ตอนที่ 6 ชาหนึ่งจอก
เสี่ยวเฉินหรี่ตาลง เขามองชายชราที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบราวกับไร้ตัวตนอยู่เบื้องหน้า ในใจของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อยไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็เพราะความตกตะลึง!
[!!! คำเตือนระดับสูงสุด! ตรวจไม่พบร่องรอยการเคลื่อนไหว! ตรวจไม่พบคลื่นพลังงานปราณ! เป้าหมายปรากฏตัวขึ้นราวกับผสานเป็หนึ่งเดียวกับมิติโดยรอบ! นี่คือยอดฝีมือที่เหนือกว่าขอบเขตการวิเคราะห์ของข้าในปัจจุบัน! แนะนำให้โฮสต์หลีกเลี่ยงการปะทะทุกรูปแบบ!]
เสียงของหลู่ปิงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
ชายชราผมขาวผู้ดูแลหอตำรา ผู้ที่ดูเหมือนไม้ใกล้ฝั่งที่นั่งสัปหงกอยู่หน้าประตูทุกวี่ทุกวัน แท้จริงแล้วคือยอดฝีมือระดับสูงที่ซ่อนตัวตนอยู่!
เสี่ยวเฉินสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว เขาโค้งคำนับให้ผู้าุโซูอย่างนอบน้อมตามเดิม “ท่านผู้าุโซู... ข้าไม่เข้าใจ” เขากล่าวพลางชี้ไปยังป้ายหยกที่เอว “ท่านพ่อของข้าได้มอบป้ายหยกนี้ให้แก่ข้าแล้ว ซึ่งหมายความว่าข้ามีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงเคล็ดวิชาทุกอย่างในหอตำราแห่งนี้มิใช่หรือ?”
ผู้าุโซูแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “ป้ายหยกัเขียวน่ะรึ? แน่นอน มันคือสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุดของประมุข แต่เ้าคงจะลืมไปกระมัง ว่ากฎของหอตำรานั้น ถูกตั้งขึ้นโดยบรรพบุรุษของตระกูลเสี่ยว ต่อให้เป็ตัวประมุขเอง ก็ยังต้องเคารพกฎนั้น”
เขายกนิ้วที่แห้งเหี่ยวขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “เคล็ดวิชาที่อยู่บนแท่นหินศิลาจารึกเหล่านี้ คือมรดกที่ล้ำค่าที่สุดของตระกูล ไม่ได้มีไว้สำหรับให้ใครก็ได้มาหยิบฉวยไปง่ายๆ ผู้ที่้ามัน ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าตนเองคู่ควร”
“แล้วข้าต้องพิสูจน์อย่างไร?” เสี่ยวเฉินถามอย่างตรงไปตรงมา
ผู้าุโซูไม่ตอบ แต่กลับหันหลังเดินไปยังโต๊ะน้ำชาเก่าๆ ที่มุมห้อง “มานั่งลงก่อนสิชาของข้ากำลังได้ที่พอดี”
เสี่ยวเฉินเดินตามไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบๆ เขาััได้ว่านี่ไม่ใช่แค่การทดสอบธรรมดา แต่มันคือการเผชิญหน้ากับอำนาจลึกลับที่ซ่อนอยู่เื้ัตระกูลเสี่ยวมาโดยตลอด
ผู้าุโซูรินชาสีอำพันอ่อนๆ ลงในจอกกระเบื้องเคลือบสองใบอย่างเชื่องช้า กลิ่นหอมกรุ่นของใบชาลอยอบอวลไปทั่วห้อง สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายแต่ก็แฝงไว้ด้วยความตึงเครียดที่มองไม่เห็น
“เ้ารู้หรือไม่ ว่าชาที่ดีที่สุด ไม่ได้มาจากใบชาที่สวยที่สุด แต่มาจากใบชาที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการบ่มเพาะที่เหมาะสม จนกระทั่งปลดปล่อยแก่นแท้ของมันออกมาในยามที่ถูกน้ำร้อนชำระล้าง” เขากล่าวพลางเลื่อนจอกชาหนึ่งใบมาตรงหน้าเสี่ยวเฉิน “คน...ก็เช่นกัน”
เขายกจอกชาของตนเองขึ้นจิบช้าๆ “ข้าดูแลหอตำราแห่งนี้มาหกสิบปี ข้าเห็นนายน้อยและคุณหนูของตระกูลเสี่ยวเติบโตขึ้นมานักต่อนัก บางคนโดดเด่นแต่เยาว์วัย แต่กลับเหี่ยวเฉาไปเมื่อเจอพายุ บางคนดูธรรมดา แต่กลับยืนหยัดผ่านกาลเวลาได้อย่างมั่นคง ส่วนเ้า...”
เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเสี่ยวเฉินตรงๆ ดวงตาที่เคยดูขุ่นมัวบัดนี้กลับกระจ่างใสและล้ำลึกราวกับสามารถมองทะลุเข้าไปถึงแก่นิญญาได้ “เ้าเป็กรณีที่พิเศษที่สุดจากก้อนกรวดที่ไร้ค่าในสายตาใครๆ จู่ๆ ก็กลับทอประกายราวกับเพชรน้ำงาม บอกข้าทีสิ นายน้อยเฟิงหลิว อะไรที่ทำให้เ้าเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้?”
มันคือคำถามที่ตรงไปตรงมาและอันตรายที่สุด!
หัวใจของเสี่ยวเฉินเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย แต่สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยราวกับผืนน้ำในฤดูใบไม้ร่วง
[...กำลังวิเคราะห์เจตนาของเป้าหมาย ไม่พบจิตสังหาร ไม่พบจิตมุ่งร้าย เจตนาหลัก: ความสงสัยใคร่รู้ และการทดสอบ]
“คนเราเมื่อเดินผ่านประตูผีมาแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมต้องมองโลกเปลี่ยนไปเป็ธรรมดา” เขาตอบด้วยประโยคเดิมที่เคยใช้กับเสี่ยวเยว่เอ๋อร์ “ความตาย คือบทเรียนที่ดีที่สุด มันสอนให้ข้ารู้ว่าชีวิตที่ผ่านมาของข้านั้นช่างว่างเปล่าและน่าสมเพชเพียงใด หาก์ยังเมตตาให้โอกาสข้าได้มีชีวิตอยู่ต่อ ข้าก็ไม่อยากจะใช้มันไปกับการเป็ขยะอีกต่อไป”
คำตอบนั้นสมบูรณ์แบบ มันอธิบายการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดได้อย่างสมเหตุสมผลโดยไม่ต้องเปิดเผยความลับใดๆ
ผู้าุโซูจ้องมองเขาอยู่นาน ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “คำตอบที่ดี แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด” เขาวางจอกชาลง “พลังปราณสีดำของเ้า เคล็ดวิชาหลอมโอสถที่ผิดแผก เ้าไปได้มันมาจากที่ใดกัน?”
นี่คือคำถามที่แท้จริง!
เสี่ยวเฉินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขารู้ดีว่าการโกหกต่อหน้ายอดฝีมือระดับนี้เป็เื่โง่เขลาที่สุด แต่การบอกความจริงทั้งหมดก็เป็ไปไม่ได้เช่นกัน
“มันคือวาสนาขอรับ” เขากล่าวในที่สุด “ตอนที่ข้าตกลงไปในแม่น้ำและกำลังจะหมดลมหายใจ ข้าได้พบกับลำแสงประหลาดสายหนึ่งใต้น้ำ เมื่อข้ารู้สึกตัวอีกที สิ่งเหล่านี้ก็ปรากฏขึ้นในหัวของข้าแล้ว ข้าเองก็ไม่ทราบที่มาที่ไปของมันเช่นกัน”
เขานำเื่จริงมาผสมกับเื่โกหก... วาสนา และ การพบพานโดยบังเอิญ คือคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุดในโลกของผู้ฝึกยุทธ์
ผู้าุโซูหัวเราะออกมาเบาๆ “วาสนางั้นรึ ช่างเป็คำอธิบายที่ครอบจักรวาลดีแท้” เขายกกาขึ้นรินชาให้เสี่ยวเฉินอีกครั้ง “เอาเถอะ ในเมื่อเ้าไม่้าจะพูด ข้าก็จะไม่คาดคั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว ที่มาของพลังนั้นไม่สำคัญเท่ากับผู้ที่ใช้พลังนั้นหรอก”
เขายกนิ้วชี้ขึ้นมาอีกครั้ง “การทดสอบของข้ามีสามข้อ หากเ้าผ่านได้ทั้งหมด เคล็ดวิชาบนแท่นศิลานี้ก็จะเป็ของเ้า”
“ข้อที่หนึ่ง ตอบคำถามของข้า” เขามองตรงเข้าไปในดวงตาของเสี่ยวเฉิน “ในฐานะนักหลอมโอสถ เ้าคิดว่าสิ่งใดคือแก่นแท้ที่สำคัญที่สุดของการหลอมโอสถ?”
มันคือคำถามที่ดูเรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยปรัชญาที่ล้ำลึก
เสี่ยวเฉินนิ่งคิดไปชั่วครู่ หากเป็นักหลอมโอสถทั่วไป อาจจะตอบว่าคือสมุนไพรที่ดี คือเตาหลอมที่ล้ำค่า หรือคือเคล็ดวิชาที่ทรงพลัง แต่สำหรับเขา ผู้ที่ได้ คัมภีร์โอสถา คำตอบนั้นกลับแตกต่างออกไป
“คือความสมดุลขอรับ” เขากล่าวอย่างหนักแน่น “โอสถที่ดีที่สุด ไม่ใช่โอสถที่ใช้ส่วนผสมที่ล้ำค่าที่สุด แต่คือโอสถที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างพลังหยินและหยางได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ยาพิษที่ร้ายแรงที่สุด หากนำมาใช้ได้อย่างถูกส่วน ก็สามารถกลายเป็ยาเทวดาได้ ในทางกลับกัน ยาเทวดาหากใช้มากเกินไป ก็สามารถกลายเป็ยาพิษที่คร่าชีวิตคนได้เช่นกัน แก่นแท้ของมันจึงไม่ใช่ตัวโอสถ แต่คือความเข้าใจ ในสมดุลแห่ง์และปฐีของผู้หลอมต่างหาก”
แววตาของผู้าุโซูทอประกายวาบขึ้นมาด้วยความชื่นชมอย่างปิดไม่มิด!
“คำตอบที่ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน!” เขาตบโต๊ะเบาๆ อย่างถูกใจ “เ้าผ่านข้อแรก!”
“ข้อที่สอง...” เขาลุกขึ้นยืน เดินไปยังกระดานหมากล้อมเก่าๆ ที่วางอยู่มุมห้อง “มาเล่นกับข้าหนึ่งกระดาน”
การเล่นหมากล้อม ไม่ใช่การทดสอบความรู้ แต่เป็การทดสอบจิตใจ การวางหมากแต่ละตัวสะท้อนให้เห็นถึงสติปัญญา การวางแผน ความอดทน และนิสัยใจคอของผู้เล่นได้อย่างหมดจด
เสี่ยวเฉินเดินตามไปนั่งลง เขารับหมากสีดำมาไว้ในมือ
เกมได้เริ่มต้นขึ้น...
ผู้าุโซูเดินหมากด้วยท่วงท่าที่สุขุมและมั่นคง ทุกเม็ดหมากที่วางลงไปดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยกับดักและแผนการที่ซ้อนกันเป็ชั้นๆ ราวกับขุนพลเฒ่าผู้เจนจบพิชัยา
ในขณะที่เสี่ยวเฉิน กลับเดินหมากด้วยรูปแบบที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง!
[หลู่ปิง วิเคราะห์รูปแบบการเดินหมากของเป้าหมาย คำนวณความเป็ไปได้ทั้งหมด หาเส้นทางที่จะนำไปสู่ชัยชนะ]
[...กำลังคำนวณ รูปแบบของเป้าหมายซับซ้อนเกินไป มีตัวแปรที่คาดเดาไม่ได้แฝงอยู่ อัตราความสำเร็จในการคำนวณ: 43% แนะนำให้โฮสต์เล่นตามสัญชาตญาณ!]
เสี่ยวเฉินเลิกใช้ความคิดเชิงตรรกะของหลู่ปิง แต่กลับใช้สัญชาตญาณของนักฆ่าที่ถูกฝึกฝนมาทั้งชีวิตแทน! การเดินหมากของเขาจึงเต็มไปด้วยความดุดัน บ้าบิ่น และคาดเดาไม่ได้! บางครั้งเขายอมสละพื้นที่ส่วนใหญ่เพื่อแลกกับการรุกฆาตเพียงจุดเดียว บางครั้งเขาสร้างรูปแบบที่ดูเหมือนจะพ่ายแพ้ แต่กลับซ่อนคมดาบสังหารไว้ในตาเดินสุดท้าย!
มันคือการเดินหมากของคนที่ไม่กลัวความตาย!
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม บนกระดานเต็มไปด้วยเม็ดหมากขาวดำที่สู้รบกันอย่างดุเดือด
และในที่สุด...
แปะ!
เสี่ยวเฉินวางหมากสีดำเม็ดสุดท้ายลงไป
ผู้าุโซูที่กำลังจะวางหมากสีขาวถึงกับชะงักค้างกลางอากาศ เขามองภาพรวมบนกระดานแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาว ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น!
“ฮ่าๆๆๆ! แพ้แล้ว! ข้าแพ้แล้วจริงๆ!” เขากวาดเม็ดหมากบนกระดานทิ้งอย่างไม่เสียดาย “ข้าไม่ได้พ่ายแพ้ให้กับเด็กหนุ่มคนใดมานานเท่าใดแล้วนะ การเดินหมากของเ้ามันช่าง ช่างบ้าคลั่งและงดงามในเวลาเดียวกัน! เ้าผ่านข้อที่สอง!”
เขามองเสี่ยวเฉินด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มันคือแววตาที่ยอดฝีมือใช้มองยอดฝีมือด้วยกัน
“และข้อสุดท้าย ข้อที่สาม...”
แววตาของเขากลับมาจริงจังอีกครั้ง “รับการโจมตีจากข้า หนึ่งกระบวนท่า”
บรรยากาศพลันเย็นเยียบลงในพริบตา!
นี่ไม่ใช่การทดสอบความรู้หรือจิตใจอีกต่อไป แต่มันคือการทดสอบพลัง ที่แท้จริง!
“ท่านผู้าุโแน่ใจหรือขอรับ?” เสี่ยวเฉินถามอย่างสุขุม แม้ในใจจะเต้นรัวราวกับกลองศึก
“ข้าจะออมแรงให้ ข้าจะใช้พลังเพียงแค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น” ผู้าุโซูกล่าว “แต่หากเ้ารับไม่ได้ ก็จงอย่าได้คิดแตะต้องเคล็ดวิชาบนแท่นศิลานั่นอีกเลยตลอดชีวิต”
เสี่ยวเฉินสูดลมหายใจลึก เขารู้ดีว่านี่คือการเดิมพันที่ใหญ่ที่สุด แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
“ตกลงขอรับ ข้าพร้อมแล้ว”
เขาก้าวถอยหลังไปตั้งหลัก โคจรปราณาเยือกแข็ง ไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ไอเย็นสีดำจางๆ เริ่มปรากฏขึ้นรอบตัวเขา
ผู้าุโซูยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ยกฝ่ามือขวาขึ้นมา ช้าๆ
ทันใดนั้น!
เสี่ยวเฉินรู้สึกราวกับฟ้าดินกำลังจะถล่มทลายลงมา!
มันไม่ใช่การโจมตีที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า! แต่มันคือแรงกดดัน มหาศาลที่มองไม่เห็น! อากาศรอบตัวเขาหนักอึ้งขึ้นนับร้อยเท่า ราวกับเขากำลังแบกูเาทั้งลูกไว้บนบ่า! พื้นไม้ใต้เท้าของเขาส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดจนแทบจะแหลกเป็ผุยผง!
นี่น่ะรึ พลังเพียงแค่หนึ่งในสิบส่วน!
“อ๊ากกกก!”
เสี่ยวเฉินคำรามลั่น! เขาปลดปล่อยปราณาเยือกแข็งทั้งหมดออกมาในคราวเดียว! เกล็ดน้ำแข็งสีดำนับพันก่อตัวขึ้นรอบกายของเขาอย่างรวดเร็ว สร้างเป็โล่น้ำแข็งเพื่อต้านทานแรงกดดันอันน่าสะพรึงนั้น!
แคร่ก! แคร่กกก!
โล่น้ำแข็งปรากฏรอยร้าวขึ้นมาในทันที! มันกำลังจะแตกสลายในอีกไม่กี่อึดใจ!
[!!! ร่างกายของโฮสต์กำลังจะถึงขีดจำกัด! โครงสร้างกระดูกเริ่มเสียหาย! แนะนำให้ยอมแพ้!]
“ไม่มีทาง!”
ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็ความตายนั้นเอง เขานึกถึงเคล็ดวิชาก้าวย่างเมฆา ขึ้นมา! เขาไม่ได้คิดจะใช้มันเพื่อหลบหนี แต่เขาคิดจะใช้หลักการของมัน!
หลักการแห่งการ ลื่นไหลและผ่อนแรง!
แทนที่จะต้านทานแรงกดดันนั้นตรงๆ เขากลับเริ่มโคจรพลังปราณให้หมุนวนไปตามร่างกาย ปล่อยให้แรงกดดันมหาศาลนั้นไหลผ่านร่างกายของเขาไปเหมือนกระแสน้ำที่ไหลผ่านก้อนหิน!
ฟู่...
แรงกดดันที่เคยบดขยี้เขาจนแทบแหลกสลาย พลันเบาบางลงอย่างน่าอัศจรรย์! แม้ร่างกายจะยังคงเ็ป แต่เขาก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้!
ผู้าุโซูลดมือลง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างถึงขีดสุด!
“เ้า...เ้าทำได้อย่างไร!?”
เสี่ยวเฉินทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น หอบหายใจอย่างหนัก เืซึมออกมาจากมุมปาก แต่บนใบหน้าของเขากลับปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มของผู้ชนะ
“ข้า...ข้าผ่านแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”
ผู้าุโซูจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่นาน ก่อนจะะเิเสียงหัวเราะออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน!
“ฮ่าๆๆๆ! ผ่าน! ไม่ใช่แค่ผ่าน! แต่เ้ามันคือปีศาจ! ปีศาจตัวน้อยที่สวมหนังแกะชัดๆ! สามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ของการ ใช้ความอ่อนโยนสยบความแข็งแกร่ง ได้ในชั่วพริบตา! ตระกูลเสี่ยวของข้า กำลังจะมีัถือกำเนิดขึ้นมาแล้วจริงๆ!”
เขาสะบัดมือเบาๆ โซ่ิญญาที่ล่ามม้วนคัมภีร์ ก้าวย่างเมฆาอยู่ก็สลายหายไปในอากาศ
“เอาไปเถอะ มันเป็ของเ้าแล้ว”
“และจำไว้ให้ดี ชื่อของข้าคือ เสี่ยวเทียนซิน หากมีเื่อะไรที่เ้าแก้ไม่ได้ ก็จงมาหาข้าที่นี่”
ในวันนั้น เสี่ยวเฉินไม่เพียงแต่ได้มาซึ่งเคล็ดวิชาที่ล้ำค่า
แต่เขายังได้มาซึ่งพันธมิตรที่ทรงพลังที่สุดในตระกูลเสี่ยวอีกด้วย
