การแข่งม้าของสองชนเผ่า เป็การแข่งขันที่มักมีขึ้นบ่อยๆ บนทุ่งหญ้า
บิดาของอามู่เอ่อร์เป็ผู้ที่มีความสามารถบนหลังม้าที่โดดเด่นมากกว่าคนทั่วไป เป็ธรรมดาที่ต้องเข้าร่วมการแข่งขันด้วย
ตอนเริ่มต้นม้าวิ่งได้ราบรื่นมาก แต่พอถึงกลางทาง จู่ๆ ก็เริ่มคลุ้มคลั่งเกิดอาการกระสับกระส่ายขึ้น บิดาไม่ทันได้ระวังจึงถูกม้าพยศที่ห้อตะบึงทำให้ตกลงมาจากหลังม้า ศีรษะร่วงลงสู่พื้นดินไร้ลมหายใจทันที
หลังจากเื่ราวสิ้นสุด จึงค้นหาม้าพยศที่ห้อตะบึงอย่างสุดแรงและตายลงจนเจอ และพบว่ามันถูกคนวางยา
หลังจากนั้นผ่านไปเป็เวลานาน อามู่เอ่อร์ประสบกับความยากลำเค็ญมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนในที่สุดก็ได้ขึ้นเป็ผู้นำตาตาร์ หลังจากนั้นจึงได้ทราบว่าคนที่วางยาคือปาอิน อีกทั้งปาอินยังทำตามคำสั่งจากหานสี่อีกด้วย
ดวงตาอามู่เอ่อร์เย็นเยือก จากานปาลาััได้ถึงความเ็าของเขา
อามู่เอ่อร์เคียดแค้นชิงชังองค์ชายสี่แห่งต้าสยาอย่างมาก จากานปาลารู้ดีเขาจึงใช้ประโยชน์จากความแค้นนี้ ผูกกองทัพพันธมิตรเข้าด้วยกันเพื่อวางแผนยึดครองอาณาเขตของอาณาจักรต้าสยา
“อามู่เอ่อร์ การจู่โจมเมืองในวันพรุ่งนี้ ฝั่งข้าต้องทำอย่างสุดกำลังแน่นอน เก๋อเกินกับถ่าลาอ้อมข้ามแม่น้ำซีชวนไปแล้ว และกำลังเข้าใกล้เมืองตานชัง อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จวนจะเริ่มโจมตีเมือง พวกเราไม่สามารถล้มเลิกกลางคันได้” จากานปาลากล่าวเสียงเคร่งขรึม
อามู่เอ่อร์เลิกคิ้วหนา “อื้ม เช่นนั้นข้าจะรอดูพวกเ้าในวันพรุ่งนี้”
...ในบ้านพักบริเวณประตูทิศเหนือของเมืองถงหลิน หลัวจิ่งกำลังปลอบประโลมต้าฮุยที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากแดนไกล
เขาเติมธัญพืชลงในรางให้มัน เพิ่มน้ำลงในถาดน้ำเล็กๆ แล้วจึงหยิบจดหมายบนขาของมันออกมา
หลังจากนั้นเดินไปใต้แสงไฟ และคลี่กระดาษให้เปิดออก พบตัวอักษรแสนคุ้นเคยปรากฏออกมาตรงหน้าเขา
มุมปากหลัวจิ่งอมยิ้มน้อยๆ อ่านอย่างละเอียด
ไม่นานรอยยิ้มก็ชะงักลง มุมปากเริ่มกระตุกไม่หยุด
นี่คืออะไรกัน? โปรยผงพริกป่นกับผงคันให้ลอยลิ่วไปกับลมร่วงหล่นจากกำแพงเมือง? ราดน้ำเย็นให้หนาวแข็ง? สาดน้ำมันจุดไฟเผา? เปิดส้วมหลุมนำน้ำปฏิกูลเทลงไป? โยนรังต่อเข้าไปที่กลุ่มศัตรู?
“…”
เด็กสาวผู้นี้เห็นการสู้รบในาเป็การเล่นสนุกหรือ?
ผงพริกป่นยังพอมีเหตุผล ผงคันคือสิ่งใดกัน หากโปรยไปบนร่างกายจะคันคะเยอไปทั่วทั้งตัวอย่างนั้นหรือ? มีของประเภทนี้ด้วยหรือ? หลัวจิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
ราดน้ำแช่แข็ง? ทางตะวันตกเฉียงเหนือใน่เดือนสิบ ยังไม่หนาวไปถึงขึ้นนั้น
สาดน้ำมันจุดไฟ? ยังพอใช้ได้ แต่จะต้องสิ้นเปลืองน้ำมันเท่าไรจึงจะสามารถสาดใส่ศัตรูที่มาโจมตีเมืองได้ทั้งหมด
เปิดส้วมหลุมนำน้ำปฏิกูลเทลงไป? …เขาแค่คิดอย่างเดียวก็รู้สึกถึงกลิ่นเหม็นเน่าลอยมาเข้าจมูกแล้ว ช่างทำให้คนสะอิดสะเอียนจริงๆ เลยเชียว
ส่วนรังต่อ ตัวต่อจะสามารถแยกแยะฝ่ายของศัตรูและเขาออกหรือ? มันคงทำได้เพียงโจมตีใส่โดยไม่แยกแยะกระมัง ฆ่าศัตรูหนึ่งพันตนเองสูญเสียแปดร้อย [1]
ขอบคุณที่นางกล้าเขียนมันออกมา วิธีคิดของนางช่างโดดเด่นเหนือผู้อื่นจริงๆ
หลัวจิ่งเม้มปากและอ่านต่อไป...
...กลยุทธ์สาวงาม กลยุทธ์แผนซ้อนแผน กลยุทธ์อำพรางกองกำลังตบตาศัตรู กลยุทธ์จับกุมแม่ทัพผู้บัญชาการ กลยุทธ์ยืมมีดฆ่าคน กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาตีฝ่าประจิม [2] กลยุทธ์ลอบตีเฉินฉาง [3] กลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำ…
หลัวจิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นใ ทำไมนางรู้จักกลยุทธ์ในการรบมากมายเพียงนี้
แม้วิธีการไม่น้อยล้วนเป็เหล่าทหารใช้กันเป็ประจำ แต่นางเป็แม่นางน้อยคนหนึ่งที่ไม่เคยออกจากอำเภอเลยสักครั้ง กลับรู้มากยิ่งกว่าเขาเสียอีก
อ่านจนจบเจินจูถึงได้แนบท้ายมาหนึ่งประโยคว่า วิธีการส่วนใหญ่เหล่านี้ได้ยินมาจากการสนทนากันเป็ประจำของหลิงเสี่ยนกับซิ่วฉายหยาง และนี่ก็เป็ผลที่นางสรุปออกมาได้
หลัวจิ่งอดตะลึงไม่ได้ที่ผู้าุโหลิงกับซิ่วฉายหยางจะศึกษาด้านยุทธวิธีการรบมากมายเช่นนี้
แต่พวกผงพริกป่น ส้วมหลุมหรือน้ำปฏิกูลเ่าั้ก็เป็ความคิดที่พวกเขาเสนอออกมาด้วยหรือ?
หลัวจิ่งสับสนเล็กน้อย
เขาลังเลอยู่นาน สุดท้ายจึงก้าวเท้าเข้าไปในห้องของหลัวรุ่ย
เวลาไม่นานสองคนได้ไปถึงจวนที่เป็ฐานตั้งมั่นที่องค์ชายหานสี่อยู่อีกครั้ง
สถานที่พำนักชั่วคราวขององค์ชายสี่คือจวนของทังจ้าว ซึ่งเป็ผู้รักษาประตูเมืองแห่งเมืองถงหลิน
ขณะนี้เป็เวลาดึกอย่างยิ่งแล้ว แต่ภายในจวนยังคงจุดแสงเทียนสว่างไสว
กองกำลังพันธมิตรชาวตาตาร์และหว่าชื่อได้โจมตีเมืองมาแล้วสามครั้ง แม้ล้วนจบลงที่พวกเขาล่าถอยไป แต่เหล่าทหารกล้าของต้าสยาก็ได้รับาเ็ไปไม่น้อย
ไม่รู้ว่าตาตาร์กับหว่าชื่อซื้อปืนใหญ่ [4] ที่มีรัศมียิงได้ไกลและทรงพลานุภาพมาสองลำจากเขตตะวันตกั้แ่เมื่อใด ทุกครั้งที่โจมตีเมืองจะมีก้อนหินขนาดใหญ่ร่วงลงมาจากฟากฟ้า กระแทกลงนายทหารระดับสูงตายและได้รับาเ็ไปไม่น้อย บ้านเรือนทางตอนเหนือยิ่งได้รับความเสียหายจนนับไม่ถ้วน
ส่วนปืนใหญ่ของเมืองถงหลินเป็แบบเก่า รัศมีการยิงโดยรวมแล้วยิงไปไม่ถึงปืนใหญ่ของพวกเขาทั้งสองฝ่าย
องค์ชายหานสี่กำลังกลุ้มใจปัญหาปืนใหญ่นี้อย่างมาก
หลัวรุ่ยและหลัวจิ่งเข้ามาภายในห้องหานสี่โดยผ่านการรายงานให้ทราบแล้ว
ไม่นานภายในห้องก็แว่วเสียงพ่นหัวเราะทุ้มต่ำของคนที่กลัดกลุ้มไม่สบอารมณ์เมื่อสักครู่ออกมา ทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดหนักหน่วงในตอนแรกกวาดหายไปจนเกลี้ยง
กลางดึกในจวนของทังจ้าวผู้รักษาประตูเมือง นายทหารระดับสูงที่ได้รับคำสั่งต่างยุ่งวุ่นวายกับการเข้าออกอยู่ตลอดทั้งคืน
วันถัดมาเสียงกลองก่อนทำาก็ดังขึ้น กองทัพใหญ่ของตาตาร์และหว่าชื่อได้เริ่มบุกเข้ามาจู่โจมเมือง
เสียงร้องะโสั่นะเืฟ้า ตามด้วยทหารของศัตรูรวมตัวกันมาอย่างหนาแน่นดุจกระแสน้ำที่พรั่งพรูไหลเข้ามา
“พลธนูเตรียม... ยิง!” หลัวรุ่ยยกดาบขึ้นสูง ะโด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
ลูกธนูจำนวนมหาศาลหลายพันดอกยิงไปยังทหารของศัตรูข้างล่างกำแพงเมืองด้วยความเร็วแรง ทหารที่พุ่งเข้ามาอยู่แนวหน้าต่างล้มครืนลงไปในทันที แต่ทหารศัตรูที่อัดแน่นมากมายยังคงพุ่งมาข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ด้านหลังตามมาด้วยเกวียนม้าและบันไดเพื่อโจมตีกำแพงเมือง
หลังจากนั้นไม่นานบันไดก็มาพาดอยู่บนกำแพง ทหารศัตรูนับไม่ถ้วนเริ่มปีนป่ายกันขึ้นไป
“พลก้อนหินเตรียม... โยน” หลัวรุ่ยบัญชาการด้วยความเยือกเย็น
ทหารศัตรูบนบันไดและใต้กำแพงเมืองต่างถูกก้อนหินขนาดใหญ่ร่วงลงกระแทกศีรษะแตกเืไหลอาบ ทหารที่ร่วงหล่นจากบนบันไดตรงเข้ากระแทกร่างทหารที่อยู่ด้านล่าง ในขณะนั้นเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นระงมไปทั่วทุกทิศทาง
เกวียนโจมตีเริ่มกระแทกประตูกำแพงเมือง เสียงปะทะอันรุนแรง ได้สั่นะเืหัวใจที่เต้นรัวดั่งตีกลองของเหล่าทหารกล้าที่รักษาประตูเมือง
ที่ไกลออกไปปืนใหญ่ของชาวตาตาร์ได้เตรียมการเสร็จสิ้น และเริ่มยิงก้อนหินขนาดใหญ่ไปทางเมืองถงหลิน
“โครม” ก้อนหินใหญ่พุ่งเข้าไปภายในบ้านหลังหนึ่ง โชคดีที่ผู้อาศัยของเมืองเหนือได้ถอยร่นไปยังพื้นที่ปลอดภัยนานแล้ว ขณะนี้ไม่มีคนได้รับาเ็และเสียชีวิต
หานสี่ที่อยู่หอสังเกตการณ์มุมกำแพงได้จับตามองสถานการณ์สู้รบอยู่ตลอด หันไปทางทหารอารักขาที่อยู่ใกล้แล้วให้สัญญาณมือ
ทหารอารักขารีบออกจากหอสังเกตการณ์ไป และถ่ายทอดคำสั่งให้แก่หลัวจิ่งที่เตรียมตัวรออยู่นานแล้ว
หลัวจิ่งโบกมือออกคำสั่ง ทหารด้านหลังที่สวมผ้าสีขาวปิดจมูกยกถังขนาดใหญ่หลายถังขึ้นไปบนกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว
หลัวจิ่งแลกเปลี่ยนสายตากับหลัวรุ่ยผู้เป็พี่ชายหนึ่งที
หลัวรุ่ยแยกออกไปให้ทหารที่ประจำการอยู่บนกำแพงเมืองถอยหลังมาสองสามก้าว
หลัวจิ่งล้วงเอาผ้าปิดปากสีขาวจากในอกเสื้อออกมาสวมขึ้น “หน่วยสองเตรียมพร้อม... โปรย”
เดือนสิบของชายแดนสายลมเหนือเริ่มพัดโชย บนกำแพงเมืองจึงยิ่งััแรงลมได้ชัดเจนขึ้น
ทหารหยิบน้ำเต้าออกมาหนึ่งกระบวยที่อยู่ในถังขนาดใหญ่ เปิดถุงผ้าที่อยู่ในถังแล้วใช้น้ำเต้าตักลงไปได้ผงสีแดงเต็มหนึ่งกระบวย
ยื่นตัวออกไปจากกำแพงเมือง และเทผงสีแดงโปรยกระจายลงไปด้านล่าง
บนเนินดินที่ไม่ไกลออกไป จากานปาลากับอามู่เอ่อร์ต่างก็ใบหน้าถอดสี บนกำแพงเมืองถงหลิน ผงสีแดงที่ทหารเ่าั้โปรยกระจายลงมาคืออะไรกัน? เป็ยาพิษอย่างนั้นหรือ?
ขณะที่กำลังคิดทหารบนบันไดที่ถูกผงสีแดงเข้าอย่างจังต่างก็ร้องโหยหวน ผู้ที่อยู่ด้านล่างทั่วทั้งผืนเริ่มอลหม่านขึ้น
“โอ๊ย... ตาข้า”
“หนานหม่านจือ [5] เ้าเล่ห์เพทุบาย ตาของข้าจะบอดแล้ว”
“โอ๊ย... ฮัดเช่ย ฉุนนัก!”
“โอ๊ย... ฮัดชิ้ว!”
“มารดามันเถอะ ข้าแสบจะตายแล้ว”
“โฮ! ดวงตาของข้า”
เสียงร้องใต้กำแพงเมืองดังระงมไปทั่วทุกแห่งหน บนบันไดไม่มีคนปีนขึ้นมาอีก เกวียนจู่โจมเมืองก็หยุดลงไปแล้วเช่นกัน ทหารจำนวนมากกุมดวงตาของตนเองและร้องอย่างน่าเวทนาไม่หยุด
“พลธนูเตรียม... ยิง!” หลัวรุ่ยถือโอกาสเดินไปข้างหน้า ออกคำสั่งตัดสินใจเด็ดขาด
ใต้กำแพงเมืองมีทหารศัตรูตายและาเ็นับไม่ถ้วนทันที เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเืทั้งผืน
สีหน้าจากานปาลาเขียวคล้ำ ตีกลองส่งสัญญาณถอยทับเดี๋ยวนั้นทันที
การต่อสู้ในวันนี้ไม่เกินครึ่งชั่วยาม จากานปาลาก็สูญเสียทหารไปแล้วนับพัน
“น่ารังเกียจนัก!” เขากำหมัดชกต้นไม้แห้งข้างกาย เส้นโลหิตดำบนศีรษะเต้นจนปูดออกมา
“พวกเขาโปรยสิ่งของอะไรกัน ทำไมทำให้ทหารไม่มีเรี่ยวแรงหลบหลีกได้?” อามู่เอ่อร์กลับสีหน้าเคร่งขรึม
จากานปาลาดึงเอานายทหารระดับสูงที่มารายงานเข้ามาตรงหน้า ถามอย่างโเี้ “สิ่งที่หนานหม่านจือโปรยลงมาเป็ยาพิษหรือ? ทำไมพวกเ้าต่างยืนซวนเซกันไปมา?”
“ฮัดชิ้ว!” นายทหารระดับสูงจามออกมาหนึ่งที น้ำลายและน้ำมูกพ่นใส่ใบหน้าจากานปาลา
จากานปาลาปล่อยนายทหารผู้นั้นทันที อีกนิดเกือบจะอดรนทนไม่ไหว แล้วชกเข้าที่ใบหน้าของนายทหารผู้นั้น
“ท่าน องค์ชายสาม ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจขอรับ เป็ชาวต้าสยาที่ชั่วร้ายเกินไปแล้วจริงๆ ฮัดเช่ย!” ดวงตาแดงก่ำของนายทหารมีน้ำตาคลอไหลลงมา และจามออกมาอีกหนึ่งครั้ง “ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะโปรยผงพริกป่นลงมาขอรับ อำมหิตเกินไปแล้ว”
ผงพริกป่น?!
จากานปาลากับอามู่เอ่อร์สบตากันแวบหนึ่ง หลังจากนั้นต่างก็โมโหเดือดเป็ฟืนเป็ไฟ
นอกจากนี้จากานปาลายังชี้นิ้วไปทางกำแพงเมืองถงหลินแล้วด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย “หานสี่ เ้ามันไอ้คนปอดแหก แล้วยังเล่นกลอุบายอีก ไม่นึกเลยว่าจะเอาพริกมาโม่เป็ผงแล้วทำร้ายทหารของข้า ไอ้สารเลว! ไม่ใช่ลูกผู้ชาย! หากฝีมือแน่จริงพวกเ้าออกมาทำาห้าร้อยเพลงดาบกับข้าสิ หดหัวอยู่ในเมืองใช้อุบายขี้โกงเหล่านี้ วีรบุรุษชายอกสามศอกประสาอะไรกัน”
เสียงก่นด่าของเขาย่อมแว่วไปไม่ถึงหูของหานสี่เป็ธรรมดา
แต่ท่าทางโมโหจนกระทืบเท้ากลับสะท้อนอยู่ในดวงตาของเหล่าทหารกล้าทั่วทั้งกำแพงเมือง
หานสี่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองจากานปาลากับอามู่เอ่อร์บนเนินเขาที่ไกลออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งระงับไว้ไม่อยู่
เป็ครั้งแรกที่จำนวนผู้าเ็และเสียชีวิตเล็กน้อยเพียงนี้ ก็ทำให้ตาตาร์กับหว่าชื่อถอยกำลังทหารไปได้ แม้วิธีการไม่ได้โดดเด่นร้ายกาจ แต่าไม่มีดวงตาก็ไม่สามารถมองได้ว่าผู้ใดเป็ผู้ใดหรือใช้วิธีการแบบไหน หากได้รับชัยชนะด้วยการสูญเสียเล็กน้อยที่สุดได้เช่นนี้ จะเล่นกลอุบายหน่อยก็ไม่เห็นเป็ไร
สำหรับาแล้วไม่ว่าใช้วิธีการอะไร ขอแค่สามารถได้รับชัยชนะมาได้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ
ปีนี้หานสี่อายุยี่สิบแปด ตั้งมั่นปกป้องอยู่ชายแดนมาเกือบสิบปี ทำาน้อยใหญ่กับชาวตาตาร์และหว่าชื่อกันมาก็หลายปี
ชาวบ้านเลี้ยงสัตว์ทางตะวันตกเฉียงเหนือแข็งแกร่งกล้าหาญ ล้วนเป็ชนเผ่าบนหลังม้า การแข่งม้า มวยปล้ำ และยิงธนูเป็ทักษะที่มีพร้อมของพวกผู้ชายั้แ่เด็กจนโต พวกเขาสภาพร่างกายแข็งแรงกำยำ ผ่านร้อนผ่านหนาวแห่งความยากลำบาก คุ้นชินกับการต่อสู้ โดยเฉพาะทหารม้าของพวกเขาเคลื่อนไหวฉับไว ยุทธวิธีไม่ตายตัวรู้จักพลิกแพลง บนที่ราบเป็กองกำลังทัพทหารม้ายิงธนูที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวที่สุด
หานสี่ต่อสู้กับชนเผ่าเหล่านี้ ตลอดมาใช้การทำให้แตกแยกจากภายในของพวกเขาเอง สลายความสามัคคีในกองกำลังของพวกเขาเป็หลัก ดังนั้นชื่อเสียงของเขาในชนเผ่าคนเลี้ยงสัตว์จึงเป็ตัวแทนของกลอุบายปลิ้นปล้อนมากมาย
หานสี่ไม่ได้ให้ความสนใจ หากเขาสามารถรักษาความมั่นคงปลอดภัยของชายแดนไว้โดยสูญเสียให้น้อยที่สุดได้ นั่นเป็จุดมุ่งหมายที่ใหญ่ที่สุดของเขา
ส่วนการประเมินค่าของศัตรูที่มีต่อเขานั้นจะสามารถทำอะไรเขาได้...
“ฝ่าา การเดินหมากของฝ่าาครั้งนี้เคลื่อนไหวได้ดียิ่งนัก ดูใบหน้าองค์ชายสามของหว่าชื่อผู้นั้นสิพ่ะย่ะค่ะ โมโหจนเขียวไปหมดแล้ว” ทังจ้าวถือเป็ผู้รักษาประตูเมืองของเมืองถงหลิน และตั้งมั่นป้องกันอยู่ชายแดนมาหลายปีแล้วเช่นกัน สำหรับการคิดวางแผนและการกระทำต่างๆ ของหานสี่ เขารู้สึกประทับใจอย่างมาก
“ฮ่าๆ! นี่ไม่ใช่เปิ่นกง [6] คิดออกมาหรอก เป็ความคิดของหลางเจียงสกุลหลัวพวกเขาถวายขึ้นมา” หานสี่คิดถึงหลากหลายวิธีการที่ได้ฟังหลัวจิ่งรายงานขึ้นมาเมื่อคืน มุมปากกระตุกอย่างแปลกประหลาด “รอครั้งหน้าค่อยลองวิธีอื่นกันเถอะ ฮ่าๆ”
หานสี่กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ไหล่สองข้างกระตุกสั่นไหว
“หลางเจียงหลัวช่างเป็วีรบุรุษวัยเยาว์จริงๆ อายุน้อยเพียงนี้กลับเฉลียวฉลาดเกินคน ความคิดเช่นนี้ก็ล้วนคิดออกมาได้ เป็ขุนพลผู้ร่ำรวยโชคของชาวต้าสยาจริงๆ” ทังจ้าวเห็นหานสี่หัวเราะจนหยุดไม่ได้จึงรีบกล่าวชมหลัวจิ่งทันที
“…ทหารชั้นปลายแถวอย่างข้าน้อยมิกล้ารับไว้ ล้วนเป็ฝ่าาบัญชาการได้ถูกทางทั้งสิ้นขอรับ” หลัวจิ่งหยิบเอาผ้าปิดปากและจมูกลง กล่าวด้วยความอึดอัดใจ
หานสี่สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือก พยายามกลั้นอาการหัวเราะไว้ วิธีการที่หลัวจิ่งเสนอออกมาถูกใจเขายิ่งนัก “อื้ม หลางเจียงหลัวถือว่ามีความดีความชอบและไม่อวดความสามารถ เปิ่นกงรู้สึกปลื้มใจอย่างยิ่ง”
จากนั้นได้ชี้ไปที่ผ้าปิดปากสีขาวในมือ “ผ้าคลุมปากและจมูกนี่ไม่เลว สั่งลงไปว่าให้เย็บตามแบบนี้ออกมาหนึ่งร้อยอัน ครั้งหน้าจะได้ใช้”
ครั้งหน้าจะได้ใช้?
หลัวจิ่งเส้นดำเต็มศีรษะ มีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้น
เชิงอรรถ
[1] ฆ่าศัตรูหนึ่งพันตนเองสูญเสียแปดร้อย หมายถึง อัตราความเสียหายแตกต่างกันไม่เท่าไร ได้รับความเสียหายทั้งคู่ เป็การลงทุนที่ไม่ได้ผลกำไร
[2] กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาตีฝ่าประจิม คือหนึ่งในกลศึกสามก๊ก ต้องเตรียมการและบุกโจมตีในจุดที่ศัตรูต่างคาดไม่ถึง เพื่อเป็การป้องกันไม่ให้ศัตรูตั้งรับได้ทัน โดยหลอกล่อศัตรูให้เกิดการหลงทิศในการบุกโจมตีและนำกำลังทหารไปเฝ้าระวังผิดตำแหน่ง ทำให้เกิดการหละหลวมต่อกำลังทหารและเปิดโอกาสให้สามารถเอาชนะได้โดยง่าย
[3] กลยุทธ์ลอบตีเฉินฉาง คือหนึ่งในกลศึกสามก๊ก ใช้โอกาสที่ฝ่ายศัตรูตัดสินใจที่จะรักษาพื้นที่เขตแดนของตนไว้ และแสร้งทำเป็นำกำลังทหารบุกเข้าโจมตีทางด้านหน้า แต่ลอบนำกำลังทหารบุกเข้าโจมตีในพื้นที่เขตแดนที่ฝ่ายศัตรูไม่ทันคาดคิดและสนใจวางแนวกำลังป้องกัน
[4] ปืนใหญ่ คือ รถที่ใช้ขว้างหิน
[5] หนานหม่านจือ หรือ 南蛮子 หมายถึง คำเรียกดูถูกดูแคลนชนเผ่าบางกลุ่ม หรือชาวจีนตอนใต้ในสมัยก่อน
[6] เปิ่นกง หรือ 本宫 หมายถึง ‘ข้า’ หรือคำเรียกแทนตัวเองของคนที่มีตำแหน่งสูง ส่วนใหญ่ผู้ที่ใช้คำนี้ได้แก่ ฮองเฮา นางสนมในวัง องค์รัชทายาท และผู้ที่เป็เ้าของอารามที่อยู่ ณ ขณะนั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้