“หลินอวี่ ข้าเห็นเ้าเป็พี่ชายของข้า ทำไม? ทำไมเ้าจึงไร้ความปรานีเช่นนี้! ยมโลกคืนชีพ ยาพิษร้ายที่รุนแรง ข้าฉินอวี่ ไม่มีวันยอม!” ฉินอวี่ส่งเสียงะโขึ้นไปบนฟ้า ใบหน้าของเขาแข็งทื่อพร้อมกระอักเืสีดำสนิทออกมาในทันที จากนั้นร่างกายของเขาก็ถอยหลังออกไปอย่างช้าๆ
ฉินอวี่รู้สึกเพียงผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาราอันกว้างใหญ่กำลังพลิกกลับด้าน เปลือกตาของเขาหนักอึ้งจนค่อยๆ ปิดลง ราวกับดวงดาวที่กว้างใหญ่นั้นได้ดับแสงลงเช่นกัน
“พี่ พี่เป็อะไรไป? พี่ชาย ท่านอย่าทำให้เสี่ยเอ๋อใแบบนี้สิ พี่ชาย... ขอร้องล่ะ อย่าทิ้งเสี่ยเอ๋อไปเลยนะ... เสี่ยเอ๋อกลัว...”
ฉินอวี่ที่กำลังสับสนได้ยินเสียงร้องไห้ที่ดูวิตกกังวลดังเข้ามา
...
“เสี่ยเอ๋อ ไม่ต้องกลัวนะ มีพี่อยู่ตรงนี้!”
ฉินอวี่ลุกขึ้นนั่ง พร้อมพูดขึ้นเบาๆ แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้เขาต้องตกตะลึง ที่นี่เป็ห้องซึ่งตกแต่งแบบโบราณ มีกลิ่นหอมของไม้จันทน์ส่งกลิ่นจางๆ อยู่ข้างกาย แสงแดดส่องลอดเข้ามาตามช่องลวดลายแกะสลักบนหน้าต่าง ใต้หน้าต่างมีโต๊ะและเก้าอี้ที่แกะสลักจากไม้จันทน์ชุดหนึ่งจัดวางไว้ เมื่อมองผ่านแสงแดดจึงเห็นเศษฝุ่นที่อยู่บนพื้นผิวได้อย่างเลือนราง และมีเสียงพูดคุยดังมาจากภายนอก
ที่นี่ที่ไหนกัน?
ฉินอวี่เริ่มประหลาดใจ
จากนั้น ความทรงจำที่ผุดขึ้นในสมองก็ทำให้ฉินอวี่รู้สึกวิงเวียน
เขตแดนฟ้าชิงเหลียน แคว้นอู่ ตระกูลฉิน บุตรชายคนที่สามของผู้นำตระกูลฉิน ฉินอวี่ อายุสิบห้าปี มีคุณสมบัติระดับทั่วไป...
“ข้ากำลังฝันอยู่หรือ? หากนี่เป็ความฝัน ทำไมจึงดูเหมือนจริงเช่นนี้ล่ะ?” สีหน้าของฉินอวี่เริ่มไม่แน่ใจ เขามองไปรอบๆ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง และตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงสนทนาที่ดังมาจากภายนอก
“เฮ้อ คุณชายสามน่าสงสารจริงๆ แม้จะเป็คุณชายตระกูลฉิน แต่ทำไมจึงได้แตกต่างกันเช่นนี้ คุณชายสองชอบรังแกคุณชายสาม คราวนี้เขาถึงกับบังคับให้คุณชายสามคุกเข่า และยังทุบตีคุณชายสามจนหมดสติ เสี่ยวเถา เ้าว่าควรบอกเื่นี้กับคุณหนูสี่หรือไม่?”
“อย่าบอกเลยจะดีกว่า ข้าได้ยินมาว่า อีกไม่นานจะมีการชุมนุมใหญ่ของแคว้นอู่ ผู้ที่เป็ลูกหลานแคว้นอู่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมได้ เมื่อถึงตอนนั้น จะมียอดฝีมือของสำนักเซียนมาคอยสังเกตการณ์ล่วงหน้า เพื่อคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าฝึกฝนในสำนักเซียน คุณหนูสี่มีความสามารถไม่ธรรมดา หากสามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ ก็อาจจะได้เข้าสู่สำนักเซียน ดังนั้น ใน่เวลาสำคัญเช่นนี้ อย่าได้รบกวนคุณหนูสี่จะดีกว่า รอดูสักสองสามวันค่อยว่ากันอีกครั้งเถอะ”
“เสี่ยวเถา ข้าว่าถ้าคุณชายสามเหมือนกับคุณชายใหญ่ได้ก็ดีสินะ ได้ยินมาว่าตอนนี้คุณชายใหญ่ได้เป็แม่ทัพแล้วด้วย อนาคตรุ่งโรจน์สดใส มีโอกาสประสบความสำเร็จได้เป็ใหญ่เป็โต แต่คุณชายสามนี่สิ มีคุณสมบัติธรรมดา...”
“เฮ้อ คุณชายใหญ่กับคุณชายรองเป็ลูกที่เกิดจากนายหญิง ได้ยินมาว่าคุณชายสามกับคุณชายสี่เกิดจากนางทาสคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็บุตรชายของนายท่าน แต่สถานะย่อมต่างกันมากแน่นอน... อุ๊ย เสี่ยวฮวาคารวะนายท่าน!”
ขณะที่ฉินอวี่กำลังประหลาดใจ ประตูห้องก็ถูกผลักออกอย่างกะทันหัน เงาร่างอันสูงใหญ่และแข็งแกร่งร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงประตู ฉินอวี่หันหน้ากลับไปมอง เป็เพราะแสงแดดที่เจิดจ้าสะท้อนเข้ามาจนแสบตา จึงมองเห็นหน้าตาของบุคคลที่เข้ามาได้ไม่ชัดนัก
เขามีความสูงเจ็ดฉื่อ สวมชุดคลุมสีคราม มีรูปร่างแข็งแรง กำยำล่ำสัน ดวงตาดูกล้าหาญ คล้ายเอาแต่ใจ แต่กลับแผ่พลังของความองอาจออกมา ราวกับแม่ทัพผู้ทรงอำนาจคนหนึ่ง และมีพลังความกดดันที่แข็งแกร่งบางอย่างได้แพร่กระจายจากร่างกายของเขา ห่อหุ้มรอบร่างของฉินอวี่ ฉินอวี่หรี่ตาลง และพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ขั้นยุทธ์์ แต่มีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้ เ้านี่เยี่ยมไปเลยนะ! เรียกเสี่ยเอ๋อมานี่เดี๋ยวนี้!”
ความคิดของฉินอวี่ในตอนนี้สับสนเป็อย่างมาก เขาไม่แน่ใจว่ามันคือความฝันหรืออะไรกันแน่ แต่ในฐานะที่เป็ผู้ดูแลหอตำราซึ่งเยาว์วัยที่สุดนับั้แ่มีการก่อตั้งสำนักเทียนฉีมา เขาจึงมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนมาก แม้จะถูกพิษยมโลกคืนชีพ หรือแม้แต่ผู้แข็งแกร่งในขั้นทลายวิถีก็ยังไม่กล้าเสียมารยาทกับเขาเช่นนี้ นับประสาอะไรกับแค่คนขั้นยุทธ์์? ถ้าไม่ใช่เพราะคิดว่าเสี่ยเอ๋อล้อเล่นกับตนเองอยู่ ฉินอวี่คงส่งเสียงะโไล่ออกไปเสียให้พ้นแล้ว
ในแดนเซียนอู่ อาณาเขตการฝึกฝนถูกแบ่งออกเป็เจ็ดระดับขั้น ได้แก่ ขั้นยุทธ์เก้าระดับ ขั้นปราณเสถียร ขั้นเทียนชุ่ยสามชั้น ขั้นกุมารทิพย์ ขั้นเทพ์ ขั้นกายจุติ และขั้นทลายวิถี
ลองนึกดูสิ? เมื่อมีคนระดับขั้นยุทธ์์คนหนึ่งมากดดันฉินอวี่เช่นนี้ จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?
เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาที่กระซิบกันอยู่หน้าห้องเมื่อครู่นี้ ได้มองลอดช่องประตูไปยังฉินอวี่ที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง พวกนางต่างต้องตกตะลึง นี่มัน... เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายสาม?
“แค่ระดับขั้นยุทธ์์อย่างนั้นหรือ? เยี่ยม นับั้แ่วันนี้ไป หากไม่สามารถเข้าสู่ขั้นยุทธ์ได้ ชั่วชีวิตนี้อย่าคิดจะได้ออกจากจวนตระกูลฉิน!” ชายที่น่าเกรงขามซึ่งยืนอยู่หน้าประตูส่งเสียงะโขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม และหันกลับไปอย่างขุ่นเคือง
ฉินอวี่ขมวดคิ้วแน่น จ้องไปยังแผ่นหลังของชายผู้นั้นที่ค่อยๆ ห่างออกไป จากนั้นก็มองไปยังหญิงสาวสองคนที่มีสีหน้ามึนงง และเริ่มขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิม
“นี่ไม่ใช่ความฝันหรือ? ถ้าไม่ใช่ความฝัน ข้าก็น่าจะตายไปแล้วสิ?” ฉินอวี่เริ่มสงสัยขึ้นในใจ เมื่อเขามองเห็นมืออันขาวผ่องทั้งสองข้าง ร่างกายก็สั่นเทา และถลึงตากลมโตด้วยความใ
นี่มัน...
นี่ไม่ใช่ความฝันจริงหรือ? ข้ายังไม่ตาย? ความทรงจำมากมายที่ผุดขึ้นมานั่นคือเื่จริง?
ข้ากลับมาเกิดใหม่หรือ?
จะเป็ไปได้อย่างไร? แม้ว่าข้าจะเป็ผู้ดูแลหอตำราแห่งสำนักเทียนฉี แต่ก็เกิดมาพร้อมกับเส้นลมปราณพิการ ไม่อาจจะฝึกฝนวรยุทธ์ได้ จึงเป็เพียงปุถุชนคนหนึ่ง แล้วปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งจะกลับมาเกิดใหม่ได้อย่างไร?
ฉินอวี่ลุกขึ้นนั่งทันที และมองไปยังหญิงสาวสองคนนั้น ก่อนถามขึ้นเบาๆ “ที่นี่ที่ไหน?”
“คุณ... คุณชายสาม ที่นี่คือตระกูลฉิน นี่... นี่เป็ห้องของท่าน” หญิงสาวที่ชื่อเสี่ยวเถาหน้าถอดสี มองไปยังฉินอวี่ด้วยความกลัวและตอบกลับอย่างสั่นเทา
“ตระกูลฉินหรือ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ข้าเกิดใหม่แล้วจริงหรือ?” ฉินอวี่มีเพียงความรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ก่อนจะพูดจาตะคอกออกไป “ข้ากำลังถามเ้าว่าที่นี่คือที่ใดของแดนเซียนอู่?”
“เซียน... เซียนอู่หรือ? เอ่อ... ที่นี่คือแคว้นอู่” หญิงสาวอีกคนที่ชื่อเสี่ยวฮวารีบพูดขึ้นด้วยความใ
ฉินอวี่ลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะถามขึ้นเบาๆ “ตระกูลฉินมีหอตำราหรือไม่? พาข้าไปเดี๋ยวนี้!”
“มี... มีเ้าค่ะ...” เสี่ยวเถาพูดอย่างตะกุกตะกัก ใบหน้าอันงดงามของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางแทบจะวิ่งหนีไปอย่างไม่หันกลับมา คุณชายสามในวันนี้แปลกไปอย่างสิ้นเชิง และช่างดูน่ากลัวมากจริงๆ
“พาข้าไปเดี๋ยวนี้!” ฉินอวี่พูดอย่างเคร่งขรึม
ครึ่งชั่วยามต่อมา!
เสี่ยวเถาแอบมองฉินอวี่ที่กำลังสนใจอยู่กับตำรา สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของนางแปรเปลี่ยนไปเป็ความสงสารอย่างช้าๆ
แย่แล้ว คุณชายสามคงจะเสียสติไปแล้ว นี่คือการอ่านหนังสือหรือ? นี่มันเป็แค่การพลิกหนังสือชัดๆ
เสี่ยวเถายังไม่รู้ นางยังไม่รู้ว่าฉินอวี่ในตอนนี้ไม่ใช่ฉินอวี่คนเดิม ฉินอวี่ในตอนนี้คือผู้ดูแลหอตำราซึ่งเยาว์วัยที่สุดแห่งสำนักเทียนฉี
หากมองดูชีวิตที่ผ่านมาของฉินอวี่ มันช่างน่าทึ่งและน่าเสียดายเหลือเกิน แม้แต่ปรมาจารย์สำนักเทียนฉีผู้เป็อันดับหนึ่งแห่งแดนเซียนอู่ ก็ยังต้องรู้สึกเสียดายไปกับเขา
เขาอ่านออกเขียนได้ั้แ่อายุหนึ่งขวบ ท่องจำตำราหลายร้อยเล่มได้ั้แ่สามขวบ แตกฉานตำรากว่าหมื่นเล่มตอนอายุห้าขวบ เมื่ออายุแปดขวบมันสมองของเขาก็เต็มไปด้วยความรอบรู้ด้านการเมือง อายุสิบสี่ปีได้ขึ้นเป็หัวหน้าจัดการหอตำรา อายุสิบห้าปีก็เรียนรู้วิชาลับจำนวนมากได้ด้วยตนเอง กระทั่งอายุสิบหกปีจึงกลายเป็ผู้ดูแลหอตำราซึ่งเยาว์วัยที่สุดของสำนักเทียนฉี ได้รับแต่งตั้งเป็ ซิงเฉินจื่อ
คนที่มีสติปัญญาดีเลิศจนน่าทึ่งเช่นนี้ แม้ว่าจะมีคุณสมบัติระดับทั่วไป แต่ก็มีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด แต่ด้วยชะตาฟ้าลิขิต ฉินอวี่ผู้มีสติปัญญาอันน่าทึ่งกลับเกิดมาพร้อมกับเส้นลมปราณพิการ แม้แต่ปรมาจารย์สำนักเทียนฉียังต้องแปลกใจกับเส้นลมปราณพิการนี้ และไม่อาจฟื้นฟูเส้นลมปราณนี้ได้
ฉินอวี่ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับตำรา มิได้ล่วงรู้ความคิดของเสี่ยวเถาเลยแม้แต่น้อย เขาพลิกอ่านตำราทุกเล่มด้วยความเร็วอย่างยิ่ง ในฐานะที่เป็ผู้ดูแลหอตำราแห่งสำนักเทียนฉี แม้ว่าเขาจะมีเส้นลมปราณพิการแต่กำเนิด แต่สติปัญญาและพร์ของเขากลับน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก เขามีความจำเป็เลิศ กวาดสายตามองครั้งเดียวก็จดจำได้กว่าร้อยบรรทัด
หอตำราชั้นที่หนึ่ง ใช้เวลาไปเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
หอตำราชั้นที่สอง ใช้เวลาไปทั้งหมดไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ไปถึงชั้นที่สามของหอตำรา ฉินอวี่ถือตำราโบราณที่เย็บด้วยหนังสัตว์เล่มหนึ่งเอาไว้ และออกแรงจับตำราหนังสัตว์นั้นไว้แน่น จนเส้นเอ็นที่แขนปูดโปนขึ้นมาทันที ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง รูม่านตาหดเล็กลง จ้องเขม็งไปยังข้อความที่อยู่บนตำราโบราณ
“ยุคไท่กู่ตอนปลาย จอมอสูรหลินอวี่ได้ถือกำเนิดขึ้น พลังอสูรเทวะไม่มีผู้ใดหยุดยั้งได้ กวาดล้างเทียนฉี ทำลายฟ้าดิน เข้าสู่ความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด...”
“เสี่ยตี้ ใช้พลังเวทระดับสูงสุดรวบรวมแดนเซียนอู่ที่แตกสลาย สร้างป้ายศิลาขนาดใหญ่ไว้ที่สำนักเทียนฉี สลักเป็ผืนดวงดาราอันกว้างใหญ่ เผยแพร่วิชาแห่งนิรันดร สถาปนาสำนักโบราณซิงเฉิน เมื่อถึง่เวลานี้ แดนเซียนอู่จึงเปลี่ยนชื่อเป็แดนซิงเฉิน!”
“จอมอสูรหลินอวี่! กวาดล้างเทียนฉี! หลินอวี่! ทำไม!” ฉินอวี่ส่งเสียงคำรามอย่างเบาๆ และฉีกตำราหนังสัตว์อย่างโกรธเกรี้ยว