“รีบกินตอนร้อนๆ!” หลินหวั่นชิวเรียกเจียงหงหย่วนแล้วออกไปเรียกเจียงหงป๋อ
ชามใบโตใส่บะหมี่ร้อนๆ ผักสดสีเขียว ไข่ไก่สีเหลืองทองโปะ้า รวมกับน้ำแกงสีแดงใส แค่มองก็น่ากินแล้ว
กลิ่นหอมลอยปะทะจมูก
บะหมี่ที่ทั้งร้อนทั้งอร่อยไหลลงสู่ท้อง…กินจนมีความสุขเต็มกระเพาะ
“พี่สะใภ้ เดี๋ยวข้าล้างชามให้ขอรับ” เจียงหงป๋อกินอย่างสุภาพ เจียงหงหย่วนกับหลินหวั่นชิวกินหมดแล้ว เขายังกินได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
“ได้! ในกระทะต้มน้ำร้อนไว้อยู่ ระวังโดนลวกด้วยนะ” หลินหวั่นชิวเตือนเขา
เจียงหงหย่วนหยิบถังน้ำในห้องครัวไปตักน้ำ หลินหวั่นชิวตามเขาไปด้วย ถือโอกาสเล่าเื่ในบ้านให้เขาฟังระหว่างทาง
“…จู่ๆ ช่างก่ออิฐก็ไม่มาทำงานเสียแล้ว ข้าว่าต้องมีคนแอบทำกระไรอยู่เื้ัเป็แน่ หย่วนเกอ พวกเราลองสืบดูดีหรือไม่ว่าผู้ใดกันแน่ที่ปองร้ายอยู่เื้ั?”
แม้หลินหวั่นชิวจะสงสัยว่าเป็ฝีมือตระกูลสวีกับตระกูลหลิน แต่โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน หากไม่มีหลักฐาน ไม่ว่าผู้ใดย่อมมีสิทธิ์เป็คนที่แอบปองร้ายทั้งนั้น และไม่ว่าผู้ใดย่อมมีสิทธิ์เป็ผู้บริสุทธิ์ได้เช่นกัน
น้ำที่บ้านตระกูลเจียงใช้ไม่ได้ตักจากบ่อน้ำในหมู่บ้าน แต่ขึ้นไปตักจากบนเขา บนไหล่เขามีตาน้ำพุอยู่
เนื่องจากต้องปีนเขา อีกทั้งระยะทางก็ไกล ดังนั้นแม้น้ำพุจะมีรสหวานแต่ก็ไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านขึ้นมาตักกิน
(น้ำที่บ้านตระกูลเจียงใช้ตักมาจากแม่น้ำ ส่วนน้ำที่เอาไว้ดื่มตักจากบนูเา)
ตลอดทางมานี้ ทั้งคู่จึงไม่เจอผู้ใด ไม่ต้องกลัวว่าพูดแล้วจะมีผู้ใดได้ยินหรือไม่เช่นกัน
“อืม ข้าจะลองไปสืบเื่นี้ดู ถ้าข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็ฝีมือสวีเทา สวีเต๋อเซิ่งคุมตัวนักโทษไปส่งยังไม่กลับมา อิทธิพลของสวีฝูก็ยังไม่ใหญ่ถึงขั้นที่คนในละแวกใกล้เคียงต้องฟังเขาเสียหมด”
เจียงหงหย่วนคาดเดาเช่นเดียวกับหลินหวั่นชิว ชาวบ้านในยุคนี้กลัวทางการที่สุดแล้ว บนร่างสวีเทาคลุมหนังของเ้าหน้าที่นักการไว้อยู่ เขาแค่ไปปรากฏตัวในชนบท ไม่มีผู้ใดไม่เกรงกลัว
“เขาเป็ถึงมือปราบ หากตั้งใจจะปองร้ายพวกเรา…เช่นนั้นถือว่ายุ่งยากอยู่” ที่นี่เป็ยุคโบราณ ไม่ใช่สังคมที่ปกครองด้วยกฎหมายเหมือนในปัจจุบัน ผู้มีอำนาจจะจัดการชาวบ้านธรรมดาย่อมง่ายนิดเดียว
“กลัวหรือ?” เจียงหงหย่วนเลิกคิ้วมองเมียตัวน้อยยิ้มๆ “วางใจเถิด ข้าปกป้องเ้าได้ อย่างมากก็ฆ่าหมอนั่นแล้วโยนเข้าไปเป็เหยื่อล่อในูเาลึก ไม่แน่ว่าอาจล่าเสือไปขายได้อีกตัว”
“มีท่านอยู่ ข้าย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว” ประโยคนี้ของหลินหวั่นชิวทำให้ดอกไม้ในใจเจียงหงหย่วนบานสะพรั่ง
หลินหวั่นชิวไม่ใช่ดอกบัวขาวที่ถูกคนอื่นรังแกแล้วยังจะหาข้ออ้างมาให้อีกฝ่ายและให้อภัยแบบไร้เงื่อนไข
นางไม่ได้เขลา
หากสวีเทาเป็คนที่อยู่เื้ัจริงและเจียงหงหย่วนจะฆ่าเขา นางจะไม่ห้ามเจียงหงหย่วนเป็แน่
แต่แน่นอนว่านางเชื่อเช่นกันว่าเจียงหงหย่วนไม่ใช่คนที่จะฆ่าผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล
นอกเสียจากว่าสิ่งที่สวีเทาทำจะเหยียบขีดความอดทนของเขา
ความจริง หากเจียงหงหย่วนไม่เห็นความสำคัญของชีวิตคนจริง ไม่แน่ว่าครอบครัวเหล่าหลินทั้งเด็กทั้งแก่คงจะถูกโยนเข้าูเาลึกไปเสียแล้ว
ส่วนเื่ที่ว่าเจียงหงหย่วนฆ่าคนแล้วจะถูกทางการจับหรือไม่…หลินหวั่นชิวรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าเขาไม่มีทางยอมให้ตัวเองถูกจับเป็แน่
อื้ม
นี่ก็คือการเชื่อแบบไม่มีสาเหตุ
มนุษย์เราช่างแปลก คนบางคนเ้าอยู่กับเขามาทั้งชีวิต แต่ไม่เห็นจะเชื่อใจเขา
แต่กับคนบางคน แม้เ้าจะเพิ่งเคยเจอเป็ครั้งแรก เขากลับทำให้เ้าเชื่อใจได้
ชาติก่อน หลินหวั่นชิวไม่เคยเชื่อใจพ่อแม่ตัวเอง แต่ตอนนี้…
รายละเอียดเช่นนี้ทำให้แม้แต่ตัวหลินหวั่นชิวเองยังรู้สึกเหลือเชื่อ
ทว่าความรู้สึกนี้กลับทำให้นางสบายใจ
“หย่วนเกอ ท่านไม่นอนจะไหวหรือ? อีกประเดี๋ยวต้องกลับไปทำงานอีก”
ถูกหลินหวั่นชิวมองด้วยสายตาเป็ห่วง ทะเลสาบในใจเจียงหงหย่วนสั่นไหว หากบนนั้นมีเรือคงพลิกคว่ำไปเสียแล้ว
เจียงหงหย่วน “วันนี้ไม่ต้องไปเช้าเช่นเมื่อวาน กินข้าวเที่ยงเสร็จค่อยไปย่อมได้ ลำบากแค่่สองสามวันแรก ไว้คุ้นเคยกับบ่อนแล้วก็ไม่ต้องอยู่เฝ้าจนดึกเกินไปอีก”
หลินหวั่นชิวพยักหน้า ไม่มีงานใดที่เป็งานสบายและได้เงินเดือนสูงมาั้แ่แรก เื่เช่นนั่นมันไม่สมจริง นอกเสียจากว่าเ้าจะเป็ลูกคนรวยรุ่นที่สอง รุ่นที่สามที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด
เมื่อก่อนตอนเจียงหงหย่วนล่าสัตว์ เขาจะออกจากบ้านนานหลายวันหรือไม่ก็เป็สิบวันถึงครึ่งเดือน อยู่กลางป่าผู้เดียว ทั้งลำบากทั้งอันตราย เทียบกับการล่าสัตว์แล้ว งานในบ่อนดูจะสบายกว่ามาก
“ไว้ประเดี๋ยวลงเขาไปซื้อไก่จากในหมู่บ้านกลับไปตุ๋น” เจียงหงหย่วนทำงานหนัก หลินหวั่นชิวอยากช่วยเขาบำรุงร่างกาย
“อยากกินแกงไก่ตุ๋น? เดี๋ยวข้าจับให้!” เจียงหงหย่วนอยากให้ภรรยาตัวน้อยเห็นฝีมือตัวเองจึงเอ่ยปากพูด
“แต่ท่านมามือเปล่านะ!” ธนูสำหรับล่าสัตว์ก็ไม่ได้เอามา จะจับไก่ป่าอย่างไร? ไก่ป่าบินได้นะ
“เหอะ ดูถูกข้าหรือ? รอดูได้เลย!” เจียงหงหย่วนฮึดฮัดเสียงเย็น มีโอกาสแสดงฝีมือต่อหน้าภรรยาตัวน้อยทั้งที เขาต้องไม่พลาดเป็แน่
หลินหวั่นชิวไม่พูดสิ่งใดอีก อาการลูกผู้ชายของหมอนี่กำเริบเสียแล้ว
เดินมาถึงจุดที่ตาน้ำพุตั้งอยู่ เจียงหงหย่วนไม่ได้รีบตักน้ำ กลับวางถังไม้สองใบลงด้านข้าง จากนั้นหาก้อนหินทรงกลมเป็ประกายกำหนึ่งจากขอบบ่อน้ำพุมาใส่ลงในกระเป๋า
เจียงหงหย่วนคว้ามือหลินหวั่นชิวอย่างเป็ธรรมชาติ “อย่าส่งเสียง ตามข้ามา”
มือเขาหยาบมาก ฝ่ามือเต็มไปด้วยหนังด้านแข็งกระด้าง มันแห้งผากแต่กลับอบอุ่นมาก ความอบอุ่นส่งเข้ามาถึงใจนาง
ในความทรงจำของนาง นอกจากเจียงหงหย่วนแล้วเหมือนจะไม่เคยมีผู้ใดจับมือนางเช่นนี้อีก รวมถึงพ่อแม่ ั้แ่ที่จำความได้ นางไม่มีความทรงจำที่ถูกพ่อแม่กอดหรือจูงมือ
หลินหวั่นชิวส่ายหน้า ไล่ความรู้สึกขื่นขมออกไป ตอนนี้เจียงหงหย่วนหยุดเดินแล้ว เขาส่งสายตาบอกให้หลินหวั่นชิวห้ามขยับ โค้งตัวก้าวไปด้านหน้าสองก้าวอย่างระมัดระวัง จากนั้นเอาตัวไปซ่อนด้านหลังต้นไม้ใหญ่ กลั้นหายใจรอ
หลินหวั่นชิวประหม่าตามเขาไปด้วย นางมองไปทางทิศที่เจียงหงหย่วนอยู่ ไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น แต่แล้วจู่ๆ เจียงหงหย่วนก็ขยับมือสองครั้ง มีเสียงของตกดังมาจากพุ่มไม้เตี้ยไม่ไกล
