ในเวลาเดียวกันกับที่เย่ชิงหานร้องคำรามออกมา คลื่นพลังแสงคมมีดด้านหน้าเริ่มขยายใหญ่ยาวขึ้นจนกลายเป็รูปร่างัเพลิงที่มีขนาดความยาวหลายเมตร จากนั้นคลื่นพลังแสงคมมีดัเพลิงได้ลอยพุ่งออกไปพร้อมด้วยอานุภาพพลังทำลายล้างที่เฉียบคมรุนแรง ชั่วพริบตาเดียวมันพุ่งเข้าปะทะชนอย่างหนักหน่วงกับเครือเถาวัลย์มากมายที่กำลังเลื้อยพุ่งตรงเข้ามา
ผัวะ ผัวะ ผัวะ!
ไม่มีการะเิใหญ่ ไม่มีเสียง “แกร้งๆ” ของเหล็กที่กระทบกันดังขึ้น พลังแสงคมมีดขนาดั์ที่ราวกับัเพลิงพุ่งทะลุเครือเถาวัลย์ทีเลื้อยพุ่งเข้ามาได้อย่างง่ายดายโดยไม่ถูกกีดขวางหรือสะกัดกั้นไว้แม้แต่น้อย สบายและง่ายดายเหมือนกับใช้กริชัเขียวแทงทะลุท่อนไม้ธรรมดาทั่วไปอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายคลื่นพลังแสงคมมีดัเพลิงแทงทะลุกรงขังเครือเถาวัลย์จนเกิดเป็รูกว้างขนาดสองเมตรกว่าขึ้นมา
“ฮ่าๆ...”
แสงแดดที่โหยหามาเนิ่นนานพลันสาดส่องเข้ามาให้เห็นทำเอาดวงตาของเขาต้องหรี่ลงเองโดยอัตโนมัติ มองดูต้นไม้ใบหญ้าภายนอกที่ถูกแสงแดดส่องกระทบเปล่งประกายสีเขียวขลับมันวาวให้เห็น เย่ชิงหานเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นขึ้น ร่างกายขยับวูบรีบพุ่งทะลุผ่านรูกว้างที่กำลังเริ่มฟื้นฟูกลับมาเชื่อมปิดสนิทอีกครั้งนั้น ในที่สุดเขาก็เดินออกมาจากกรงขังเครือเถาวัลย์ที่คุมขังเขาเอาไว้เป็เวลาหลายเดือนได้สำเร็จ
“อาส์...รสชาติของแสงแดดยังคงหอมหวานเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง!”
เย่ชิงหานยืนนิ่งอยู่บนพื้นดิน ไม่ได้สนใจต่อเครือเถาวัลย์ที่กำลังหดกลับไป ทำเพียงแหงนหน้ามองขึ้นไปยังท้องฟ้ามองดูพระอาทิตย์ที่กำลังส่องแสงร้อนแรงจนแสบตานั้น แม้จะไม่รู้ว่าพระอาทิตย์ในที่แห่งนี้จะเป็ดวงเดียวกันกับของทวีปัเพลิงหรือไม่ แต่เขารู้แค่เพียงว่าแสงแดดที่สาดส่องอยู่บนตัวของเขาในตอนนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นสบายตัวอย่างถึงที่สุด
ดื่มด่ำอยู่เพียงชั่วครู่เขาไม่ได้หยุดพักอยู่นาน รีบมุ่งหน้าเข้าไปหาบันไดสีดำอ่อนที่อยู่ภายในม่านพลังครอบโปร่งแสงโดยทันที
.................................
“ลูกพี่ ทำไมท่านถึงกลายเป็ห้าวหาญดุดันขึ้นมาอย่างฉับพลันเช่นนี้ได้ล่ะ? แค่กระบวนท่าเดียวถึงกับฟันทะลุกรงขังเครือเถาวัลย์ออกมาได้เลย?”
ภายในหุบเขาเล็กๆ เสี่ยวเฮยอ้าปากกัดเนื้อย่างอย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าเล็กๆ ของมันเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความปีติยินดี
“แหะๆ!”
เย่ชิงหานมือข้างหนึ่งจับน่องไก่ป่าน่องใหญ่กัดลงไปคำหนึ่ง ตอนนี้อารมณ์ปลื้มปีติยินดีเป็อย่างมากไม่หลงเหลือแววของความเซื่องซึมเมื่อหลายเดือนก่อนแม้แต่น้อย สีหน้าดูสดใสจิตใจดูเบิกบาน
“เื่นี้ต้องขอบคุณเ้าอย่างมากเลยละเสี่ยวเฮย คำพูดเรื่อยเปื่อยของเ้าทำให้ข้าคิดขึ้นมาได้อย่างฉับพลันจนเข้าใจได้ถึงความลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ภายในเจ็ดกระบวนท่าเย่หวง จนสามารถผสานทั้งสี่สิบเก้ากระบวนท่าให้รวมเป็หนึ่งเดียว อานุภาพพลังทำลายล้างเพิ่มมากขึ้นกว่าสิบเท่าตัว ใช้ทำลายกรงขังเครือเถาวัลย์จึงง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ...”
เย่ชิงหานเริ่มค่อยๆ อธิบายให้เสี่ยวเฮยฟัง ที่แท้เจ็ดกระบวนท่าเย่หวงต้องค่อยๆ ทำการแตกขยายกระบวนท่าออกไปเรื่อยๆ ทุกๆ กระบวนท่าจะสามารถแตกขยายออกไปอีกได้ถึงเจ็ดกระบวนท่าจนกระทั่งครบสี่สิบเก้ากระบวนท่า จากนั้นนำทั้งสี่สิบเก้ากระบวนท่ามาผสานรวมเข้าด้วยกันอีกครั้งหนึ่งจนกลายเป็กระบวนท่าเดียว การทำเช่นนี้คล้ายกับแหที่ใช้หาปลา นำเส้นเล็กเส้นน้อยมาถักทอเข้าด้วยกันจนแ่าไม่สามารถแยกออกจากกันได้และกลายเป็หนึ่งเดียวกัน อานุภาพก็จะเพิ่มมากขึ้นเป็สิบๆ เท่าตัว
ตัวอย่างที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดคือเชือกป่าน หากนำเชือกป่านเส้นใหญ่มาหมุนรวมเข้าด้วยกันคงจะทำได้ยากและไม่เหนียวแน่นทนทานเท่าที่ควร แต่ถ้าหากนำเชือกป่านมาแยกออกเป็เส้นเล็กๆ จำนวนเจ็ดเส้นแล้วค่อยๆ นำมาหมุนรวมเข้าด้วยกันทีละเส้นจนกลายเป็เชือกป่านเส้นใหญ่ขึ้นมา การทำเช่นนี้ทั้งง่ายและทำให้เชือกเหนียวแน่นทนทานมากกว่า สามารถแบกรับน้ำหนักได้เป็ร้อยๆ กิโลกรัม
หลักการเดียวกัน ถ้าหากนำเจ็ดกระบวนท่าเย่หวงมาบังคับผสานรวมเข้าด้วยกันคงทำได้ยากลำบากเป็อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผสานรวมเข้าด้วยกันแล้วก็คงได้เพียงแค่สองสามกระบวนท่า พลังอานุภาพก็คงไม่รุนแรงอะไรมาก แต่ถ้าหากแยกมันออกมาเป็กระบวนท่าเล็กๆ หลายๆ กระบวนท่าแล้วค่อยผสานรวมกันอีกครั้งหนึ่งจนกลายเป็กระบวนท่าเดียว ทำเช่นนี้ดูจะง่ายดายกว่าและอานุภาพพลังทำลายล้างก็จะเพิ่มสูงมากยิ่งกว่าด้วย
ทุกอย่างที่พูดออกมานั้นฟังดูง่ายดาย แต่เมื่อลงมือทำจริงๆ นั้นยากลำบากเป็อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาดว่าขั้นตอนวิธีการฝึกฝนเจ็ดกระบวนท่าเย่หวงอย่างละเอียดคงเลือนหายไปจากตระกูลเย่ตั้งนานแล้ว มิฉะนั้นละก็เวลาหลายปีมานี้ภายในตระกูลเย่คงมีผู้ฝึกฝนจนสำเร็จได้หลายคนแล้ว
อย่างไม่ต้องสงสัย...ถ้าหากไม่ใช่ว่าเย่ชิงหานเข้าสู่สภาวะความสงบแห่งิญญาซึ่งทำให้การทำงานของระบบความคิดรวดเร็วมากยิ่งกว่าเวลาปกติถึงสิบกว่าเท่าตัว อีกทั้งหากไม่ได้เกิดความเข้าใจขึ้นมาได้โดยฉับพลันเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา คิดว่าตัวเขาเองก็คงไม่สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาเจ็ดกระบวนท่าเย่หวงที่ลือเลื่องของปฐมาจารย์บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลได้สำเร็จอย่างแน่นอน
.................................
“ว้าว... สิ่งที่ท่านพูดข้าฟังไม่เข้าใจ แต่ดูท่าคงจะร้ายกาจไม่เบาเลยสินะ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งชื่อกระบวนท่าที่ท่านตั้งขึ้นฟังแล้วน่าเกรงขามมากเลยทีเดียว!” เสี่ยวเฮยกินเนื้อย่างไปพลางฟังเย่ชิงหานพูดอธิบายไปพลาง สุดท้ายก็ฟังแบบไม่เข้าใจเสียส่วนใหญ่ ส่งเสียงร้อง “จี๊ดๆ” ขึ้นอย่างดีอกดีใจแล้วส่งกระแสเสียงมาอีก
“ลูกพี่? ตอนนี้ท่านมีความมั่นใจว่าจะทะลวงผ่านด่านสุดท้ายได้หรือยัง? ทะลวงออกไปจากด่านเส้นทางเชื่อมหุ่นเชิดูเาแห่งนี้เข้าไปยังด่านที่สาม...จากนั้นทะลวงผ่านด่านที่สามเข้าไปรับเอาสมบัติล้ำค่าระดับเทพแล้วกลับตระกูลเย่กัน!”
ตระกูลเย่!
ภายในใจเย่ชิงหานบังเกิดความคิดถึงขึ้นมา ไม่ใช่คิดถึงตระกูลเย่ที่เคยอยู่อาศัย แต่คิดถึงคนสองคนที่อยู่ภายในตระกูลเย่ ในขณะเดียวกันก็คิดถึงทะเลสาบแห่งความเงียบสงบที่อยู่ด้านหลังเมืองเซียวหุนขึ้นมาด้วย
เขารีบทำการส่ายหัวสลัดความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นมาภายในหัวออกไป สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “เสี่ยวเฮย ความคิดเ้าไร้เดียงสาจนเกินไป อย่าเพิ่งพูดไปถึงด่านที่สามเลย เอาแค่ด่านสุดท้ายของเส้นทางเชื่อมหุ่นเชิดูเา ข้ายังไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะผ่านไปได้เลย แต่ว่ามิติคู่ขนานด่านที่หกถึงด่านที่สิบเอ็ดข้าค่อนข้างมั่นใจอย่างมากว่าจะผ่านไปได้ไม่ยากนัก หยุดพักสักสามวันแล้วพวกเราค่อยทำการทะลวงผ่านทั้งหกด่านในคราเดียว...”
“เยี่ยม อย่างนี้สุดยอดเลย! ลูกพี่ข้าขอไปอาบน้ำก่อนละ จี๊ดๆ!”
.................................
หลังจากหยุดพักผ่อนจนครบสามวันเย่ชิงหานเริ่มต้นออกเดินทางอีกครั้ง เสียเวลาไปมากแล้วจากห้าด่านที่ผ่านมา กำหนดระยะเวลาสามปีตอนนี้ล่วงเลยมากว่าครึ่งแล้ว ข้างหน้ายังมีอีกเจ็ดด่านและด่านมหาหินสุดท้ายอีกหนึ่งด่าน
เขาเดินเข้าไปภายในปากทางเชื่อมโดยที่ไม่ได้รวมร่างสัตว์อสูรแต่อย่างใด หลังจากออกมาจากหุบเขาแล้วมาโผล่ที่เส้นทางเชื่อมหุ่นเชิดูเาขนาดใหญ่อีกครั้ง ไม่รอให้สัตว์ประหลาดโผล่ออกมาเขารีบพุ่งทะยานตรงเข้าไปภายในปากทางเข้ามิติคู่ขนานด่านที่หกโดยทันที
ด่านที่หกเป็เนินหินระเกะระกะ ทุกๆ ที่ล้วนเต็มไปด้วยเนินหิน ส่วนสัตว์ประหลาดในด่านที่หกคืุ์หิน ครั้งแรกที่เห็นเย่ชิงหานรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริด แต่สุดท้ายก็ควงกริชฟันคลื่นพลังแสงคมมีดออกไปทำลายจนมนุษย์หินแหลกละเอียดเป็ผุยผงไป
เวลาผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งวันเย่ชิงหานก็ทะลวงผ่านมาจนเห็นบันไดสีดำอ่อนในม่านพลังครอบโปร่งแสง สัตว์ประหลาดที่เฝ้ารักษาอยู่เป็มนุษย์หินเช่นเดิมแต่มีขนาดรูปร่างที่ใหญ่กว่าที่ผ่านมาหลายเท่าตัว อย่างไม่รีรอเย่ชิงหานใช้กระบวนท่า “ตัดแยกทลายโลกา” โจมตีเข้าใส่จนหน้าอกของมนุษย์หินทะลุเป็รูโบ๋ขนาดใหญ่ จากนั้นจึงเดินเข้าม่านพลังครอบโปร่งแสงไป
เขาไม่ได้หยุดพักยังคงทำการทะลวงผ่านด่านที่เจ็ด ด่านที่แปดไป...
ผ่านด่านที่เจ็ดและแปดมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก มาถึงด่านที่เก้าเขาพบกับปัญหายุ่งยากเล็กน้อย เขาพบเข้ากับมารอสูรระดับเจ็ดหนูกลืนศิลา หนูกลืนศิลาแม้ฟันเขี้ยวของมันจะสามารถกัดหินศิลาให้แหลกละเอียดได้ ระดับความเร็วถือว่าอยู่ในระดับขั้นที่ไม่เลวพลังป้องกันก็แข็งแกร่ง แต่เย่ชิงหานไม่ได้มองอยู่ในสายตาแต่อย่างใด เพียงแต่ที่เขาพบเจอไม่ใช่เพียงแค่ตัวเดียว แต่กลับเป็โขยงที่ไม่สามารถจะนับจำนวนได้มืดฟ้ามัวดินไปหมด อย่างน้อยมีไม่ต่ำกว่าพันล้านตัว
ลักษณะภูมิประเทศของด่านที่เก้าเป็พื้นที่ราบทั้งหมดซึ่งไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัว แต่ยังดีที่เมื่อเข้ามาถึงก็สามารถมองเห็นม่านพลังครอบโปร่งแสงได้ในทันทีเพราะลักษณะเป็พื้นที่ราบไม่มีสิ่งกีดขวางหรือปกปิดใดๆ เลยนั่นเอง
อย่างไม่มีทางเลือกเย่ชิงหานจำใจต้องมุ่งหน้าฝ่าตรงไปเพียงอย่างเดียว ในระหว่างทางสนามพลังพังทลายลงหลายครั้งเนื่องจากถูกหนูกลืนศิลาจำนวนนับไม่ถ้วนรุมกัดทึ้ง สุดท้ายจึงทำได้แค่เพียงพยายามปกป้องส่วนศีรษะเอาไว้ ส่วนอื่นๆ ถูกหนูกลืนศิลาที่รุมเข้ามากัดผิวเนื้อขาดออกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั่วทั้งตัวสภาพน่าเวทนาเป็อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งถูกกัดเข้าที่นิ้วมือจนกระดูกแทบจะขาดหลุดออกไป
ยังดีที่มีแหวนทองเหลืองสมบัติล้ำค่าระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยมันทำการปล่อยกระแสพลังออกมารักษาได้ทันท่วงที เขาฝืนทนอาการาเ็ภายในที่เกิดจากการแตกสลายของสนามพลังและอาการาเ็ภายนอกที่ถูกหนูกลืนศิลารุมกัดผิวเนื้อ ฝืนทำการเปิดใช้สนามพลังเดินไปจนกระทั่งถึงม่านพลังโปร่งแสง จากนั้นไปโผล่ขึ้นที่หุบเขาเล็กๆ ที่มีไว้เพื่อให้พักผ่อน เขาทำการสำรวจดูร่างกายของตนเองมองเห็นทั่วร่างที่เต็มไปด้วยรอยแผลเหวอะหวะจึงอดไม่ได้ที่จะมีเหงื่อเย็นไหลผุดออกมา จากนั้นจึงล้มตึงลงไปกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้