ซูฉีฉีส่ายหน้า นางรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาดเพราะแรงกดของมือเหลยอวี๊เฟิงที่อยู่บนไหล่ของตนจึงยกมือปัดออกอย่างรำคาญใจ “ไม่เหมือนกันแต่เดิมทีข้าก็ไม่มีวรยุทธ์ เมื่อแก้พิษเสร็จแล้วก็กลับเป็ปกติได้แล้ว แต่วรยุทธ์ที่เก่งกาจของท่านอ๋องนั้นกลับต้องสูญเสียไปเพราะฤทธิ์ของพิษถ้าหากไม่มีหลินจือเงาพันปีและผลไร้ราก ต่อให้ท่านอ๋องสามารถลุกขึ้นยืนได้...แต่...”
คำพูดต่อจากนี้นั้น ซูฉีฉีมิกล้าเอ่ยออกมา
สำหรับคนที่เย่อหยิ่งในตนเองเช่นนั้น การที่ต้องสูญเสียวรยุทธ์ไปหมดคงจะรู้สึกมิต่างอะไรกับการเป็คนพิการ
ต่อให้นางนั้นจะสามารถรักษาชีวิตเขาไว้ได้แล้วอย่างไรชายผู้นั้นก็คงจะไม่ละเว้นนางอยู่ดี
ยิ่งมิต้องพูดถึงการไปเมืองหลวงในครั้งนี้จะต้องมีภัยอันตรายมากมาย ถ้าหากเขามีสภาพมิต่างอะไรกับคนพิการแล้วก็คงเปรียบเสมือนลูกแกะตัวเล็กๆ ที่กำลังเดินเข้าถ้ำเสือเป็แน่
ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะทำให้แผนการอันชั่วร้ายของม่อเวิ่นเสวียนนั้นประสบความสำเร็จ
ม่อเวิ่นเสวียนผู้นี้มิเสียแรงที่เป็ผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งกษัตริย์อย่างน้อยความโหดร้ายนั้นเขาก็ประพฤติได้อย่างมิผิดเพี้ยน
ม่อเวิ่นเฉินเป็ถึงขั้นนี้แล้วเขายังคงไม่คิดที่จะรามือ
เขายังคงคิดจะบีบม่อเวิ่นเฉินให้ถึงที่ตายเสียให้ได้
เหลยอวี๊เฟิงเองก็เข้าใจในความหมายของซูฉีฉีพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย “หลินจือเงาพันปีนั้นข้าจะไปตามหากับเ้าแต่สำหรับผลไร้ราก...ข้าจะลองคิดหาวิธีอื่นดู”
เพื่อให้ม่อเวิ่นเฉินกลับมาแข็งแรงดังเดิม ไม่ว่าจะต้องทำอะไรเหลยอวี๊เฟิงนั้นก็ยอมทั้งสิ้น
“ที่นั่นอันตรายมาก”เมื่อได้ยินว่าเหลยอวี๊เฟิงจะไปหุบเขาขาดสะบั้นม่อเวิ่นเฉินก็มีความลังเลมิน้อย
“หม่อมฉันก็จะเดินทางไปด้วย”ซูฉีฉีนั้นมิได้คิดอยากจะไปด้วย ทว่าหลินจือเงาพันปีนี้เหลยอวี๊เฟิงไม่รู้ว่ามันมีหน้าตาเช่นไร
นางจะต้องไปหามันด้วยตนเอง
ต่อให้เป็การเสี่ยงอันตรายนางก็ยังต้องไป
“ขอเพียงหาสมุนไพรยาสองชนิดนี้พบข้าก็จะสามารถลุกขึ้นยืนได้?” ม่อเวิ่นเฉินยังคงมองไปที่ซูฉีฉีด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคยแววตาของเขาปรากฏความรู้สึกชื่นชมออกมาแวบหนึ่งนับวันเขาจะยิ่งชื่นชมในตัวของสตรีผู้นี้มากขึ้น
ดูเหมือนว่าตนเองจะมิได้มองนางผิดไป
ที่แท้นางก็หายาถอนพิษได้จริงๆ
ซูฉีฉีพยักหน้าลงเบาๆ นางมิได้แสดงความตื่นเต้นดีใจออกมาบนใบหน้ายังคงนิ่งเรียบเหมือนเช่นเคย
ความนิ่งเรียบเช่นนี้ทำให้คนรับรู้ได้ถึงความถือตัวที่แฝงอยู่ในตัวนางได้จางๆ
ทว่าม่อเวิ่นเฉินกับชอบความถือตัวนี้ของนางอย่างนี้ถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาติ้งเป่ยโหว
“เดินทางระวังด้วย”ม่อเวิ่นเฉินมิได้พูดอะไรมากแต่สายตากับจับจ้องไปที่เหลยอวี๊เฟิง
“วางใจเถอะ”เหลยอวี๊เฟิงตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ
ก่อนจะก้มหน้าเหลือบมองซูฉีฉีครู่หนึ่งพร้อมส่งเสียงผิวปากออกมาเพื่อสื่อให้เหลยอวี๊เฟิงรู้ถึงความหมายของตน
เขารู้ว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นพูดประโยคนี้ได้เอ่ยรวมไปถึงซูฉีฉีด้วยดูเหมือนว่าเ้านี่ก็เป็ห่วงสตรีตรงหน้าอยู่เหมือนกัน
ตอนนี้เขารู้สึกว่านิสัยเ็าของซูฉีฉีนั้นเหมาะสมกับม่อเวิ่นเฉินดีกว่าฮวาเชียนจือที่อยู่เรือนรองตั้งมิรู้กี่ร้อยเท่า
ช่วยมิได้ ั้แ่ไหนแต่ไรมาเขาก็รู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับฮวาเชียนจือนัก
พวกเขาไม่มีอันใดให้เอ่ยต่อกันอีกซูฉีฉีเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก นางค่อยๆ ย่อตัวทำความเคารพก่อนจะขอตัวลา
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของซูฉีฉีที่กำลังเดินออกไปเหลิ่งเหยียนที่ยืนอยู่ข้างประตูก็มีสีหน้าตื่นเต้นยินดีในที่สุดพิษของท่านอ๋องก็มีทางรักษาแล้วแน่นอนว่านี่เป็เื่ที่ควรค่าแก่การมีความสุข
วันที่สองพ่อบ้านได้จัดเตรียมรถม้าไว้พร้อมแล้ว ซูฉีฉีขึ้นรถม้าอย่างสงบเงียบมิได้เอ่ยอันใดออกมา
รอเพียงเหลยอวี๊เฟิงมาถึงก็จะออกเดินทางไปหุบเขาขาดสะบั้นทันที
เพียงแต่เมื่อนางเลิกผ้าม่านขึ้นภาพที่เห็นก็คือม่อเวิ่นเฉินที่กำลังถูกเหลิ่งเหยียนแบกเอาไว้
นี่ทำให้ซูฉีฉีสะดุ้งขึ้นอย่างใก่อนจะจ้องมองไปที่เขา “ท่านอ๋อง”
จากนั้นนางก็ไม่ได้เอ่ยประโยคใดต่ออีก
“จำเอาไว้ จะต้องมีชีวิตกลับมา”ม่อเวิ่นเฉินพูดออกมาเพียงประโยคเดียวและไม่สนว่าซูฉีฉีจะมีท่าทีใดๆ ตอบกลับเขาก็ได้หมุนตัวกลับไปเสียแล้ว
ทำให้ซูฉีฉีรู้สึกมึนงงสับสนเป็อย่างมาก
ไม่นานนักเหลยอวี๊เฟิงก็ขี่ม้ามาถึงจวนอ๋องจากนั้นม้าตัวหนึ่งและรถอีกคันหนึ่งก็ออกจากจวนมุ่งหน้าไปทางหุบเขาขาดสะบั้น
หุบเขาขาดสะบั้นนั้นห่างจากจวนอ๋องไม่ไกลนักใช้ระยะทางเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น เป็สถานที่เก็บยาสมุนไพรที่ดีเพียงแต่ว่าคนทั่วไปนั้นกล้าเก็บสมุนไพรแค่ตรงแนวเชิงเขาเท่านั้น ยอดหุบเขานั้นไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบย่างขึ้นไป
หุบเขาขาดสะบั้นนั้นเป็ดั่งชื่อของมันบนยอดของหุบเขานั้นมีเหวลึกอีกทั้งยังกั้นอยู่ระหว่างยอดเขาแหลม
แต่ก็กลับมีเพียงจุดสูงสุดของหุบเขาเท่านั้นถึงจะมีสมุนไพรหายาก
จะเด็ดเอาหลินจือเงานั้นเกรงว่าคงต้องปีนขึ้นไปบนยอดสูงสุดของหุบเขา
ตรงตีนเขานั้นมีคนเลี้ยงม้าคอยเฝ้าม้าและรถม้าให้ขณะที่ซูฉีฉีและเหลยอวี๊เฟิงต้องก้าวเดินขึ้นเขาไป