"หาก้าเห็นฝีมือที่แท้จริงของข้า ด้วยระดับพลังของท่านในตอนนี้ยังนับว่าไม่คู่ควรสักเท่าไหร่นัก!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความเคร่งขรึม
เนตรแห่ง์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าเคล็ดวิชากระบี่ตรงหน้าที่ชายหนุ่มใช้กับตนนั้นเป็หนึ่งสุดยอดเคล็ดวิชากระบี่ที่ขึ้นชื่อของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ การนำมาใช้กับศิษย์ใหม่เช่นนี้หนิงอ้ายมองว่าเป็การรังแกกันเกินไปเสียหน่อย ดังนั้นเพื่อเเสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ทุกคนสามารถบีบได้โดยง่ายจึงต้องแสดงฝีมืออกมาเสียบ้างแล้ว
เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือของหนิงอ้ายได้ถูกปรับเปลี่ยนโดยการใช้อักขระเวทย์โบราณเข้าเสริมจึงทำให้เคล็ดวิชานี้มีอาณุภาพไปไม่ต่างบทเวทย์ระดับเซียนเสียด้วยซ้ำ เห็นแก่ที่ชายหนุ่มศิษย์สายนอกผู้นี้ที่อายุน้อยกว่า (อายุน้อยกว่าในโลกเดิม) เช่นนั้นเขาจะใช้พลังปราณเพียงสามสี่ส่วนเพื่อไม่ให้เป็อันตรายต่ออีกฝ่ายไปมากนักก็แล้วกัน
มือขวาของหนิงอ้ายตวัดขึ้นกระบี่เล่มงามที่ถูกผนึกขึ้นจากปราณธาตุไฟก่อนหน้าได้สลายหายไปในอากาศ ก่อนที่รอบตัวของเด็กหนุ่มจะปรากฎขึ้นเป็กระบี่เจ็ดเล่มที่แผ่กลิ่นอายความเหนือชั้นอหังการออกมา ก่อนที่หมุนวนโดยรอบเด็กหนุ่มราวกับว่าเป็ปราการกระบี่เสียอย่างนั้น สองมือของเด็กหนุ่มยังคงตวัดไปมาเพื่อบัญชาการกระบี่เหล่านี้
แม้ว่าจะต้องใช้ลมปราณในร่างกายไปไม่น้อย แต่ด้วยเพราะหนิงอ้ายได้ใช้เวทย์มหาทวีจิตะอนันต์ไปพร้อมกัน จึงทำให้เขานั้นสามารถใช้บทเวทย์พร้อมกันสองบทในคราเดียว ความพิศดารล้ำลึกในการบัญชาการเคล็ดวิชากระบี่และการใช้พลังปราณได้อย่างลึกล้ำเช่นนี้เมื่อปรากฎในเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้นนับว่าสร้างความประหลาดใจแก่ผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก...
"เคล็ดวิชากระบี่นี้ถูกเสริมแต่งด้วยอักขระเวทย์โบราณไม่ทราบว่าเป็ผู้ใดคิดค้น แต่หากกล่าวว่าผู้คิดค้นเป็อัจฉริยะแล้วนั้นแต่การที่เด็กอายุสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่งสามารถสำแดงความสามารถของเพลงกระบี่ได้ ข้าอยากให้เด็กคนนี้เป็ศิษย์ของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ของข้ายิ่งนัก..." เ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชมและด้วยคำกล่าวนี้ทำเอาศิษย์สายในของตำหนักที่อยู่โดยรอบกายของผู้าุโท่านนี้ถึงกับตกตะลึงกันเลยทีเดียว
"ฝันไปเถอะตาเฒ่า อย่างไรข้าก็ต้องได้เ้าเด็กหนิงอ้ายผู้นี้มาเป็ศิษย์ของข้าอย่างแน่นอน" หญิงวัยกลางคนผู้เป็เ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยขึ้นโดยทันที เพราะตนมองออกว่าเด็กหนุ่มยังเก็บงำประกายความสามารถของตนและแสดงออกมาเพียงสองสามส่วนก็เท่านั้น
"เด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายผู้นี้นั้นมีปราณธาตุไฟต้นกำเนิดที่บริสุทธิ์สิบส่วนหาได้ยากยิ่งในรอบหลายร้อยปี เช่นนั้นหากเด็กหนุ่มเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งศาสตราวุธของข้าแล้ว ด้วยทรัพยากรและเคล็ดวิชาส่วนตัวของข้าย่อมทำให้เขานั้นก้าวสู่ระดับแถวหน้าของนักหลอมสร้างในยุทธภพได้อย่างแน่นอน..." ผู้เป็เ้าตำหนักศาสตร์แห่งศาสตราวุธเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ สายตาของเขายังคงจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความตื่นเต้นด้วยเพราะความบริสุทธิ์ทั้งสิบส่วนของปราณธาตุไฟต้นกำเนิดนั้นหาได้ยากยิ่ง
ความวุ่นวายและการถกเถียงที่เกิดขึ้นนี้ต่างตกอยู่ในสายตาของผู้าุโและพันธมิตรของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ามาร่วมกับชมการทดสอบของศิษย์ใหม่ในครั้งนี้ แน่นอนว่าจุดสนใจของพวกเขาทั้งหลายในที่นี้ต่างตกอยู่ที่เด็กหนุ่มที่มีนามว่าหนิงอ้ายที่ตอนนี้ได้อยู่ตรงสนามประลองที่คาดเดาได้อย่างไม่ยากนักว่าท้ายที่สุดนี้จะเป็ใครกันที่เป็ผู้ชนะ
"หนิงอ้ายอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านี้แต่กลับสามารถใช้เคล็ดวิชากระบี่ได้เชี่ยวชาญยิ่ง ไม่รู้ว่าเขานั้นเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่นี้ั้แ่อายุกี่ขวบปีกัน..." อู๋ฮั่นเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเพลงกระบี่ของสหายตนนั้นมีความลึกล้ำยิ่ง
"ข้าไม่เคยเห็นเคล็ดวิชากระบี่ที่มีความรุนแรงเช่นนี้มาก่อน นี่เป็เคล็ดวิชาประจำตระกูลของพวกเ้าใช่หรือไม่?" จินหั่วเอ่ยถามลู่ซีสหายของตนด้วยความสงสัย เขาสนใจในศาสตร์แห่งกระบี่เป็อย่างมากและคุ้นเคยกับเคล็ดวิชากระบี่ที่ขึ้นชื่อมาอยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยพบเห็นเพลงกระบี่ที่มีความอหังการเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน
"เสี่ยวอ้ายพึ่งเข้าสู่วิถีฝึกตนได้เพียงสองปีเพียงเท่านั้น สำหรับเคล็ดวิชากระบี่นี้เป็วิชาที่อีกฝ่ายดัดแปลงขึ้นและเริ่มฝึกฝนได้เพียงไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้นกระมัง..." เป็ลู่ซีที่เอ่ยตอบกลับสหายของตนไปก่อนที่จะหันกลับไปสนใจผู้เป็น้องชายของตนอีกครั้ง
โดยที่ไม่รู้ว่าทุกคนในที่นี้ต่างเป็ผู้ฝึกตนที่มากไปด้วยพร์และมีฝีมือระดับสูง เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้จึงอดที่จะมองเด็กหนุ่มที่มีนามว่าหนิงอ้ายไม่ได้ ความสามารถเช่นนี้เด็กหนุ่มนั้นย่อมขอเข้าทดสอบเป็ศิษย์สายในได้เลยเสียด้วยซ้ำ
ฟิ้ว!
ตู้ม!
ห่าฝนกระบี่ของชายหนุ่มศิษย์สายนอกนับร้อยเล่มได้กระหน่ำไปยังจุดที่หนิงอ้ายยืนอยู่อย่างรวดเร็วเสียงพุ่งผ่านลมดังขึ้นไปทั่วทั้งบริเวณ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องว่าเด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายจะสามารถตั้งรับได้หรือไม่
แม้จะต้องเผชิญหน้ากับกระบี่นับร้อยเล่มเช่นนี้ เเต่ใบหน้าของหนิงอ้ายยังคงนิ่งสงบด้วยเพราะต้องควบคุมลมปราณเป็อย่างมากเพราะว่าเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือนั้นนอกจากจะต้องใช้พลังลมปราณในร่างกายที่มากมายแล้วนั้นจำเป็ต้องใช้สมาธิญาณััในการกำกับกระบี่ทั้งเจ็ดเล่ม
ทันใดนั้นเมื่อห่าฝนกระบี่ได้มาถึงกระบี่ทั้งเจ็ดเล่มของหนิงอ้ายนั้นได้หมุนวนราวกับเป็พายุอัคคีที่แข็งแกร่งก่อนที่เพียงอึดใจเดียวกระบี่นับร้อยเล่มนั้นจะถูกดูดไปด้วย ก่อนที่กระบี่เล่มสุดท้ายจะพุ่งเข้าโจมตีชายหนุ่มสายนอกคนนั้นด้วยความรวดเร็วอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงถึงความเหนือชั้นของเคล็ดวิชากระบี่ของเด็กหนุ่มที่สามารถต้านทานเคล็ดวิชาของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้ ไม่ทันให้ทุกคนได้หายใจภาพตรงหน้าพลันปรากฎเป็กระบี่เล่มที่เจ็ดที่พุ่งเข้าโจมตีศิษย์สายนอกคู่ประลองพร้อมกับอัดกระแทกอีกฝ่ายไปชนกับม่านพลังอย่างแรงก่อนที่ร่างกายกำยำจะสลบลงไป
ก่อนที่จะมีผู้าุโอีกท่านเข้าไปรักษาในทันที การประลองครั้งสุดท้ายนี้เป็หนิงอ้ายเองที่เป็ผู้ชนะได้อย่างเต็มภาคภูมิ นับว่าเป็สิ่งที่ตอกย้ำได้ว่าศิษย์ใหม่ในปีนี้ของทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือและพร์อย่างแท้จริง
หนิงอ้ายหันไปมองชายหนุ่มคู่ประลองของตนอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้รับาเ็ก็จริงแต่ไม่อันตรายถึงชีวิตและไม่ได้ส่งผลกระทบไปถึงการเลื่อนระดับในวันข้างหน้าเขาจึงสบายใจขึ้นอีกหลายส่วน หากเขาใช้พลังปราณของตนไปมากกว่ากว่านี้อีกฝ่ายคงได้รับาเ็สาหัสอย่างแน่นอน
เมื่อทำการประลองเสร็จแล้วนั้นในตอนนี้ก็ถึงเวลาที่หนิงอ้ายจะต้องเลือกเข้าสังกัดตำหนักศึกษาแล้ว ทุกคนที่อยู่โดยรอบสนามประลองนี้ต่างลุ้นว่าเด็กหนุ่มจะเลือกเข้าตำหนักใดกัน
"ปีนี้ศิษย์ใหม่แต่ละคนต่างมีฝีมือที่โดดเด่นไม่ธรรมดาสามัญกันแทบทั้งสิ้น พวกศิษย์น้องที่มากไปด้วยพร์เช่นนี้ทางตำหนักของเราล้วน้าให้พวกเขานั้นได้เป็ศิษย์ร่วมตำหนักเดียวกันกับพวกเรายิ่งนัก..."
ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปีท่าทางสุภาพคล้ายกับบัณฑิตคนหนึ่งได้เอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของการประลองที่พึ่งจบไปในก่อนหน้านี้ หากพินิจจากเสื้อคลุมตัวนอกที่เขาสวมใส่นั้นจึงทำให้พอทราบว่าชายผู้นี้เป็ศิษย์คนหนึ่งของตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกล
แต่ละตำหนักของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์นอกจากจะมีป้ายหยกประจำตัวสำหรับการแสดงตนแล้ว สีของเสื้อคลุมตัวนอกล้วนมีความแตกต่างกันออกไปที่เห็นได้ชัดอย่างเช่นชายหนุ่มผู้นี้ที่สวมเสื้อคลุมตัวนอกสีฟ้าขาว ด้วยเป็เพราะว่าเป็สีประจำตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลนั่นเอง
"เ้าคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเลือกเข้าตำหนักใด จะเป็ตำหนักเดียวกันกับกลุ่มสหายของเขาหรือไม่?" เสียงของสตรีร่างเล็กผู้หนึ่งที่ใส่เสื้อคลุมตัวนอกสีเเดงขาวเอ่ยถามสหายที่ยืนอยู่ด้านข้างกัน พวกนางทั้งสองล้วนเป็ศิษย์ฝ่ายนอกปีที่สองของทางตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ที่ผ่านการทดสอบของสำนักศึกษาใน่ปีที่ผ่านมา ฝีมือและความแข็งแกร่งของทั้งสองสตรีนั้นไม่สามารถดูเบาได้จากรูปลักษณ์ภายนอกได้เลย
"ดูเหมือนว่าในกลุ่มสหายของหนิงอ้ายคนนี้ส่วนใหญ่จะเข้าร่วมตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ของพวกเราเสียเป็ส่วนใหญ่ ข้าว่าเด็กหนุ่มคนนี้อาจจะเข้าตำหนักเดียวกันก็เป็ได้ เเต่อีกทางหนึ่งเด็กหนุ่มที่มีนามว่าลู่ซีผู้ที่เด็กหนิงอ้ายนั้นเรียกเเทนว่าเป็พี่ชายของตนกลับเข้าร่วมตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลไปเสียอย่างนั้นบางทีเขาอาจจะเลือกเข้าตำหนักเดียวกันกับพี่ชายของเขาก็เป็ไปได้เช่นกัน... " สตรีสาวอีกคนที่สหายด้านข้างได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น นางได้ตอบกลับไปตามที่คาดว่าอาจเป็ไปได้แต่ในขณะเดียวกัน นางยังคงไม่ละสายตาไปจากหนิงอ้ายและกลุ่มสหายของพวกเขาที่ยืนอยู่ด้านข้างสนามประลองแห่งนี้
"ข้าเชื่อว่าการประลองที่พึ่งจบไปเด็กน้อยคนนี้ยังไม่ได้เอาจริงสักเท่าไหร่และด้วยความสามารถของเขานั้นย่อมสามารถท้าชนกับศิษย์สายนอกระดับต้น ๆ ของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ของพวกเราบางคนได้เป็แน่..." ชายหนุ่มรูปร่างกำยำเมื่อได้ยินบทสนทนาของสองสตรีร่วมตำหนักเดียวกัน
พวกเขาล้วนเป็ศิษย์สายนอกปีที่สองของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ที่สังเกตได้จากเสื้อคลุมตัวนอกสีแดงขาวอันเป็สีประจำตำหนักนั้นเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นตัว เพราะชายหนุ่มสามารถรับรู้ได้ว่าฝีมือของเด็กหนิงอ้ายนี้อาจเทียบเท่าหรือมากกว่าเขาในตอนนี้เสียด้วยซ้ำ
"ไม่รู้ว่าตำหนักใดกันจะได้หนิงอ้ายผู้นี้ไปกัน แต่ไม่ว่าตำหนักใดจะได้เขาไปนั้นคงโชคดีมากเป็แน่ที่ได้ศิษย์ร่วมตำหนักที่มากไปด้วยฝีมือเช่นนี้…" สตรีร่างเล็กคนเดิมที่เริ่มการสนทนาเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นแต่เเรกเริ่มได้เอ่ยตอบกลับไปอีกครั้ง ด้วยเพราะว่าหากมีศิษย์ใหม่ที่มากไปด้วยฝีมือหากว่าได้เข้าตำหนักเดียวกัน
การประลองระหว่างตำหนักที่ถูกจัดขึ้นในแต่ละปีตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ย่อมรั้งตำแหน่งอันดับที่หนึ่งได้อีกครั้งเป็แน่ ถึงแม้ศิษย์เก่าทั้งสายนอกและสายในจะถูกบ่มเพาะให้มีฝีมือมากเพียงใดแต่ก็มีไม่น้อยเช่นกันที่เป็ศิษย์ใหม่เหล่านี้สามารถเป็ผู้ชนะในการประลองระหว่างผู้ฝึกตนระดับเดียวกันที่ต่างได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ตนเองและตำหนักอันเป็สังกัดของตน
ทางฝั่งของหนิงอ้ายขบคิดอย่างเคร่งเครียดอยู่ในใจของตนไปไม่น้อย ด้วยเพราะว่าการเลือกเข้าเป็ศิษย์สังกัดตำหนักย่อยในสำนักศึกษานับว่าเป็อีกสิ่งหนึ่งที่ควรตัดสินใจให้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบเพราะว่าเส้นทางของผู้ฝึกตนในวันข้างหน้าจำเป็ต้องใช้ทรัพยากรและสภาพแวดล้อมที่เป็ประโยชน์แก่ตนมากที่สุด
ดังนั้นแล้วเขาจึงต้องพิจารณาอีกครั้งถึงความเหมาะสมของแต่ละตำหนักหากว่าเขาเข้าไปเป็ศิษย์ประจำตำหนักนั้นแล้วจะสามารถส่งเสริมเส้นทางฝึกตนของเขามากเพียงใด ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์นั้นได้ถูกแบ่งออกเป็สี่ตำหนักย่อยดังนี้
ตำหนักที่หนึ่งคือตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของทางสำนักศึกษาแห่งนี้ สำหรับเ้าตำหนักนี้นั่นคือผู้าุโรุ่ยเหอที่มีอีกฐานะหนึ่งในสำนักศึกษาแห่งนี้คือท่านรองเ้าสำนักคนปัจจุบัน ผู้ที่มีหน้าตาหล่อเหลาคมคายสมกับเป็เชื้อสายของกษัตริย์ผู้ปกครองแคว้น ใบหน้าที่เจือไปด้วยรอยยิ้มและท่าทางสุภาพอ่อนโยนล้วนชวนให้สตรีและหนุ่มน้อยที่ได้พบเห็นต่างพยายามหาทางเข้ามาผูกสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งตัวตนของผู้าุโรุ่ยเหอนั้นกล่าวได้ว่าครั้งหนึ่งเคยสร้างชื่อเสียงเป็ที่ประจักษ์แก่โลกยุทธภพมายาวนาน ที่ว่ากันว่าหากต้องเอ่ยชื่อถึงผู้ฝึกตนที่มีระดับสูงและความแข็งแกร่งในระดับแถวหน้านับไปไม่ถึงสิบนิ้วย่อมมีชื่อของปรมจารย์รุ่ยเหอท่านนี้อย่างแน่นอน
สำหรับตำหนักที่สองคือตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกล สำหรับสถานที่ตั้งของตำนักนั้นอยู่ทางทิศตะวันออกของทางสำนัก ท่านเ้าสำนักที่นั่งประจำการอยู่คือผู้าุโหญิงกุ้ยเจิน สตรีเพียงคนเดียวผู้เป็หนึ่งในสี่ของเ้าตำหนักย่อยของสถานศึกษาแห่งนี้ แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเป็หญิงสาววัยกลางคนที่มีหน้าตาสวยงามไม่ต่างไปจากยอดพธูของแคว้น
แต่อย่าได้ถูกรูปลักษณ์ภายนอกนี้หลอกตาเป็อันขาด ฉายานามปรมจารย์กุ้ยเจินย่อมเป็นามที่สร้างความพรั่นพรึงใจของผู้คนไม่น้อย และฐานะสำคัญของผู้าุโกุ้ยเจินคือกุนซือผู้เปรียบดั่งคลังสติปัญหาของทางสำนักศึกษา อีกทั้งพวกเขาทุกคนในที่นี้ที่เติบโตเข้าสู่ในวิถีฝึกตนต่างล้วนทราบกันดีว่าสตรีร่างเล็กผู้นี้คือสุดยอดฝีมือปรมจารย์แห่งค่ายกลที่แท้จริงหากกล่าวว่าท่านกุ้ยเจินเป็ที่สองคงไม่มีผู้ใดก้าวขึ้นเป็ที่หนึ่งแน่
ตำหนักที่สามคือตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา สถานที่ตั้งของตำหนักตั้งอยู่ทางทิศเหนือของสำนัก ด้วยเพราะบริเวณนั้นได้มีค่ายกลเฉพาะขนาดใหญ่ที่เอื้อต่อการเลี้ยงสมุนไพรธรรมดารวมไปถึงสมุนไพรหายากต่าง ๆ ดังนั้นจึงนับได้ว่าเป็ชัยภูมิที่ล้ำค่าที่เป็ประโยชน์กับผู้ที่สนใจเข้าร่วมตำหนักนี้เป็อย่างยิ่ง มีผู้าุโเหวินหวู่นั่งประจำการเป็เ้าตำหนัก
ด้วยนิสัยแปลกประหลาดรวมไปถึงลักษณะภายนอกที่ไม่ต่างไปจากตาแก่อายุหลายร้อยปี หากไม่นับว่าท่านเหวินหวู่ผู้นี้มักจะมีส่งมอบ? โอสถประหลาดที่พึ่งคิดค้นได้ที่มักจะหลอกล่อเหล่าบรรดาผู้าุโคนอื่นและศิษย์ในสำนักไปไม่ต่างจากหนูทดลอง ฝีมือการรักษาและความล้ำค่าของโอสถต่าง ๆ นับว่าเป็ของจริง แน่นอนว่าฉายานามปรมจารย์เหวินหวู่ย่อมเป็หนึ่งในสามมหาเซียนโอสถที่ถูกยกย่องในโลกยุทธภพนี้เช่นกัน
และสำหรับตำหนักย่อยสุดท้ายหรือตำหนักที่สี่ได้แก่ตำหนักแห่งศาสตราวุธ สถานที่ตั้งของทางตำหนักจะตั้งอยู่ในทางทิศตะวันตกของสำนักศึกษาที่อยู่ติดกับฝั่งของป่าในเขตเทือกเขาเร้นลับอสูรมากที่สุด เนื่องจากว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นมีลานพื้นที่กว้างใหญ่ที่เพียงพอกับจำนวนของนักหลอมสร้างที่มีอยู่ไม่น้อยเช่นกันในตำหนักแห่งนี้ ต้องกล่าวให้ทราบก่อนว่านักหลอมสร้างแต่ละคนต่างมีวิถีเคล็ดวิชาส่วนตัวที่แตกต่างกันออกไป
สภาพแวดล้อมโดยรอบนับว่าเป็อีกปัจจัยหนึ่งที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ แก่นักหลอมสร้างได้เช่นกัน การที่ตำหนักแห่งศาสตราวุธตั้งอยู่กับเขตเทือกเขาที่ถูกแวดล้อมไปด้วยลมปราณฟ้าดินเช่นนี้นับว่าเป็อีกหนึ่งทำเลที่เอื้อต่อศิษย์ในตำหนักยิ่ง ผู้าุโเ้าตำหนักแห่งศาสตราวุธนั่นคือผู้าุโเฉิงห่าวหรือปรมจารย์เฉิงห่าวหนึ่งในห้าอันดับแรกของสุดยอดนักหลอมสร้างในปัจจุบัน
เเต่ละตำหนักย่อยทั้งสี่ต่างมีผลงานอันโดดเด่นและสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่สำนักศึกษาเป็อย่างมากที่เป็ประจักษ์แก่ผู้คนภายนอกสำนัก จากข้อมูลที่เขาพอได้ศึกษาส่วนใหญ่จะเป็ศิษย์ในสังกัดของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ทั้งสิ้น ด้วยเพราะหนึ่งนั้นผู้าุโรุ่ยเหอผู้เป็เ้าตำหนักนั้นอีกฐานะหนึ่งท่านเป็ถึงรองเ้าแห่งสำนักศึกษาเลยทีเดียวนับว่าเป็ชนชั้นแนวหน้าของโลกผู้ฝึกตน
รวมไปถึงศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ต่างมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมและสร้างผลชื่อเสียงจากภารกิจที่ได้รับจากผู้จ้างวานมากมายจนผู้คนในยุทธภพล้วนยกย่องเหล่าศิษย์พวกนี้ ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้มีมากกว่าตำหนักอื่น สหายของเขาไม่ว่าจะเป็อี้หลิน หลี่ซวง จินหั่วและจ้าวหลานทั้งสี่คนต่างเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ มีเพียงลู่ซีและอู๋ฮั่นนั้นที่เลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลตามความตั้งใจแรก กลุ่มของหนิงอ้ายต่างคาดเดาเช่นกันว่าเด็กหนุ่มคงเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เป็แน่...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้