ครั้นองค์ชายเอ่อร์ตั้นได้ยินฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินรับสั่งเช่นนี้ ลอบส่งสัญญาณทางสายตาให้แก่องค์หญิงซีเยวี่ย องค์หญิงซีเยวี่ยผงกศีรษะ นางส่งยิ้มให้ทุกคน ก่อนจะออกจากตำหนักไป
องค์ชายเอ่อร์ตั้นยิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือแววเย้ยหยัน “ในเมื่อฝ่าารับสั่งเช่นนี้ เช่นนั้นให้น้องสาวของกระหม่อมกับเสียนเฟยที่สามารถเต้นรำได้แข่งกันสักคราดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินกระอักกระอ่วนอยู่ครู่หนึ่ง สายตาเหลือบไปเห็นว่าท่านอ๋องมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว เขารีบเลื่อนสายตากลับมา ก่อนจะยิ้มตอบ “ในเมื่อองค์ชายพูดเช่นนี้ เราก็อนุญาต”
เต๋อเฟยทรงดีดกู่เจิงซึ่งวางอยู่ด้านข้าง เสียงสูงต่ำไพเราะเสนาะหูประหนึ่งเสียงน้ำที่ไหลผ่านโขดหิน ใสกังวานยิ่ง นางรำหลายคนมีผ้าปิดใบหน้าไว้ครึ่งหน้าก้าวเข้ามาในตำหนัก แต่ละคนรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เต้นรำไปตามจังหวะเพลง ทุกคนได้ยินเสียงเพลงทำให้นึกถึงคำกล่าวที่ว่า บุปผาพัดโชยไปตามแรงลม ดอกเหมยเขินอายซ่อนกลางหิมะ
เสียนเฟยในชุดสีแดงแขนเสื้อแบบสุ่ยซิ่ว[1] ก้าวเดินไปกลางตำหนัก เปล่งเสียงร้องเพลงอันไพเราะ ทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้ม วรกายบอบบางเต้นรำอ่อนช้อย ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นอดเข้าใจผิดนึกว่าเทพเซียนเหาะลงมายังโลกมนุษย์ไม่ได้
ซูเฟยชมการแสดงเต้นรำอยู่ด้านข้างและเห็นท่าทางของเสียนเฟย แค้นจนอยากจะเอาเล็บยาวๆ จิกเข้าไปในเนื้อของเสียนเฟย เฉินอวี้จึงมองมาอย่างเป็ห่วง
ใบหน้าของเสียนเฟยประดับไปด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ชม้ายตาไปยังฮ่องเต้ ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินยิ้มพลางตบมืออย่างชอบใจ ทว่าทางฝั่งองค์ชายเอ่อร์ตั้นกลับยิ้มเป็รอยยิ้มที่ยากคาดเดาขณะมองเสียนเฟย
เสียงกู่เจิงหยุดลง แต่เสียงอันไพเราะของเสียนเฟยยังคงกังวานไปทั่วตำหนัก ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นั้นหลับตาด้วยความเคลิบเคลิ้ม สิ้นเสียงร้อง เสียนเฟยย่อตัวคำนับ “เป็ที่ขบขันแก่ทุกคนแล้ว”
องค์ชายเอ่อร์ตั้นลุกขึ้นยืน แววตาเต็มไปด้วยความร้ายกาจขณะกล่าวกับเสียนเฟย “ฝีมือการเต้นรำของเสียนเฟยช่างฉกาจนัก ฝีมือในการร้องเพลงก็ยอดเยี่ยม ด้านข้างยังมีเสียงกู่เจิงอันไพเราะของเต๋อเฟย เป็การแสดงที่วิเศษเหลือเกิน!”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินยิ้มให้เต๋อเฟยและเสียนเฟย “ตบรางวัล!”
เสียนเฟยกล่าวขอบพระทัย หันไปยิ้มให้องค์ชายเอ่อร์ตั้น จากนั้นเดินกลับไปยังที่นั่ง จังหวะนั้นนางได้ยินเสียงองค์ชายเอ่อร์ตั้นปรบมือไปทางประตู
องค์หญิงซีเยวี่ยในชุดสีเหลืองประดับประดาด้วยเกล็ดปลาเปิดหน้าท้องก้าวเข้ามาในตำหนัก พระพักตร์มีผ้าผืนบางปิดไว้ครึ่งหน้า นางยอบกายคำนับฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจิน ก่อนที่ร่างอรชรอ้อนแอ้นจะเริ่มเต้นไปตามจังหวะเพลง
ด้านข้างมีคนเป่าแตรหนังสัตว์ซึ่งเป็เครื่องดนตรีเฉพาะของต่างแคว้นบรรเลงเป็ดนตรี องค์หญิงซีเยวี่ยร้องเพลงประจำถิ่น ทำให้ผู้ที่ได้ยินล้วนปรากฏภาพทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาในห้วงคำนึง เสียงเพลงทำให้ผู้คนมีชีวิตชีวาจนแทบอยากจะลุกขึ้นไปเต้นรำด้วย
องค์ชายเอ่อร์ตั้นะโชื่นชมว่ายอดเยี่ยมพร้อมทั้งตบมือเสียงดัง องค์หญิงซีเยวี่ยตรงเข้าไปส่งยิ้มเขินอายให้แก่องค์ชายเอ่อร์ตั้น พลางส่ายหน้าท้องไปตามจังหวะเพลง
เสียงแตรจากแตรหนังสัตว์ค่อยๆ หยุดลง องค์หญิงซีเยวี่ยแย้มสรวลให้แก่ทุกคน ก่อนจะเดินออกไป
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินเอ่ยกับองค์ชายเอ่อร์ตั้น “การเต้นรำของต่างแคว้นแตกต่างกับการเต้นรำของที่ราบภาคกลางของเราจริงๆ การเต้นรำขององค์หญิงทำให้เราอยากจะเข้าไปร่วมวงด้วยอย่างช่วยไม่ได้!”
องค์ชายเอ่อร์ตั้นคำนับ “ฝ่าาทรงตรัสชมเกินไปแล้ว กระหม่อมทราบมาว่าเต๋อเฟยทรงรับผิดชอบดูแลเื่อาหารใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ นี่ก็ถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว เหตุใดถึงยังไม่ยกอาหารออกมาให้คนต่างแคว้นอย่างพวกเราได้ลองชิมฝีมือของคนที่ราบภาคกลางเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องได้ยินแค่นเสียงฮึขึ้นจมูก เอ่ยอย่างดูแคลน “ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือครานี้องค์ชายก็ทรงพาพ่อครัวจากแคว้นมาด้วย”
องค์ชายเอ่อร์ตั้นเบนสายตาไปยังท่านอ๋องครู่หนึ่ง ก่อนที่สีหน้าจะกลับมาเป็ปกติดังเดิม “ข้าแค่กลัวว่าข้าจะไม่ชินกับอาหารของที่ราบภาคกลางจึงได้นำพ่อครัวมาด้วย และจะได้ให้ทุกท่านได้ลองชิมอาหารจากต่างแคว้นไปในตัวด้วยก็เท่านั้นเอง”
สีหน้าของเต๋อเฟยแลดูกระอักกระอ่วน ผงกศีรษะขอตัวแก่ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจิน ก่อนจะออกจากตำหนักไปยังห้องเครื่อง
ซูเฟยเห็นเต๋อเฟยเดินออกไปก็ลุกขึ้นยืน กล่าวกับองค์ชายเอ่อร์ตั้นและฮ่องเต้ “อาหารภายในงานเลี้ยงคืนนี้น่าจะยังต้องรออีกสักครู่ใหญ่ สู้พวกเรามาชมการเต้นรำต่อดีหรือไม่”
องค์ชายเอ่อร์ตั้นพยักหน้าเห็นด้วย “วันนี้ซูเฟยทรงงดงามกว่าคราวที่แล้วที่กระหม่อมได้เจออีกนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบมาว่า พระองค์ทรงมีความสามารถมากมาย เหตุใดพอเข้ามาอยู่ในวังถึงหลบซ่อนไม่แสดงความสามารถให้ผู้อื่นได้เห็นเล่า”
ซูเฟยได้ฟังสีหน้ากระอักกระอ่วนไปครู่หนึ่ง ทั้งยังแดงก่ำ ทว่าทำได้แค่ตอบเสียงแข็ง “ในเมื่อองค์ชายมาถึงนี่ ข้าจะไม่หลบซ่อนความสามารถอีก แสดงฝีมือในการเต้นรำให้ท่านยลสักหนึ่งเพลง”
องค์ชายเอ่อร์ตั้นได้ยินพลันปรบมือ ด้านฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินมีสีหน้ายากจะคาดเดา มุมปากยกเป็รอยยิ้มบางๆ
ซูเฟยเข้าไปเปลี่ยนชุดเป็ชุดเต้นรำสีแดงสด เมื่อออกมาผงกศีรษะให้นักดนตรี แล้วเริ่มแสดงการเต้นรำซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของที่ราบภาคกลาง การเต้นรำอวี่อี[2]
ผ้าไหมสีแดงลอยละล่องอยู่กลางตำหนัก ซูเฟยเคลื่อนกายไปตามเสียงเพลงประหนึ่งนกยูงสีแดงเพลิง องค์ชายเอ่อร์ตั้นมองซูเฟยพร้อมกับอมยิ้ม
ซูเฟยทอดพระเนตรเห็นทุกคนที่ได้แต่ยิ้มน้อยๆ ยิ่งทุ่มเทมากขึ้น จ้าวซีเหอซึ่งชมการแสดงอยู่ด้านข้างกล่าวกับท่านอ๋องว่า “ท่านพ่อ ท่านดูสิ ท่านว่าเหมือนท่านเทพนาจาหรือไม่ ใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ จะขาดก็แต่ห่วงทอง”
ท่านอ๋องได้ยินดังนั้นมุมปากอดยกเป็รอยยิ้มไม่ได้ หากเพียงแค่แวบเดียวกลับมาทำหน้านิ่งดังเดิม ถลึงตาใส่บุตรชาย “จริงจังหน่อย ชมการแสดงเฉยๆ พอ”
จ้าวซีเหอเห็นบิดาทำหน้าเรียบนิ่งก็หันไปตั้งใจชมการแสดงต่อ
ร่างกายของซูเฟยไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย ยิ่งเต้นยิ่งแลดูน่าขบขัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะฝืนเต้นจนจบเพลง ซูเฟยทรงหอบหายใจด้วยความเหนื่อย
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินมองซูเฟยด้วยความไม่พอใจ จนซูเฟยเริ่มหวาดกลัว แต่ก็ยังส่งยิ้มให้ทุกคน “เป็ที่ขบขันแล้ว”
ซูเฟยกลับไปนั่งประจำที่ ตาเหลือบมองไปที่เฉินอวี้ด้วยแววตาไม่สงบ ครั้นเห็นเฉินอวี้ลอบถอนหายใจ ในใจรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
องค์ชายเอ่อร์ตั้นมองสีหน้าของซูเฟย ก่อนจะกล่าวกับฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจิน “ฝ่าา พระสนมของพระองค์มีแต่ผู้มากความสามารถ การเต้นรำของซูเฟยเมื่อสักครู่กระหม่อมเห็นแล้วชื่นชอบเหลือเกิน จนอยากจะให้นางรำของกระหม่อมมาขอวิชาจากซูเฟยบ้าง”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินหัวเราะเสียงดัง “องค์ชายชมเกินไปแล้ว เราเห็นว่าการเต้นรำขององค์หญิงซีเยวี่ยต่างหากถึงจะยอดเยี่ยมที่สุด น่าไปขอความรู้ด้วย!”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินยกจอกสุราขึ้น เอ่ยกับทุกคน “มา ดื่ม!”
ทุกคนชูจอกสุราขึ้น แล้วยกดื่มจนหมด
ในเวลาเดียวกัน เต๋อเฟยสาวพระบาทอย่างเร่งรีบตรงไปยังห้องเครื่อง ครั้นได้กลิ่นหอมลอยโชยออกมาจากในห้องครัว ท้องพลันส่งเสียงร้อง แต่เมื่อนึกถึงหน้าที่ที่ฮ่องเต้ทรงมอบหมายให้ นางรีบเปิดประตูเข้าไป
เห็นลังถึงมีไอระเหยออกมา เต๋อเฟยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
[1] สุ่ยซิ่ว คือชายผ้าสีขาวที่เย็บต่อจากแขนเสื้อ
[2] เต้นรำอวี่อี การเต้นรำแบบหนึ่งในสมัยราชวงค์ถัง