ชวีเสี่ยวปอและซือจวิ้นหันมองหน้ากัน พวกเขาพลันเข้าใจสายตาเกลียดชังของกันและกันทันที
ความจริงตอนที่เพิ่งจะมาถึงชวีเสี่ยวปอก็เห็นต้วนเหล่ยแล้ว พวกเขาสี่ห้าคนจากวิทยาลัยอาชีวศึกษามารวมตัวกันเอะอะโวยวายแบบนี้คงยากที่จะไม่เป็จุดสนใจ เขาเดาว่าต้วนเหล่ยก็เห็นเขาตั้งนานแล้วเหมือนกัน แม้ทั้งสองคนจะรู้จักกัน แต่ชวีเสี่ยวปอก็ไม่อยากจะทักทายคนคนนี้สักเท่าไร
จะว่าอย่างไรดีล่ะ ต้วนเหล่ยเป็คนประเภทที่กลัวว่าจะไม่เหลือร่องรอยอะไรเอาไว้ให้โลกจดจำ หากอีกฝ่ายเห็นสุนัขจรจัดกำลังฉี่อยู่ข้างทางก็จะเข้าไปรังแกอย่างไม่รีรอ เด็กนักเรียนวิทยาลัยอาชีวศึกษากับโรงเรียนมัธยมที่สี่มักจะทะเลาะวิวาทกันอยู่เป็ประจำ ถึงอย่างไรก็เป็เพียงแค่เื่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ต้วนเหล่ยคนนี้ชอบทำท่าทางอวดเก่ง ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าคนคนนี้ช่างโง่เขลาเสียจริง
"ไม่ต้องหรอก" แม้จ้าวชิวเจียจะไม่รู้จักต้วนเหล่ย แต่กลับถอยไปหลบอยู่ข้างหลังชวีเสี่ยวปอตามสัญชาตญาณ "เดี๋ยวฉันให้เพื่อนฉันสอนเอง"
“บังเอิญจังเลยนะเนี่ย” ต้วนเหล่ยแสร้งยกยิ้มขึ้นพลางหันไปทางชวีเสี่ยวปอพร้อมทั้งเชิดหน้าขึ้นและเหลือบมองจ้าวชิวเจีย จากนั้นก็เอ่ยกับชวีเสี่ยวปอว่า "แฟนนายเหรอ?"
“ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอปฏิเสธ
“งั้นเธอก็ไม่ต้องเล่นกับพวกเขาหรอก เพราะยังไงเขาก็ไม่สอนเธอ” หลังจากเอ่ยจบต้วนเหล่ยดูเหมือนจะยิ่งสนใจจ้าวชิวเจียมากขึ้น “ฉันว่ายน้ำเก่งมากนะ มากับฉันเถอะ” ขณะที่พูดก็เอื้อมมือจะดึงเธอไป
"นายไม่ได้ยินที่เธอบอกว่าไม่ต้องหรือไง" ชวีเสี่ยวปอก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมกับจ้องมองต้วนเหล่ย ไอ้กระจอกนี่เป็บ้าอะไรของมัน สร้างภาพให้ตัวเองแล้วยังมาเล่นมุกศึกชิงนางอะไรนี่อีก
ต้วนเหล่ยไม่ได้พูดอะไร แต่พวกคนที่อยู่ข้างหลังอีกฝ่ายกลับดูร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มตัวเล็กคนหนึ่งกำลังพึมพำคำหยาบคายของออกมา จนทำให้พวกผู้ใหญ่หลายคนที่อยู่บริเวณนั้นมองมาที่พวกเขา
“ฉันจะให้เวลานายหุบปากแค่หนึ่งวิ” ชวีเสี่ยวปอจ้องมองเด็กหนุ่มคนนั้น “ไม่งั้นฉันจะทำให้นายบวมเป็ลูกสำรอง [1] อยู่ในสระว่ายน้ำนี่”
"ไอ้เวรเอ้ย" เด็กหนุ่มตัวเล็กคนนั้นสบถออกมาและพลันเข้าใจทันทีว่าชวีเสี่ยวปอหมายถึงอะไร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คืออีกฝ่ายหุบปากลงจริงๆ
“พี่เสี่ยวปอนี่อารมณ์รุนแรงจังเลยนะ” ต้วนเหล่ยยิ้มหยัน “ฉันนี่ใกลัวแทบแย่แน่ะ พวกเราไปกันเถอะ อย่ามัวมาขัดขวางเวลาคนอื่นเขาจู๋จี๋อี๋อ๋อกันเลย” ต้วนเหล่ยพูดพร้อมกับหันไปสั่งพวกตัวเองที่อยู่ข้างๆ ให้แยกย้ายกันออกไป แต่ไม่วายทำนิสัยเสียโดยการยกเท้าเตะน้ำจนกระเด็นเต็มหน้าของชวีเสี่ยวปอ
ชวีเสี่ยวปอชื่นชมอีกฝ่ายในเื่นี้จริงๆ หากคำว่า ‘เลวทราม’ เป็คำนิยามแทนตัวต้วนเหล่ย ใครก็อย่าได้คิดมาแย่งชิงตำแหน่งนี้ไปเด็ดขาด
"ไม่มีอะไรแล้ว เรามาว่ายน้ำกันต่อเถอะ" ชวีเสี่ยวปอเช็ดน้ำบนหน้าออกอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็มองไปยังซือจวิ้นแล้วพบว่าอีกฝ่ายยังคงกำหมัดแน่น ทำท่าทางที่พร้อมจะจู่โจมได้ทุกเมื่อ
"ฉันไม่รับประกันจริงๆ ว่าเราสองคนจะเอาชนะพวกเขาได้" ซือจวิ้นถอนหายใจยาว "มีกันตั้งห้าหกคนแน่ะ"
“ใครจะไปสู้กับเขากันล่ะ” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยอย่างใจเย็น จากนั้นก็หันไปพูดกับจ้าวชิวเจียที่ยังคงเกาะแขนของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “ไม่เป็ไร เดี๋ยวพวกฉันไปส่งเธอที่บ้านเอง”
หลังจากที่ต้วนเหล่ยเข้ามาก่อความวุ่นวายก็ทำให้อารมณ์ของทั้งสามคนไม่ค่อยดีนัก หลังจากเล่นน้ำในสระว่ายน้ำสักพัก พวกเขาก็ขึ้นมานั่งพักบนเก้าอี้ผ้าใบและดื่มเครื่องดื่ม หลังจากที่ออกมาจากสระว่ายน้ำก็พบว่าข้างนอกมืดแล้ว ตอนที่อยู่ข้างในไม่รู้สึกตัวเลยว่าเวลาผ่านไปเร็วขนาดนี้
หลังจากเรียกรถแท็กซี่อยู่ที่หน้าประตูทางเข้า พวกเขาก็ส่งจ้าวชิวเจียขึ้นรถไป ชวีเสี่ยวปอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเห็นมีสายที่ไม่ได้รับจากเวินลี่สองสาย สายแรกคือเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนและอีกสายคือเมื่อห้านาทีที่แล้ว ชวีอี้เจี๋ยคงจะกลับมาแล้ว เวินลี่ถึงได้เร่งให้เขากลับบ้าน ชวีเสี่ยวปอยังไม่อยากกลับไป เขาจึงเก็บโทรศัพท์มือถือกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและเอ่ยกับซือจวิ้นว่า "ไปหาอะไรกินกันเถอะ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว"
"เมื่อกี้ฉันเห็นมีร้านบาร์บีคิวอยู่ตรงนั้นด้วย" ซือจวิ้นชี้ไปทางถนนเส้นที่พวกเขาเดินผ่านมาเมื่อตอนบ่าย "ดูแล้วใช้ได้เลยนะ"
"โอเค ยังไงก็ไม่มีตัวเลือกอื่นอยู่แล้ว" ชวีเสี่ยวปอยักไหล่โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เมื่อ่บ่ายตอนที่มาถึงเขาไม่ได้รู้สึกเลยว่าสระว่ายน้ำแห่งนี้ดูเปลี่ยวขนาดนี้ นอกจากตรงสี่แยกที่อยู่ไกลออกไปจะมีร้านสะดวกซื้อที่แทบจะมองไม่เห็นป้ายชื่อร้านอยู่ร้านหนึ่ง ร้านค้าอื่นๆ อีกสองสามแห่งในระแวกนี้ก็ไม่มีร้านไหนเปิดให้บริการเลยสักร้าน
"จริงสิปอเอ๋อร์ นายกับเซี่ยเจิงเป็ไงบ้าง?" ในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินไปที่สี่แยก หัวข้อที่หยิบยกมาพูดถึงก็หนีไม่พ้นเื่นี้ แม้สีหน้าของชวีเสี่ยวปอจะแสดงออกว่า "นี่เป็เื่ที่ไม่ควรพูดถึงเลยสักนิด" แต่พอต้องเอ่ยขึ้นมาเขาก็ถอนหายใจก่อนเป็อันดับแรก "ช่างมันเถอะ เื่มันก็เป็แบบนี้ไปแล้ว เธอชอบ..."
ยังไม่ทันที่ชวีเสี่ยวปอจะได้เอ่ยจนจบประโยคเขาก็สังเกตเห็นว่าซือจวิ้นหยุดเดิน เขาจึงมองตามสายตาของซือจวิ้นไปก็เห็นว่าถนนที่ว่างเปล่าและไร้ผู้คนเมื่อครู่ กลับมีกลุ่มคนห้าหกคนโผล่ออกมาจากที่ไหนสักแห่ง...แก๊งของพวกไอ้บ้าต้วนเหล่ยนี่
รอเก่งจังเลยนะ
ชวีเสี่ยวปอและซือจวิ้นพลันขยับเข้ามาใกล้กันโดยไม่รู้ตัว
ชวีเสี่ยวปอก่นด่าต้วนเหล่ยว่าเ้าเล่ห์อยู่ในใจ ตอนอยู่ที่สระว่ายน้ำอีกฝ่ายคงกลัวว่าจะโจ่งแจ้งเกินไป ดังนั้นถึงได้รอจนกว่าพวกเขาจะออกมา
พวกฝั่งตรงข้ามไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ทำเพียงยืนนิ่งเฉยอยู่แบบนั้นด้วยท่าทางไม่เป็มิตร ราวกับจะบอกว่าอย่างไรพวกชวีเสี่ยวปอก็หนีไม่รอด ชวีเสี่ยวปอมองไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีอะไรที่จะสามารถนำมาใช้เป็อาวุธได้หรือเปล่า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแม้แต่หญ้าสักต้น
“จวิ้น” ชวีเสี่ยวปอกระแอมไอในลำคอและเอ่ยเรียกออกมา
“อืม” ซือจวิ้นขานรับ
“พร้อมไหม?” ชวีเสี่ยวปอบิดคอไปมา
"พร้อมเสมอ!"
จริงๆ แล้วชวีเสี่ยวปอยังไม่ทันเอ่ยจบประโยคด้วยซ้ำเขากับซือจวิ้นก็สาวเท้าเข้าไปหาพวกต้วนเหล่ยทันทีอย่างรู้ใจกัน และเนื่องจากพวกเขาไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัวชวีเสี่ยวปอจึงสามารถถีบคนที่วิ่งเข้ามาหาเขาคนแรกจนล้มตีลังกาลงไปในคราวเดียว ชายคนนั้นล้มกลิ้งลงไปบนพื้นจนลุกขึ้นมาไม่ได้อยู่นาน ส่วนชวีเสี่ยวปอเองก็เซไปสองสามก้าวเช่นกัน จากนั้นก็ตามมาด้วยหมัดของใครบางคนที่ต่อยสวนเข้ามา
ซือจวิ้นค่อนข้างเก่งกาจในเื่การต่อสู้ หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอจัดการกับคนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองได้ เขาก็มองไปรอบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ซือจวิ้นกำลังคว้าคอของเด็กหนุ่มตัวเล็กท่าทางอวดดีคนนั้นกระแทกกับกำแพง ส่วนสูงที่แตกต่างของทั้งสองคน ทำให้ท่าทางของซือจวิ้นดูตลกไม่น้อย จนชวีเสี่ยวปอเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหัวเราะ ไอ้เวรต้วนเหล่ยนั่นกำลังคลุ้มคลั่ง ตอนที่ชวีเสี่ยวปอปล่อยหมัดออกไปเมื่อครู่ ทำให้อีกฝ่ายเืกำเดาไหล ต้วนเหล่ยกำลังลูบจมูกตัวเองพลางะโว่า "บ้าเอ๊ย!" อย่างเดือดดาล
“ซือจวิ้น!” ชวีเสี่ยวปอะโพร้อมทั้งโบกมือไปทางอีกฝ่าย
“บัดซบ อย่าให้พวกมันหนีไปได้นะ!” ต้วนเหล่ยพลันเข้าใจสิ่งที่ชวีเสี่ยวปอจะสื่อเร็วกว่าซือจวิ้น ทันใดนั้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเืก็รีบลุกขึ้นและไล่ตามอีกฝ่ายไปทันที
ยอดขายวันนี้ถือว่าปกติ
เซี่ยเจิงฟุบลงบนเคาน์เตอร์และงีบหลับ เขาเพิ่งเติมสินค้าบนชั้นวางเสร็จไปเมื่อครู่ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาก็พบว่าเป็เวลาสองทุ่มสิบห้านาทีแล้ว
พี่เหม่ยรู้เื่เมื่อคราวก่อนแล้ว จึงไม่อยากให้เซี่ยเจิงเข้ากะกลางคืนแล้วเปลี่ยนให้มาเข้ากะกลางวันแทน เพราะหากที่บ้านเกิดเื่อะไรขึ้นอีกจะได้จัดการได้ทันเวลา แต่เซี่ยเจิงกลับไม่เห็นด้วย เขารบกวนพี่เหม่ยมามากพอแล้ว และไม่ต้องพูดถึงเด็กสาวที่เข้ากะกลางวันยิ่งไม่ค่อยสะดวกไปใหญ่ กระนั้นพี่เหม่ยก็ยังไม่ยอม เธอบอกว่าถึงเซี่ยเจิงจะเข้ากะกลางคืนแต่ก็จะให้เซี่ยเจิงเลิกงานเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมง
ก็ดีเหมือนกัน
ั้แ่วันนั้นอารมณ์ของแม่ก็ไม่คงที่ ่นี้พอนอนหลับเธอก็มักจะฝันร้าย หลายวันที่ผ่านมาเซี่ยเจิงต้องนอนหลับอยู่ตรงโซฟาในห้องนั่งเล่นตลอด เพราะเขามักจะได้ยินเสียงแม่กรีดร้องขึ้นมากลางดึกจึงต้องคอยเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
ยังเหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงกว่าจะเลิกงาน เซี่ยเจิงเปิดปากหาวหวอด พลางคลำกระเป๋ากางเกงและเตรียมตัวจะออกไปสูดอากาศหน้าร้านเพราะในร้านห้ามสูบบุหรี่
ทันทีที่เขาหยิบไฟแช็กออกมาก็เห็นว่าในตรอกมีร่างหนึ่งกำลังวิ่งมาทางเขาด้วยความรวดเร็ว
อะไรอีกล่ะ? จะสูบบุหรี่ที่หน้าร้านก็ไม่ได้เหรอ? คงไม่ได้จะมาปล้นไฟแช็กไปหรอกนะ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น
กระทั่งเขาเห็นว่าคนที่กำลังวิ่งออกมาจากตรอกนั้นไม่ได้มีแค่คนเดียว ทั้งยังได้พบเื่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือคนที่กำลังถูกไล่ตามอยู่นั่นคือชวีเสี่ยวปอไม่ใช่เหรอ?
ผมทรงสกินเฮดกับฟันเขี้ยว อืม เอกลักษณ์เด่นชัดเลย ไม่ผิดแน่
ตอนแรกเซี่ยเจิงคิดว่าชวีเสี่ยวปอมาหาเขา แต่ในวินาทีถัดมาเขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองกังวลมากเกินไป ชวีเสี่ยวปอะโขึ้นบันไดทีละขั้น แม้จะมองเห็นเขาพร้อมทั้งกับเบิกตากว้าง แต่อีกฝ่ายกลับมุ่งหน้าไปทางไม้กวาดและที่ตักขยะที่วางอยู่ด้านนอกร้านสะดวกซื้อโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กระทั่งเซี่ยเจิงเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร ชวีเสี่ยวปอใช้เท้าเหยียบที่ตักขยะพลาสติกจนพังจนเหลือเพียงด้ามจับแสตนเลส
ฮ่าๆ เก่งเื่หาอาวุธนะเนี่ย
เซี่ยเจิงไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงแอบขำอยู่ในใจ
ทำมาจากเหล็ก กลวง หยิบจับง่าย สามารถตีคนได้โดยไม่าเ็สาหัส
ตอนที่ชวีเสี่ยวปอออกแรงกวัดแกว่งมันไปมาเขารู้สึกว่ามีเสียงลมดังออกมา อาจเป็เพราะเมื่อครู่ถูกต้วนเหล่ยและพรรคพวกวิ่งไล่ตามมานานจนเกินไป ตอนนี้เลยรู้สึกว่าความโกรธของเขาได้ถูกคลายลงไปไม่น้อย
ท่อแสตนเลสถูกฟาดลงบนไหล่ของคนที่คิดจะถีบซือจวิ้น จนเกิดเสียงดังที่ทำให้คนที่ได้ยินอดที่จะเปล่งเสียงร้อง "อู้ย" ออกมาไม่ได้ อีกฝ่ายพลันร้องโอดโอยอย่างน่าเวทนา
ชวีเสี่ยวปอไร้ซึ่งความลังเล เขาฟาดลงไปที่จุดเดิมซ้ำอีกครั้ง ครั้งนี้ชายคนนั้นคุกเข่าลงบนพื้นทันที ไม่อาจเปล่งเสียงร้องใดๆ ออกมาได้อีก ไม่รู้ว่ากระดูกหักด้วยหรือเปล่า ถ้ากระดูกไม่หักก็คงจะระบมไปอีกสักสองสามวัน อันที่จริงชวีเสี่ยวปอไม่ได้้าจะเอาชนะอะไรหรอก เขาแค่้าทำให้พวกนั้นกลัวเท่านั้น อย่างไรเสียพวกต้วนเหล่ยก็มีกันตั้งห้าหกคน ยุ่งยากชะมัด แบบนี้เขาเองก็คงทำอะไรไม่ได้มากนัก
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะข่มขู่พวกนั้นสำเร็จแล้วล่ะ พวกต้วนเหล่ยเริ่มลังเล ไม่รู้ใครจะเป็คนเข้ามาปะทะกับพวกเขาต่อ
"เฮ้"
ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไร จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น
เซี่ยเจิงไม่ได้รู้สึกประหม่าที่ทุกคนกำลังจ้องมองมาที่เขา กลับกันยังโบกโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอยังคงสว่างวาบ
“หยุดต่อยกันเถอะน่า ฉันแจ้งตำรวจแล้ว”
“ไอ้บ้านี่มาจากไหนอีกเนี่ย!” ต้วนเหล่ยชี้ไปที่เขาพร้อมกับก่นด่า
"เช็ดจมูกหน่อยไหม" เซี่ยเจิงยืนพิงกรอบประตูแล้วมองไปยังต้วนเหล่ยพลางเอ่ยอย่างเหยียดหยาม "ไอ้แมวลายตัวน้อย"
“ไอ้บ้าเอ้ย!” ต้วนเหล่ยสบถ ทว่ากลับไม่กล้าทำอะไรอีก ทำไมถึงได้รู้สึกว่าไม่ควรยุ่งกับคนคนนี้สักเท่าไรอีกทั้งถ้าพวกเขายังไม่ไปจากตรงนี้อีกคงหนีไม่รอดเป็แน่
จากนั้นต้วนเหล่ยและพวกพลันหายเข้าไปตรงทางสี่แยกอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เองซือจวิ้นถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ความรู้สึกตื่นเต้นที่ถูกผ่อนคลายลงอย่างกะทันหันทำให้เขาอยากจะทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นเพื่อหายใจหายคอสักหน่อย แต่เขาก็เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้และเดินไปดึงชวีเสี่ยวปอ "ปอเอ๋อร์ เราก็กลับบ้างดีไหม?"
“ฉันไม่ได้แจ้งตำรวจ” ในที่สุดเซี่ยเจิงก็หยิบบุหรี่ออกมาจุดพลางเอ่ยอย่างด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ฉันรู้" ชวีเสี่ยวปอก้มลงเอามือยันเข่าไว้ เมื่อครู่เพราะวิ่งเร็วเกินไป จึงทำให้เขารู้สึกเจ็บหน้าอกเล็กน้อยเวลาหอบหายใจและตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกปวดตุบๆ ขึ้นมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีจุดหนึ่งบนหลังของเขาที่รู้สึกปวดแสบปวดร้อนขึ้นมา
“ปอเอ๋อร์?” ซือจวิ้นรู้สึกแปลกๆ กับการถามตอบของทั้งสองคน
"พวกนาย" เซี่ยเจิงชี้ไปทางร้านสะดวกซื้อที่อยู่ด้านหลังของเขาพลางเอ่ยกับซือจวิ้น "เข้าไปพักในนั้นก่อนไหม?"
“ปอเอ๋อร์?” ซือจวิ้นเหลือบมองเซี่ยเจิงและหันมาขอความเห็นจากชวีเสี่ยวปออย่างรวดเร็ว
“พักสักหน่อยก็ได้” ชวีเสี่ยวปอกัดฟันและสาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน
เซี่ยเจิงยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าประตูให้เสร็จก่อนจะตามเข้าไป
ในร้านไม่ได้มีเก้าอี้ให้นั่ง ชวีเสี่ยวปอกับซือจวิ้นเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็คนอื่นคนไกล พวกเขาจึงนั่งลงบนกล่องน้ำแร่ที่วางซ้อนกันอยู่ตรงทางเข้า ครั้นเซี่ยเจิงเดินเข้ามาก็ปิดประตูแล้วหันกลับมาเห็นคนทั้งสองกำลังมองมาที่ตัวเอง เขาอมยิ้ม "พวกนายนั่งอยู่ตรงนี้จะทำให้คนอื่นเขาใเอานะ"
ชวีเสี่ยวปอหันไปมองซือจวิ้น เสื้อผ้าเกือบจะมีแต่รอยรองเท้า บนแขนมีรอยถลอกขนาดใหญ่ที่ครูดกับกำแพงซึ่งสะดุดตามากและเขาเองก็รู้ว่าตัวเองคงไม่ต่างกันเท่าไรนัก
“รับไปสิ” เซี่ยเจิงเดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์และหยิบบางอย่างออกมาพลางโยนไปให้ชวีเสี่ยวปอ “เช็ดก่อนเถอะ มือนายเืออก”
ชวีเสี่ยวปอคว้าห่อทิชชู่เปียกเอาไว้อย่างคล่องแคล่ว ตอนนี้ถึงได้สังเกตเห็นเืสีแดงเข้มบนมือของตัวเองที่เริ่มแห้งไปบ้างแล้ว แต่ไม่ใช่เืของเขา คงจะเป็เืกำเดาของต้วนเหล่ย เมื่อคิดได้ดังนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที เขารีบเช็ดทำสะอาดตามเนื้อตัวของตนเองอย่างรวดเร็ว
กระทั่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นเซี่ยเจิงกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยความสนใจ
“อะไร?” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจจะเอ่ยคำนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมน้ำเสียงที่เปล่งออกมาถึงฟังดูไม่เป็มิตรเท่าไรนัก
"ปอเอ๋อร์" ซือจวิ้นคงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงเอ่ยเตือนอีกฝ่ายเสียงเบา อย่างไรเมื่อครู่เซี่ยเจิงก็ช่วยพวกเขาสองคนเอาไว้ แม้ชวีเสี่ยวปอกับเซี่ยเจิงจะมีเื่บาดหมางกันก็ควรจะแยกแยะเสียหน่อย
เหตุผลง่ายดายแบบนี้ชวีเสี่ยวปอเข้าใจอย่างแน่นอน
แต่เขาก็แค่รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ไม่สิ อึดอัดมากๆ เหมือนกับวันนั้นตอนที่เขาแอบฟังแล้วถูกเซี่ยเจิงจับได้ ตอนนี้ความรู้สึกประหม่าที่อยู่ในใจยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันยากที่เขาจะพูดว่า "ขอบคุณ" กับเซี่ยเจิง ดังนั้นถึงได้เกิดความคิดที่ว่า "ทำไมต้องเป็หมอนี่ด้วย”
ทำไมโลกนี้ถึงไม่ยุติธรรมจนทำให้เขาต้องมาเจอกับเซี่ยเจิงที่นี่ มิหนำซ้ำหมอนี่ดันเป็คนที่มาช่วยตัวเองเอาไว้ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เขาน่าจะได้ฟัดกับต้วนเหล่ยอีกสักตั้งแท้ๆ
"ไอ้หมอนั้นอยู่วิทยาลัยอาชีวฯ สินะ"
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เซี่ยเจิงก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“อืม” ชวีเสี่ยวปอขานตอบ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “ปกตินายทำงาน...อยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ?”
"เฉพาะ่ปิดเทอมน่ะ"
“งั้นนายก็ต้องระวังตัวเอาไว้หน่อยนะ” ชวีเสี่ยวปออยากหมุนหัวไหล่เพื่อคลายกล้ามเนื้อ แต่พอขยับเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บร้าวอย่างรุนแรง แต่ความเจ็บนี้ก็ไม่เท่าไรนัก กระดูกคงไม่เป็อะไร มีครั้งหนึ่งเขาเคยเล่นสเกตบอร์ดจนล้มขาหัก เจ็บกว่าครั้งนี้เป็สิบๆ เท่า “ต้วนเหล่ย อ้อ คนเมื่อกี้น่ะ คงจะมาหาเื่นายแน่ๆ"
“อืม” เซี่ยเจิงพยักหน้า แต่เมื่อเห็นว่าชวีเสี่ยวปอและซือจวิ้นเหมือนคาดหวังจะเห็นปฏิกิริยาอะไรบางอย่างจากเขา เขาจึงเอ่ยเสริมไปว่า “ฉันกลัวสุดๆ ไปเลยละ”
“เวรเอ้ย” ชวีเสี่ยวปอแทบจะเค้นเสียงรอดไรฟันอันหยาบโลนออกมา “เป็บ้าหรือไงนายน่ะ?”
"ฉันแค่แสดงความเห็นของตัวเองออกมาเท่านั้นเอง" เซี่ยเจิงยังคงแสร้งยิ้ม แต่ไม่นานก็ทนไม่ไหว ยิ้มอวดฟันขาวเต็มปาก ราวกับจะปลอบใจไม่ให้ชวีเสี่ยวปอเก็บเื่ราวเหล่านี้มาใส่ใจ เป็ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ "ไม่เป็ไร"
บรรยากาศแปลกๆ แฮะ
แปลกประหลาดจนชวีเสี่ยวปอรู้สึกขนลุกเกรียว
อาจเป็เพราะชวีเสี่ยวปอคิดมาตลอดว่าวิธีที่จะคบหากับเซี่ยเจิงได้คือต่างฝ่ายต่างยืนอยู่ในสนามเพลาะของตัวเอง พอลุกขึ้นก็หยิบปืนกลมายิงใส่กันไม่ยั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเจิงไม่ได้มีท่าทีแบบนั้น การที่เขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแบบมันง่ายเหมือนกับการเก็บเงินที่หล่นอยู่บนถนนและส่งให้คุณลุงตำรวจ
จากความรู้สึกไม่เข้าใจ กลายเป็ความรู้สึกประหม่า จนสุดท้ายก็กลายเป็ความรู้สึกลำบากใจ
แต่ชวีเสี่ยวปอก็พยายามไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา เพียงแต่จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นเดินตรงไปที่หน้าเคาน์เตอร์แล้วเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือมา ก่อนหน้านี้เ้าของโทรศัพท์มือถือยังคงดูวิดีโออยู่ ชวีเสี่ยวปอที่ยึดโทรศัพท์มือถือมาได้ก็ถอยหลังออกมาพลางกดหมายเลขหลายตัวลงไป หลังจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากในกระเป๋ากางเกงของเขาเอง "ถ้ามีเื่ขึ้นมาล่ะก็ โทรหาฉันนะ" จากนั้นก็โยนโทรศัพท์คืนให้เซี่ยเจิงและหันกลับมาเอ่ยกับซือจวิ้น "ไปกันเถอะ"
การเคลื่อนไหวไหลลื่นไม่มีสะดุดแม้สักนิด
เขาอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้ตัวเองอยู่ในใจ
เด็กน้อย
เซี่ยเจิงจ้องมองร่างที่กำลังทำหลังโก่งด้วยความเ็ปเดินออกจากประตูไป เป็อีกครั้งที่รู้สึกว่าคำนี้เหมาะกับอีกฝ่ายมากจริงๆ
แต่เขาลืมบอกอีกฝ่ายไปอย่างหนึ่ง ตรงสี่แยกเลี้ยวขวาไปจะมีคลีนิคที่สามารถไปล้างแผลได้อยู่…ช่างเถอะ
เซี่ยเจิงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความรู้สึกที่บ่งบอกว่า "ฉันอึดอัดใจ" เล็ดลอดออกมาจากอีกฝ่าย หลังจากดูหมายเลขบนโทรศัพท์เขาก็เลือกที่จะสร้างรายชื่อผู้ติดต่อใหม่ บันทึกเอาไว้แล้วกัน จะได้ใช้หรือเปล่าค่อยว่ากันทีหลัง
โชคดี
เมื่อกลับมาถึงบ้านเวินลี่ก็หลับไปแล้ว เขาไม่เห็นรถของชวีอี้เจี๋ย บางทีอาจจะกลับมาและออกไปอีกรอบแล้วก็ได้ นั่นทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกโล่งใจ หลังจากค่อยๆ ย่องไปอาบน้ำเสร็จ เขาก็มายืนอยู่หน้ากระจกและพยายามเอี้ยวตัวมองหลังของตัวเอง
เขาเองก็ไม่คิดว่ามันจะบวมถึงขนาดนี้ ตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้เช้าคงจะเปลี่ยนเป็รอยสีม่วงช้ำอย่างแน่นอน
กระทั่งเขาขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยความขุ่นเคือง พอคิดว่าคืนนี้คงจะนอนได้แต่ท่านี้เท่านั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาอีกรอบ เขาจะต้องไปเอาคืนต้วนเหล่ยให้ได้
“ปลอดภัยแล้ว รายงานเรียบร้อย”
เป็ข้อความจากซือจวิ้นเมื่อสิบนาทีที่แล้ว
ชวีเสี่ยวปอหรี่ตามองและตอบกลับไปด้วยสติกเกอร์ ‘โอเค’ แต่ซือจวิ้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
"ซี๊ด" ชวีเสี่ยวปอพลิกตัวไปมา หาท่าทางที่จะสบายตัวมากกว่านี้ แต่หลังของเขากลับสั่นด้วยความเ็ปเมื่อเขาขยับร่างกาย เขาชะลอการเตลื่อนไหวลงชั่วขณะ เตรียมเปิดเพลงเพื่อช่วยให้หลับ แต่เขาก็ได้เห็นว่ามีสายที่ไม่ได้รับอีกครั้ง
เบอร์ใครน่ะ?
ชวีเสี่ยวปอตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองเอาโทรศัพท์มือถือของเซี่ยเจิงโทรมา
ชวีเสี่ยวปอจ้องตัวเลขพวกนั้นพลางกดคัดลอกโดยไม่รู้ตัว จากนั้นวางลงในช่องค้นหาของวีแชท
เอ๊ะ
ชื่อวีแชทเป็ตัวเลขสะเปะสะปะ น่าจะเป็การพิมพ์แบบสุ่ม อีกทั้งรูปโปรไฟล์ก็เป็สีดำด้วย
ไม่ได้เล่นแล้วเหรอ?
ชวีเสี่ยวปอกัดริมฝีปากล่าง เขาพลันรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกอีกแล้ว เขารีบกดยุกยิกอยู่สองสามครั้ง จากนั้นก็โยนโทรศัพท์ทิ้งข้างกายและหลับตาลงทันที
"ขอบคุณสำหรับวันนี้นะ"
คำขอเป็เพื่อนใหม่หนึ่งรายการ
.............................
เชิงอรรถ
[1] ลูกสำรอง หมายถึง พืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เมื่อโดนน้ำหรือนำมาแช่น้ำจะพองตัวและขยายออกเป็วุ้นคล้ายกับเยลลี่สีน้ำตาล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้