ฉันยกมือขึ้นกุมขมับ "ฉันจะสู้ได้ยังไง..." เื่นี้ต่อให้คิดวนไปมายังไง บทสรุปก็คือฉันแพ้อยู่ดี
"พี่เสี่ยวหลันพี่คงไม่ได้คิดว่ามันคือการแข่งขันหรอกนะ" เหมาเหมามองหน้าฉันอย่างกล้าๆกลัวๆ "แล้วมัน...ไม่ใช่เหรอ"
สายตาของเหมาเหมาดูตื่นกลัวมากขึ้นกว่าเดิม "ถ้ามันเป็การแข่งขัน...ก็ไม่น่ากลัวหรอก คือมัน..."
และแล้วเสียงออดบ่งบอกเวลาเข้าเรียนก็ดังขึ้นเหมาเหมาเงียบเสียงลงทันที เธอมีอาการหวาดกลัว ไม่จริงน่ายังมีอะไรที่มันน่ากลัวมากกว่าการแข่งขันอีกงั้นเหรอ
ฉันเห็นเธอค่อยๆกางเล็บที่ฝนไว้ออกมาด้วยท่าทางที่ไม่สบายใจเธอดูเครียดจนขนทุกเส้นตั้งตรงอย่างไม่เป็ธรรมชาติ เธอถูมือไปมาไม่หยุดร่างกายเครียดเกร็ง
ตกลงนี่มันวิชาอะไรกันแน่ถึงได้ทำให้เธอกลัวขนาดนี้
แม้แต่เหมาเหมายังกลัว งั้นฉัน...
เจอแต่โชคร้ายแน่ๆ
แต่ว่าเหมาเหมาเป็คนที่อารมณ์อ่อนไหวมาก บ้านพักของพวกเรานั้นราวกับต้องคำสาปถ้าอยู่ภายในบ้าน เธอจะเป็คนที่ร่าเริงและน่ารัก อีกทั้งยังขี้อ้อน
แต่พอก้าวเท้าออกจากบ้านเธอจะเครียดขึ้นมาทันที เธอจะมีความรู้สึกอ่อนไหวง่ายมากถูกปกคลุมไว้ด้วยคำว่าปมด้อย และไม่กล้ามองผู้หญิงคนอื่นๆ แบบเต็มตามักจะลูบแต่ขนบนใบหน้าตัวเอง
ที่จริงทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเธอเป็โรคกลัวการเข้าสังคมอย่างรุนแรงซึ่งสาเหตุของโรคนี้ก็เป็เพราะว่าเธอไม่ได้มีลักษณะเหมือนผู้หญิงคนอื่นทั่วไปที่มีใบหน้าเรียบเนียน
หน้าตาเป็สิ่งที่ทำให้ผู้หญิงเกิดปมด้อยขึ้นมาได้ง่ายที่สุด
ฉันเห็นว่าในตอนนี้เธอดูกลัวมากกว่าฉันซะอีกกลับกันคือถ้าฉันมีข้อบกพร่องอะไร ก็จะปล่อยมันไป
แต่เหมาเหมา...
ฉันนั่งครุ่นคิด จากนั้นจึงหยิบจี้ตัวแทนของโม่ิออกมาจากกระเป๋าจี้นั่นมองด้วยแววตาเศร้า ฉันดึงจี้นั่นออกมาจากโทรศัพท์และเอาไปยัดใส่มือเหมาเหมาเหมาเหมามองฉันอย่างใ ฉันยิ้มและกุมมือเธอไว้เบาๆที่จริงแล้วเหมาเหมามีชื่อที่เพราะมาก เธอชื่อว่าโม่อิงน่าจะเหมือนกับสาวน้อยที่สวยงามดั่งดอกซากุระ
เธอระบายยิ้มด้วยความซึ้งใจสองมือนั้นกุมจี้ตัวแทนของโม่ิไว้แน่น เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆและดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้ จี้ตัวแทนของโม่ิคล้ายกับจะเข้าใจได้จึงยื่นมือออกมาจับขนบนมือของเธอไว้เบาๆ
ฉันหันกลับไปมองสามคนนั้นอีกครั้งพวกเขาก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน ชิงิจับด้ามง้าวเล่มนั้นไว้แน่นกว่าเดิมซืออีนั่วกอดเสี่ยวไป๋ไว้แน่น และทุกคนในห้องก็เหมือนกันนักศึกษาใหม่ทุกคนต่างมีท่าทางเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่สนามประลองบรรยากาศในห้องเรียนนี้ตึงเครียดจนไม่มีใครกล้าหายใจ
และทันใดนั้น จุดตรงกลางของห้องเรียนทรงกลมนี้ก็เปิดออกชิ้นส่วนของพื้นลอยขึ้นมาทีละชิ้น ทีละชิ้น พร้อมแสงสีทองที่สะท้อนออกมาเงาหนึ่งะโพุ่งออกมาจากข้างในนั้นราวกับดาวตก
ในตอนที่แสงสีทองนั้นค่อยๆ ดับลงร่างของผู้ชายผมยาวที่สวมชุดคลุมสีเทาหม่นก็ยืนนิ่งขรึมอยู่บนพื้นที่ตรงกลางห้อง ชิ้นส่วนของพื้นแต่ละชิ้นก็ลอยกลับเข้าที่เดิม
ตาของเขาทั้งเล็กและเรียวยาวจมูกโด่งตั้งตรงผิดรูป ริมฝีปากบางมาก แต่กลับเป็สีม่วงตรงหว่างคิ้วของเขามีรอยสัญลักษณ์สีเงิน ส่งผลให้ใบหน้าของเขาดูเท่สุดๆ ไปเลย
ผมสีดำทั้งหัวแต่ทรงผมกลับดูเหมือนชาวอียิปต์ จอนแหลมข้างหูนั่นช่างมันเถอะแต่ไอ้ผมหน้าม้าหนาเตอะบนหัวนั่นมันคืออะไร
แต่ว่าทรงผมนี้กลับเข้ากันดีกับบุคลิกของเขาได้อย่างแปลกประหลาด เหมาะแบบแปลกๆจนกระทั่งทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว
ฉันว่านะทรงผมที่ทำให้คนจัดทรงยากที่สุดคงไม่ใช่ทรงเปิดด้านข้างแล้วละ แต่ว่า น่าจะเป็ผมหน้าม้าหนาเตอะของคนตรงหน้านี้มากกว่า
"พรึบ!" นักศึกษาทั้งห้องลุกขึ้นพร้อมกันพร้อมกับโค้งตัวลง "สวัสดีค่ะ/ครับอาจารย์หยาง"
ฉันรีบทำตามพวกเขาทุกคนในนี้รู้จักเขาหมด จริงสิเจียงเหยี่ยนเคยบอกว่าทุกคนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนี้มาั้แ่เด็กแน่นอนว่าต้องรู้จักอยู่แล้ว
"นั่งลง" อาจารย์หยางใช้ดวงตาเรียวเล็กนั้นกวาดสายตาไปทั่วทั้งห้องหนึ่งรอบราวกับว่าทุกคนที่นั่งอยู่ต่อหน้าเขาในตอนนี้ไม่ใช่พวกเทพหรือว่าปีศาจแต่เป็เพียงนกตัวน้อยๆ เท่านั้น
ในตอนที่ฉันกำลังสงสัยว่าเขาจะสามารถมองมาถึงที่นั่งด้านหลังได้ไหมแต่ทันใดนั้นฉันก็เห็นว่าเขาแยกร่างออกมาซึ่งร่างนั้นแยกออกมามีสามหัวหกแขนเหมือนกับเทพเ้านาจาของจีน และมองไปรอบๆทั่วทิศทาง
เอาละ ดูท่าว่าฉันจะสนใจเขาเกินไป จนลืมไปแล้วว่าที่นี่มันคือมหาลัยเทพและปีศาจ
สายตาของอาจารย์มาหยุดนิ่งอยู่ที่ฉันฉันก้มหน้าลงทันที เสียงนิ่งๆ เย็นๆ ดังขึ้นมา"หวังว่าพวกเธอจะไม่เหมือนพวกที่ไร้ความสามารถสามสี่คนนั้นนะนั่งอยู่ในห้องเรียนนักศึกษาใหม่ทุกปี โผล่หน้ามาให้ฉันเห็นทุกปี" ตอนที่อาจารย์หยางพูดประโยคนั้นก็แผ่รังสีความน่ากลัวออกมาด้วยเหมือนกับว่าการที่เห็นพวกเจียงเหยี่ยนโผล่หน้ามานั่งอยู่ในห้องเรียนของนักศึกษาใหม่ทุกปีเป็สิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิดก็เช่นเดียวกันกับครูบนโลกมนุษย์ของเรานั่นแหละเพราะนักเรียนที่เรียนแย่ไม่กี่คนแต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อคะแนนรวมการจบการศึกษาของโรงเรียน
"อึก อึก อึก" เจียงเหยี่ยนนั่งดูดเืนิ่งๆ ซืออีนั่วและชิงิหันมองหน้ากันแต่นักศึกษาใหม่คนอื่นๆ ดูจะไม่มีใครกลัวอาจารย์คนนี้มากขนาดนั้นรู้เลยว่าพวกเขาเป็เด็กวัยรุ่นที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะมากพอสมควรถึงสามารถฝึกฝนได้โหดและทนทานต่อโลกภายนอกได้ขนาดนี้
เก่งกว่าฉันมากฉันคิดว่าฉันเป็คนที่ไร้ยางอายที่สุดแล้วจนไม่มีใครกล้าเทียบด้วยแล้วนะที่ไหนได้เหนือฟ้ายังมีฟ้า ยังมีคนที่หน้าด้านกว่าฉันอยู่อีก
ในกลุ่มของพวกเรามีแค่เหมาเหมาที่นั่งก้มหน้างุดต่ำลงเรื่อยๆด้วยความอาย
"ทราบค่ะ/ทราบครับ!" ทุกคนพูดขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน
ฉันค่อยๆเงยหน้ามองขึ้นมองก่อนจะพบว่าอาจารย์หยางไม่ได้มองมาทางนี้แล้วแต่สายตาของเขายังคงดูเหมือนกับว่ามีใครยังติดหนี้เขาอยู่ยังไงยังงั้นเลย "ฉันได้เห็นการทดสอบของนักศึกษาใหม่ในปีนี้แล้วและทราบดีว่าในกลุ่มบรรดานักศึกษาใหม่อย่างพวกเธอมีที่ยอดเยี่ยมอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวแต่! ในมหาวิทยาลัยนี้ ความยอดเยี่ยมไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเธอแข็งแกร่งมากแค่ไหนเพราะยังไงซะก็ย่อมมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเธอปรากฏขึ้นมาเสมอตอนที่ต้องเผชิญหน้าบุคคลที่แข็งแกร่ง พวกเธอจะทำยังไง" สายตาคู่นั้นกวาดไปทั่วห้องด้วยความเยือกเย็น
นักศึกษาใหม่คนหนึ่งยืนขึ้น "ต่อสู้ต่อไป!" พอเสียงตอบที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญและทรงพลังจบลงร่างดำทะมึนของอาจารย์ก็สะบัดแขนเสื้อสีดำขึ้น "ปึง!" ทันใดนั้นแรงอันมากมายมหาศาลที่มองไม่เห็นก็พัดพาร่างของนักศึกษาคนนั้นลอยไปกระแทกเข้ากับกำแพงจากนั้นเขาก็สาวเท้าเข้าไปหา
นักศึกษาทุกคนต่างพากันกลืนน้ำลายร่างดำทะมึนนั้นหันมากวาดสายตามองทุกคน"งั้นเธอก็ตายซะ บทเรียนวันนี้จะพูดถึงความร่วมมือกันในทีมพวกเธอต้องเรียนรู้ว่าจะร่วมมือกันในทีมยังไงและร่วมมือกันภายในทีมเพื่อกำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า ตอนนี้ เริ่มจับกลุ่มได้กลุ่มละห้าคน ตั้งทีมของตัวเอง จำไว้ว่าพวกเธอจะต้องเผชิญกับการต่อสู้จริงๆไม่ใช่การฝึกอยู่ในวงแหวนเวทมนตร์ของดินแดนเทพอีกต่อไป!"
อะไรนะนี่คือต้องตั้งทีมต่อสู้แล้วงั้นเหรอ!
แบบนี้มันจะก้าวะโเร็วเกินไปหน่อยไหม
ทหารใหม่ที่เข้ากรมยังต้องวิ่งต้องบริหารขา ฝึกยืนเรียงแถวอะไรทำนองนั้น ตานี่ฉันจะข้ามขั้นมาจับปืนเลยเหรอ
"พวกเราอยู่ด้วยกันเถอะ" เจียงเหยี่ยนพูดขึ้น ฉันมองเขาอึ้งๆ ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้กลับ ชิงิซืออีนั่ว เจียงเหยี่ยน และเหมาเหมายื่นมือออกมาวางซ้อนกัน พวกเขามองหน้าฉันฉันยังคงจับดินสอและกระเป๋าใส่สมุดไว้อยู่อย่างนั้น "ฉันไม่ได้พกอะไรมาเลยนะ"
"ไม่เป็ไร" เจียงเหยี่ยนตบมือลงบนบ่าของฉัน "อย่างมากก็แค่ตาย"
อะไรเนี่ยยยยยยยย
"รุ่นพี่เจียงเหยี่ยน...อย่าทำให้พี่เสี่ยวหลันใสิ...อย่างมากก็แค่ไม่ได้คะแนนเอง" สิ่งที่เหมาเหมาพูดออกมาทำให้ฉันค่อนข้างรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย
โอเค เอาก็เอา ขอแค่ไม่ตายคะแนนอะไรพวกนั้น เดี๋ยวฉันเช็ดกระจกชดเชยเอาก็ได้
ทุกคนไม่รังเกียจที่ฉันเป็เพียงมนุษย์ธรรมดาแถมยังยินดีให้ฉันเข้ากลุ่มด้วยอีกฉันจะมาโอดครวญไม่ได้อีกแล้ว
ฉันตัดสินใจยื่นมือออกไปวางทับลงไปบนมือของพวกเขา
"ดีมากในเมื่อจับกลุ่มเรียบร้อยแล้ว เริ่มได้!" ในตอนที่เสียงของอาจารย์หยางหยุดลงตำแหน่งที่นั่งที่พวกเรานั่งอยู่ก็ร่วงลงด้านล่างราวกับหลุดลงในอุโมงค์ด้วยความเร็วแสง พวกเราหล่นลงไปด้านล่างนั้นพร้อมกัน
ไม่จริงน่า นี่เริ่มแล้วเหรอ!
ฉันมีแค่ปากกากับสมุดบันทึกแล้วจะสู้ยังไงเนี่ย!
พอถึงตอนที่เท้าัักับพื้นเสียงรถยนต์ก็ส่งเสียงดังะเื
"ฮืออออออ"
"ปี๊ด ปี๊ด ปี๊ด!" และในตอนนั้นเสียงอึกทึกครึกโครมของบ้านเมืองก็ดังเข้ามาในโสตประสาทของฉันเมื่อครู่นี้ฉันยังนั่งใอยู่ในแดนนั้นอยู่เลย
ฉันยืนมองท้องถนนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความตื่นใผู้คน ถังขยะ แล้วก็...ขี้หมาที่อยู่ข้างถังขยะฉันยืนมึนงง เหมือนกับว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้น ณดินแดนเทพก่อนหน้านี้เป็เพียงแค่ความฝัน แต่ฉันก็ไม่ได้ยืนงีบหลับกลางถนนนะ
"พี่เสี่ยวหลันเป็อะไรรึเปล่า" ท่ามกลางเสียงพูดคุยของผู้คนนั้นน้ำเสียงของเหมาเหมาก็ลอยดังขึ้นมาแต่ไกลอย่างเป็ห่วง
"น่าจะเป็เพราะว่าสมองจัดการกับ่เวลาของการเปลี่ยนมาระหว่างโลกสองโลกไม่ได้พี่ถึงได้ดูมึนๆ แดนเทพกับโลกมนุษย์ต่างกันมากดูคล้ายกันระหว่างโลกเสมือนจริงและโลกแห่งความเป็จริงแบบนี้จึงทำให้สมองแบ่งแยกไม่ได้ว่าที่ไหนคือโลกแห่งความจริง ที่ไหนคือความฝัน"
"อ๋อ..."
สติของฉันค่อยๆ กลับมาเบนสายตาไปมองพวกเขา "เห็นพวกเธอก็รู้แล้วแหละว่านี่คือโลกแห่งความเป็จริง" พอฉันเห็นพวกเขาฉันก็ต้องตกตะลึง นี่พวกเขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันตอนไหน
ชิงิและเหมาเหมาแต่งตัวเหมือนกันเขาทั้งคู่สวมฮู้ดตัวใหญ่สีเข้ม จากนั้นก็ใช้หมวกปิดบังใบหน้าของตัวเองไว้เหมือนคนผิวดำที่ร้องเพลงฮิปฮอป
และเครื่องแบบนักศึกษาที่อยู่บนตัวของเจียงเหยี่ยนก็เปลี่ยนเป็ชุดกีฬาแขนยาวขายาวทะมัดทะแมงถุงเืในมือเปลี่ยนเป็กล่องที่ใส่น้ำสตรอว์เบอร์รี
เสี่ยวไป๋ที่อยู่บนคอของซืออีนั่วก็ไม่เห็นแล้วเหลือเพียงผ้าพันคอสีขาวที่พันอยู่บนคอของเขาเส้นด้ายขนสัตว์นั้นปกคลุมเส้นผมสีขาวของเขาเอาไว้
ฉันมองดูตัวเองทันทีฉันยังอยู่ชุดเดิมอยู่เลย
ฉันมองดูพวกเขาอีกครั้ง "พวกเธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันตอนไหนกลับกลอกที่สุดเลย!"
เจียงเหยี่ยนชี้มาที่ชุดของฉัน "เครื่องแบบนักศึกษาชุดนี้มันก็เหมือนกับรองเท้าเหาะได้นั่นแหละ มันสามารถเปลี่ยนได้เพื่อให้สะดวกต่อการหลุดเข้ามาในโลกมนุษย์"
"โลกมนุษย์!" ฉันมองไปรอบๆ อีกครั้ง พวกเรายืนอยู่ตรงอพาร์ตเมนต์เก่าๆ หลังหนึ่งเบื้องหน้าคือรถยนต์ที่วิ่งไปมา ผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่มีใครสนใจพวกเรา "ที่นี่คือโลกมนุษย์จริงๆ เหรอ"
"อื้ม เสี่ยวหลันจะเริ่มการต่อสู้แล้ว ระวังตัวด้วย" เจียงเหยี่ยนเอื้อมมือมาตบบ่าฉันและฉันรู้สึกว่ามันหนักมาก แรงที่กดลงมามันเยอะมาก
ซืออีนั่วจับผ้าพันคอขึ้นมาปิดใบหน้าปมของผ้าพันคอสีขาวมีดวงตาคู่หนึ่งโผล่ออกมา บ้าไปแล้วเสี่ยวไป๋กลายเป็ผ้าพันคอไปซะแล้ว
เขาหลบอยู่หลังผ้าพันคอส่งสายตามองทุกคนอย่างขลาดกลัว "พวกเรา...ทำเหมือนครั้งก่อนๆ ดีไหม...จัดการกับมันนิดหน่อย...แล้วค่อยบอกว่า...สู้ไม่ได้"
อะไรกันนี่คือ่เวลาที่ต้องหลอกลวงงั้นเหรอ