บทที่ 64 ภรรยาตัวน้อยอาลัยอาวรณ์
ขั้นตอนการหย่าร้างเสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็ว ส่วนเื่ลูกนั้นทางบ้านตระกูลจ้าวไม่ได้เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว ทำให้ลู่ซือหยวนมั่นใจยิ่งขึ้นว่าการตัดสินใจหย่าของเธอเป็การเลือกที่ถูกต้อง
ต่อมาลู่จิ่งซานก็นำสำเนาทะเบียนบ้านของตนเองไปดำเนินการย้ายทะเบียนบ้าน
สถานะและทะเบียนบ้านของลู่จิ่งซานไม่ได้อยู่ที่บ้านตระกูลลู่อยู่แล้ว แน่นอนว่าถึงแม้เขาและสวี่จือจือจะไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่ทะเบียนบ้านของสวี่จือจือก็ได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านตระกูลลู่ั้แ่ในวันที่พวกเขาจัดพิธีแต่งงานกันแล้ว
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็จัดการให้สวี่จือจือเป็เ้าบ้าน แล้วจึงย้ายทะเบียนบ้านของแม่ลูกลู่ซือหยวน และลู่ซืออวี่เข้ามา
แต่ในตอนที่กำลังย้ายเข้า สวี่จือจือก็พูดขึ้นว่า “เปลี่ยนชื่อเจาตี้สักหน่อยดีไหม”
เจาตี้ เจาตี้ ฟังดูแล้วไม่สบายใจเลย
“ถูกต้องๆๆ” ลู่ซือหยวนรีบกล่าว “ฉันก็ไม่ชอบชื่อนี้เหมือนกัน จือจือ เธอตั้งชื่อให้ยัยหนูหน่อยเถอะ”
“ฉันเหรอคะ?” สวี่จือจือประหลาดใจเล็กน้อย
ลู่ซือหยวนพยักหน้า
“งั้นชื่อว่าลู่เจินเจินก็แล้วกัน” สวี่จือจือคิดแล้วก็พูด “เด็กน้อยที่ล้ำค่าของบ้านเรา”
ถึงแม้จะเป็ลูกที่เก็บมาเลี้ยงก็เป็สิ่งล้ำค่า!
“ชื่อนี้ดี” ลู่ซือหยวนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “งั้นก็ชื่อลู่เจินเจินนี่แหละ”
เมื่อได้รับสำเนาทะเบียนบ้าน ลู่ซือหยวนก็ยกมือขึ้นปิดปาก มองตราประทับสีแดงสดที่เขียนว่า ‘ย้ายเข้า’ และชื่อลู่เจินเจิน แล้วก็ร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ
ในเวลานี้ ในที่สุดเธอก็สามารถเชิดหน้าชูตาได้เสียที
“จือจือ เธอวางใจได้เลยนะ” เธอได้สติกลับมาแล้วหันไปพูดกับสวี่จือจือ “ฉันทำงานได้ หาเงินค่าแรงได้ ต่อไปก็จะไม่มีวันเป็ภาระให้พวกเธอสองคนอย่างแน่นอน”
“พี่คะ พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ?” สวี่จือจือยิ้มแล้วกล่าว “ต่อไปพวกเราก็เป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว คนในครอบครัวเดียวกันไม่ควรพูดจาเหมือนคนนอกครอบครัวแบบนี้”
“ดี ดี” ลู่ซือหยวนพยักหน้าด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบใจนะจือจือ จิ่งซานได้ภรรยาที่ดีจริงๆ”
มุมปากของลู่จิ่งซานยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเหลือบมองสวี่จือจือ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ
เพื่อเป็การฉลองการเกิดใหม่ของลู่ซือหยวน สวี่จือจือเสนอให้เฉือนเนื้อมาทำอาหารอร่อยๆ ฉลองกันในตอนเย็น แต่ในเวลานี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว เนื้อคงหาซื้อยากแล้ว ตอนที่พวกเขาไปถึง คนขายเนื้อในประชาคมกำลังไล่แมลงวันอย่างเซ็งๆ
เนื้อก็เหลือไม่มากจริงๆ
กำลังคิดว่าจะไปเสียเที่ยวหรือเปล่าก็เห็นคนคนหนึ่งวิ่งมาอย่างรีบร้อน ในอ้อมแขนมีถังไม้ สวี่จือจือก็เห็นปลาหลายตัวอยู่ในถังไม้นั้นในทันที
ปลาตัวใหญ่มาก
เธอมองลู่จิ่งซาน แววตาของเขาก็บอกว่าเข้าใจความหมายของเธอแล้ว เขาเดินเข้าไปพูดคุยกับคนคนนั้น พอเขากลับมาก็ถือปลามาสองตัวแล้ว ไม่เพียงแค่นั้นเห็นคนคนนั้นพูดอะไรบางอย่างกับลู่จิ่งซาน เหลือบมองสวี่จือจืออีกที แล้ววิ่งไปข้างหลังอย่างรีบร้อน
พอออกมาอีกครั้ง ในมือก็ถือหมูสามชั้นมาด้วย
สวี่จือจือดีใจแทบแย่
ระหว่างทางกลับบ้าน สวี่จือจือถามลู่จิ่งซาน “เมื่อกี้คุณคุยอะไรกับช่างคนนั้นเหรอ? ทำไมฉันเห็นเขาเหลือบมองฉันด้วย”
“แค่ถามเขาว่ายังมีเนื้อเหลืออยู่ไหม” ลู่จิ่งซานตอบ
สวี่จือจือมองเขา
คนคนนี้โกหกเธออย่างเห็นได้ชัด แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มที่อบอุ่น “ตอนเย็นฉันจะทำปลาผัดเปรี้ยวหวานตัวหนึ่ง ปลาต้มตัวหนึ่ง ส่วนเนื้อก็เอามาตุ๋นกินให้หมดเลย”
เสียงของเธอที่กำลังจัดเตรียมอาหารเย็น ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่น มีบางสิ่งกำลังไหลเวียนอยู่
แน่นอนว่าเขาจะไม่บอกเธอว่า เขาบอกกับช่างว่าเขากำลังจะจากที่นี่ไป ภรรยาตัวน้อยไม่อยากจากเขาไปไหน เลยอยากทำอาหารให้เขากินเป็การเลี้ยงส่ง
ช่างคนนั้นก็เป็ทหารผ่านศึกที่กลับมาเช่นกัน มองปราดเดียวก็รู้ถึงมาดของลู่จิ่งซานแล้ว เชื่อคำพูดของเขาอย่างสนิทใจ ในทันทีก็เอาเนื้อหมูสามชั้นอย่างดีที่เก็บไว้ให้หัวหน้าออกมาให้
ภรรยาของลู่จิ่งซานทำอาหารเลี้ยงส่งให้ หัวหน้ารู้ก็คงไม่ว่าอะไรเขาหรอก
วันนี้จ้าวลี่เจวียนใจกว้างมาก เอาขวดน้ำมันออกมาให้ “ใช้ตามสบาย อยากจะทอดหรือจะทำอะไรก็ตามใจ”
เธอไม่เสียดาย เดิมทีอยากจะฆ่าไก่ตัวผู้ที่ขัน แต่ถูกลู่ซือหยวนห้ามเอาไว้
ไก่ตัวผู้ตัวนี้ เก็บไว้ฆ่าตอนตรุษจีนดีกว่า คืนนี้อาหารเยอะมากแล้ว
“ดีค่ะ” สวี่จือจือยิ้ม “ขอบคุณป้าสะใภ้ใหญ่ค่ะ”
บ้านรองของตระกูลลู่ ตอนที่ลู่หวยเหรินออกไปก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ส่วนเหอเสวี่ยฉินนอนพักอยู่ในห้องสักครู่ แต่ก็ยังห่วงลูกชายที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลประจำอำเภอ เก็บเสื้อผ้าสองสามชุดแล้วกลับไปยังอำเภอ
ตอนเย็นสวี่จือจือทำหมูน้ำแดง ปลาต้มและปลาผัดเปรี้ยวหวาน ผักบุ้งผัดกระเทียม ถั่วแขกผัดแห้ง และมันฝรั่งผัดเปรี้ยวหวาน
บนโต๊ะอาหาร ลู่เจินเจินถามลู่ซือหยวนอย่างระมัดระวัง “แม่คะ หนูขึ้นมากินข้าวบนโต๊ะได้จริงๆ เหรอคะ?”
คำพูดเดียวทำเอาลู่ซือหยวนน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง
ั้แ่รับเจินเจินมาเลี้ยงจนกินข้าวเองได้แล้ว คนในบ้านตระกูลจ้าวก็ไม่ให้ลูกกินข้าวบนโต๊ะ เพื่อลูก เธอเลยไม่ได้ขึ้นมากินข้าวบนโต๊ะด้วยเลย ทุกครั้งที่กินข้าวเธอก็จะพาลูกไปนั่งกินข้าวสองสามคำตรงหน้าเตา นับรวมๆ แล้วนี่เป็ครั้งแรกที่เจินเจินได้กินข้าวบนโต๊ะอาหาร
คนในบ้านตระกูลลู่ก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อย
“พวกคนใจร้ายพวกนี้” จ้าวลี่เจวียนดึงเด็กน้อยเข้ามากอด “เด็กดี ต่อไปพวกเราจะนั่งกินข้าวบนโต๊ะด้วยกัน อยากกินอะไรบอกย่า เดี๋ยวย่าซื้อให้”
“ขอบคุณย่าค่ะ” เจินเจินยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเขินอาย
ตอนก้มหน้ากินข้าวก็ไม่กล้าคีบกับข้าว กินแต่ในชามของตัวเอง
“เด็กดี กินเยอะๆ นะ” สวี่จือจือคีบหมูน้ำแดงให้อีกฝ่าย “ลองชิมดู อร่อยไหม?”
“นี่คือเนื้อเหรอคะ?” เจินเจินลองชิมคำหนึ่ง “อร่อยจังเลย หนูไม่เคยกินเนื้อที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”
ตอนตรุษจีนบ้านตระกูลจ้าวก็จะมีการต้มเนื้ออะไรพวกนั้นบ้าง แต่ทุกครั้งเธอจะแทะแต่กระดูกที่ถูกเลาะเนื้อออกจนหมดแล้ว คุณนายจ้าวบอกว่านี่คือเนื้อที่ดีที่สุด
ก็เป็เนื้อที่ดีที่สุดจริงๆ นั่นแหละ แต่ประเด็นคือมันต้องมีเนื้อติดอยู่ด้วยสิ
หนูน้อยแทะแล้วแทะอีก แม้จะไม่มีเนื้อติดอยู่เลยสักนิด เธอก็ยังรู้สึกว่ามันเป็สิ่งที่อร่อยที่สุด ไม่นึกเลยว่าจะมีสิ่งที่อร่อยกว่านี้อีก
“กินปลาเยอะๆ นะ” ดวงตาของสวี่จือจือแดงก่ำ “เด็กๆ กินปลาเยอะๆ จะดีต่อร่างกาย แต่ต้องเม้มปาก ระวังก้างปลาด้วย” เธอพูด
ทันใดนั้นเอง ในชามก็มีปลาเพิ่มขึ้นมา “คุณก็กินเยอะๆ เหมือนกัน”
ปรากฏว่าเป็ลู่จิ่งซานที่คีบให้เธอ
ใบหน้าของสวี่จือจือก็แดงก่ำขึ้นมาในทันที ผู้ชายคนนี้ จู่ๆ มาแสดงความหวานแบบนี้ก็ทำเอาเธอแทบรับไม่ไหว ต่อหน้าคนเยอะแยะขนาดนี้ด้วย
การกระทำของเขาสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน แต่คนที่ยินดีที่สุดก็คือคุณนายลู่
์ ต้นไม้เหล็กในที่สุดก็กำลังจะเบ่งบานแล้ว!
หญิงชราตื่นเต้นจนแทบจะร้องไห้ออกมา ใครจะรู้ว่าเธอเป็ห่วงสะใภ้คนนี้บินหนีไปมากแค่ไหน!
แต่ยังไม่ทันได้ดีใจนานก็ได้ยินลู่จิ่งซานพูดขึ้นว่า
“พรุ่งนี้ผมจะกลับกองทัพแล้ว”
อารมณ์ของหญิงชราก็เหมือนรถไฟเหาะ ตื่นเต้นดีใจเมื่อวินาทีก่อน วินาทีต่อมาก็ถูกหลานชายสาดน้ำเย็นใส่
จะไปเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?!
“ไม่ได้บอกว่าจะอยู่ต่อสักพักเหรอ?”
น่าจะใช้โอกาส่นี้บ่มเพาะความรู้สึกกันสักหน่อย!
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้