตายวันตายพรุ่ง มิรู้ว่ามีกระไรน่าคุยกันหรือ?"
ประโยคนี้ดึงดูดความสนใจของอวิ๋นอี้ขึ้นมา
นางจับประเด็นได้ แล้วถามต่อ “ฝ่าารู้จักร้านทั้งสองที่เขาเปิดด้วยหรือเพคะ?”
“ใช่” เดิมหรงซิวไม่อยากพูดกระไรมาก แต่เมื่อก้มหน้าลงก็เห็นดวงตาที่สดใสของสาวน้อย อาจเป็เพราะความอยากได้หน้า เขาพูดต่อ “ก่อนหน้านี้เขาอยู่ที่เจียงหนาน เคยทำธุรกิจมากมาย แต่คงเป็เพราะเขาไม่ปกติกระมัง ไม่มีร้านใดที่เขาเปิดจะประสบความสำเร็จสักร้าน ล้วนตายมิตายแหล่ หาเงินไม่ได้สักเท่าใด ได้แต่ชื่อเสียงมา”
อวิ๋นอี้หัวเราะพรวด “เพราะเขาลงทุนกระไรก็เจ๊ง ทำให้มีชื่อเสียงหรือเพคะ? ถูกเรียกว่ากระไรเพคะ!”
“นักค้ามือดำ”
“ฮ่าๆๆๆ!”
นี่มันตลกเสียจริง นางพิงอยู่ในอ้อมแขนของหรงซิว ไหล่สั่นเป็ระยะ
หลังจากหัวเราะจนพอ ก็ถูกหรงซิวบีบคางทันทีที่เงยหน้าขึ้นเขามองดูนางด้วยดวงตาที่ลึกล้ำ บรรยากาศกลางคืนดูเงียบสงัดยิ่งขึ้นไปอีก
อวิ๋นอี้กะพริบตา ฟังที่เขาถาม “ก็แค่นักค้ามือดำ เ้ามีกระไรจะพูดกับเขา?”
เขายืนกรานที่จะถามให้รู้เื่
เมื่อเห็นว่าเลี่ยงต่อไปไม่ได้แล้ว อวิ๋นอี้จึงบอกความจริงว่า “ข้าบอกเขาว่าข้ามีวิธีทำให้ร้านเขากลับมามีชีวิต เขาไม่เชื่อ ข้าจึงบอกว่าข้าจะลองดู เพียงเท่านั้นเพคะ"
“เ้าจะทำให้ร้านเขากลับมาหรือ?" หรงซิวแปลกใจ "เมื่อก่อนเ้าเกลียดเื่ธุรกิจค้าขายเป็ที่สุด"
เขากับอวิ๋นอี้ไม่ได้โตมาด้วยกัน แต่ก่อนอภิเษก ได้มีการศึกษาซึ่งกันและกันมาบ้าง
เป็ไปได้หรือไม่ว่าการตกจากหน้าผาและสูญเสียความทรงจำจะสามารถทำให้คนเกิดใหม่ได้จริงๆ และแม้แต่สิ่งที่ไม่เคยมีความข้องเกี่ยวมาก่อนก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย?
ความอยากรู้ของหรงซิว ทำให้อวิ๋นอี้ตระหนักขึ้นเล็กน้อย นางนึกถึงสถานะของตัวเองได้ “ฝ่าา ข้าบอกแล้วไงเพคะ ว่าข้ามิใช่ข้าที่ข้าเคยเป็ เมื่อก่อนไม่ชอบ มิได้หมายความว่าเพลานี้จะไม่ชอบด้วย เมื่อก่อนข้ายังเคยชอบท่านอย่างโงหัวไม่ขึ้นเลยเพคะ แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกกับท่าน..."
นางหยุดพูดตรงนั้น ก็เห็นว่าสีหน้าของหรงซิวเปลี่ยนไป นางรีบเปลี่ยนหัวข้อแล้วพูดว่า "ท่านมิได้พูดเองหรือว่า จะสนับสนุนข้าไม่ว่าข้าจะทำการใด? เพลานี้ข้าอยากจะลองดู มิได้หรือ?"
แน่นอนว่าหรงซิวพูดได้อย่างเดียวว่าได้
พูดตามตรง เขาค่อนข้างตั้งหน้าตั้งตารอว่าอวิ๋นอี้จะทำการใด
เชิงอรรถ
[1] สิงโตอ้าปาก 狮子大开口 หมายถึง ผู้ที่มีเงื่อนไขยาก หวังหาประโยชน์มาก