หนานกงเยวี่ยจูงเหนียนอีหลานเข้ามาในห้อง นางดีใจเหลือเกินที่เหนียนอีหลานได้กลับมาจวนของนางแล้ว ทว่านางกลับมิได้สังเกตเห็นเลยว่า ยามที่นางเอ่ยคำว่า ‘ท่านยาย’ สองคำนี้ออกมา ดวงตาของเหนียนอีหลานกลับฉายแววหวาดกลัวและเ็า
ครั้นนึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน และในยามนี้เหนียนอีหลานได้มาอยู่ตรงหน้าหนานกงเยวี่ย จิตใจของนางพลันเปราะบางขึ้นทันใด เหนียนอีหลานชำเลืองสายตามองไปทางประตู เมื่อมั่นใจแล้วว่าจ้าวอิ้งเสวี่ยและสาวใช้ไม่อยู่ตรงนั้น อารมณ์ที่อัดอั้นฝืนทนเมื่อครู่นี้ในที่สุดมิอาจทนไหว พังทลายลงมาโดยสิ้นเชิง
“ฮึก...” เหนียนอีหลานกัดริมฝีปากตนเองและสะอื้นไห้อย่างหดหู่
สถานการณ์กะทันหันเช่นนี้ ทำให้หนานกงเยวี่ยตื่นใ "อีหลาน เ้าเป็อะไร? บอกแม่มา เกิดเื่อันใดขึ้นกับเ้า?"
“ท่านแม่...” เหนียนอีหลานมองสตรีตรงหน้า ความห่วงใยในแววตาคู่นั้น มีต่อนางหรือ?
"ท่านแม่ ท่านไม่มีทางที่จะไม่เป็ห่วงข้าใช่หรือไม่?" เหนียนอีหลานพูดขึ้นทันทีตามจิตใต้สำนึก นางกุมมือหนานกงเยวี่ย แววตาร้อนรนปนตื่นตระหนก
แน่นอนว่า หนานกงเยวี่ยไม่รู้เื่ที่ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงทำกับเหนียนอีหลาน นางรู้เพียงแค่ครั้งนี้ เหนียนอีหลานเข้าไปรับโทษในวังหลวง ครั้นนางเห็นท่าทีในยามนี้ของบุตรสาวตน ในใจนางรู้สึกไม่สบายใจอย่างถึงที่สุด นางลูบแก้มและเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเหนียนอีหลาน พลางเอ่ยออกมาอย่างเ็ปว่า “เด็กโง่ของแม่ ลูกกับเฉิงเอ๋อร์คือดวงใจและเืเนื้อของแม่ เป็ดั่งชีวิตของแม่ แม่จะไม่เป็ห่วงเ้าได้อย่างไร? เ้าอย่ากลัวไปเลย แม่รู้ว่าเ้าต้องลำบากเพียงใดยามที่อยู่ในวัง ทว่ายามนี้เ้าได้กลับมาแล้วมิใช่หรือ? เ้าวางใจเถิด จากนี้ไปแม่จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายเ้าอีก”
“ถ้า...ถ้าระหว่างลูกกับท่านพี่ แม่ต้องละทิ้งใครสักคน ท่านแม่จะทิ้งอีหลานหรือไม่เ้าคะ?” เหนียนอีหลานมองหนานกงเยวี่ยอย่างไม่ละสายตา มิรู้เพราะเหตุใดในใจนางถึงได้รู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกอยากฟังคำตอบจากปากมารดาของตนอย่างเร่งด่วน
ดูเหมือนว่าหนานกงเยวี่ยจะคาดไม่ถึงกับคำถามเช่นนี้ นางอึ้งงันไปเล็กน้อย เหนียนอีหลานกับเฉิงเอ๋อร์...
"เหตุใดลูกถึงถามเช่นนั้น เหนียนอีหลาน ลูกกับเฉิงเอ๋อร์ แม่ไม่มีทางทิ้งใครคนใดอย่างแน่นอน" หนานกงเยวี่ยตบมือของเหนียนอีหลานเบาๆ และเอ่ยปลอบประโลมนางอย่างผ่อนคลาย
“จริงหรือ? ไม่มีทางทิ้งใครคนใดแน่นอน...” เหนียนอีหลานพึมพำ มารดาให้คำตอบกับนางแล้ว ทว่า ท่าทีที่นางอึ้งไปเล็กน้อย นางรู้ดีว่าถ้าวันหนึ่งถึงยามที่ต้องเลือกระหว่างตนกับเหนียนเฉิง อย่างไรเสียนางคงเป็คนที่ถูกทอดทิ้ง
เหนียนเฉิง...เป็ดั่งชีวิตจิตใจของท่านแม่ ส่วนนาง...
เหนียนอีหลานสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นางหยุดร้องไห้ ดวงตาแฝงประกายเย็นเยียบ
สำหรับตระกูลหนานกง นางเป็เพียงเบี้ยหมากตัวหนึ่ง สำหรับมารดา นางเป็เพียงบุตรสาวที่มารดารักเพียงครึ่งเดียว สำหรับตัวนาง นางคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับตัวนางเอง
ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป เหนียนอีหลาน แม้เป็เพียงตัวหมาก ทว่านางจะเป็หมากที่มีประโยชน์มากที่สุด และในวันหนึ่ง นางจะต้องกลายเป็คนที่ได้ควบคุมหมาก!
หนานกงเยวี่ยจ้องมองเหนียนอีหลาน มิรู้เพราะเหตุใด นางถึงรู้สึกว่าอีหลานตรงหน้านางดูจะแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
หนานกงเยวี่ยนึกคิดอะไรบางอย่าง ดูเหมือนเื่นี้จะทำให้เหนียนอีหลานดีใจขึ้นมาบ้าง นางจึงเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “อีหลาน ลูกรู้หรือไม่? เหนียนยวี่ นางผู้หญิงชั้นต่ำนั่นตายแล้ว หึ ์เข้าข้างเราแล้ว เหนียนยวี่มิใช่ว่านางกำลังคิดปีนป่ายอยู่หรอกหรือ? ทว่าไหนเลยจะรู้ว่า นางจะไร้วาสนาจะได้มีความสุข ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ คาดไม่ถึงเลยว่านางจะตายในกองเพลิงที่ค่ายเสินเช่อ ช่างดีเหลือเกิน ไม่มีตัวอุปสรรคอย่างนางแล้ว หลังจากรอให้เ้าร่างกายดีขึ้นแล้ว มาวางแผนในอนาคตกันเถิด ลูกสาวของข้าถูกลิขิตให้เป็สตรีเหนือผู้ใด"
"เหนียนยวี่...ยังไม่ตาย"
หลังจากรอให้หนานกงเยวี่ยกล่าวจบ เหนียนอีหลานจึงค่อยเอ่ยออกมาอย่างสุขุม
“เหนียนยวี่ นางผู้หญิงชั้นต่ำนั่นตายไปแล้ว...” ครั้นหนานกงเยวี่ยเอ่ยถึงตรงนี้ นางพลันตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง หนานกงเยวี่ยจ้องเหนียนอีหลานอย่างไม่ละสายตา “เ้าพูดอะไร?”
"เหนียนยวี่ยังไม่ตาย" ไม่ใช่แค่นางยังไม่ตาย ทว่าท่านอ๋องมู่ยังคงคิดถึงแต่นางเพียงคนเดียว
ยังไม่ตายหรือ?
ดวงตาของหนานกงเยวี่ยวาววับ มุมปากกระตุก สีหน้าดูไม่เป็ธรรมชาติ นางหัวเราะพลางเอ่ยพูด “จะเป็ได้อย่างไร? ด้านนอกเล่าลือไปทั่วว่า เหนียนยวี่ตายไปในกองเพลิงแล้ว หึ นางเป็แค่สตรี ถึงมิรู้ว่าเข้าไปอยู่ในค่ายเสินเช่อได้อย่างไร ค่ายเสินเช่อเป็สถานที่ที่ไม่ให้สตรีเข้าไป ทว่าถึงจะเข้าไปก็ไม่เป็ไร เพราะ์รับนางเข้าไปด้วยพอดี”
ในจิตใต้สำนึกของหนานกงเยวี่ย นางไม่เชื่อว่าเหนียนยวี่ยังไม่ตาย
เหนียนอีหลานเหลือบมองหนานกงเยวี่ย ความเกลียดชังคละเคล้าไปกับความไม่พอใจถ่ายทอดออกมาจากดวงตานาง แม้แต่น้ำเสียงยังแหลมสูงขึ้นทันใด “ลูกเองก็ปรารถนาให้นางตายไปเสีย ทว่าในกองเพลิงวันนั้นมิใช่ดังที่ทุกคนเห็น ท่านแม่ทัพกองทหารฉู่ชิงยังไม่ตาย ทหารหลายพันคนในค่ายเสินเช่อเองยังไม่ตายเช่นกันและเหนียนยวี่ นางหญิงชั้นต่ำนั่น...ก็ยังมีชีวิตอยู่!”
คำว่า ‘เหนียนยวี่’ สองคำนี้ นางแทบจะเค้นเสียงลอดไรฟัน นางยกมือกวาดถ้วยชาทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะหล่นแตกเป็เสี่ยงๆ
เสียงแตกกระจายดังสนั่นไปทั่วห้อง
หนานกงเยวี่ยมองดูปฏิกิริยาของเหนียนอีหลาน นางรู้สึกเชื่อขึ้นมาเล็กน้อย เหนียนยวี่...ยังไม่ตายจริงหรือ?
ชีวิตของสตรีต่ำต้อยเช่นนั้น เหตุใดถึงได้โชคดีเยี่ยงนั้น!
ภาพเงาร่างของคนผู้นั้นผุดขึ้นในหัวของหนานกงเยวี่ย ความไม่พอใจผาดผุดขึ้นในใจนาง
“ยังไม่ตายหรือ?” ความตื่นเต้นของหนานกงเยวี่ยเมื่อครู่นี้เลือนหายไปทันที สีหน้านางพลันฉายแววบูดเบี้ยวไม่น่ามอง ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ยังไม่ตายแล้วอย่างไร? อีหลาน อย่างไรเสียเหนียนยวี่เป็แค่บุตรีอนุ ชีวิตของสตรีชั้นต่ำ นางไม่มีวันเทียบเคียงลูกได้ หนทางยังอีกยาวไกลนัก!”
“ใช่ ยังอีกยาวไกล” เหนียนอีหลานสูดหายใจลึก เหนียนยวี่...
นางเกลียดเหนียนยวี่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทว่าในเมื่อนางยังมีชีวิต เช่นนั้นนางไม่มีวันยอมปล่อยให้เหนียนยวี่มีชีวิตดียิ่งกว่าความตายแน่!
สีหน้าของสองแม่ลูกในห้องต่างฉายแววดุร้าย ความเกลียดชังไม่พอใจในใจของพวกนาง ผ่านไปยาวนานก็ไม่จางหาย...
วันนี้สำหรับผู้คนมากมายในเมืองชุ่นเทียนถูกกำหนดไม่ให้สงบสุข
ณ ห้องทรงพระอักษรในวังหลวง หลังจากฉู่ชิงกลับออกไป ฮ่องเต้หยวนเต๋อยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะทรงอักษร ม้วนสาส์นกราบทูลตรงหน้า ยังคงอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ชิงหร่านที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ด้านข้าง เดิมทีนางเป็สตรีที่มีความคิดละเอียดอ่อน หลายวันมานี้การคอยปรนนิบัติรับใช้ข้างกายฮ่องเต้ ทำให้นางยิ่งเข้าใจนิสัยของพระองค์ยิ่งกว่าเดิม เมื่อครู่นี้ฮ่องเต้และท่านแม่ทัพกองทหารฉู่ชิงพูดคุยกันเื่พิษกู่ในห้องทรงพระอักษร ยามนี้ในพระเศียรของฝ่าาคงยังคิดแต่เื่นี้เป็แน่
“ฝ่าาเพคะ พระองค์ทรงคิดจะจัดการกับคนของแคว้นหนานเยวี่ยอย่างไรหรือเพคะ?” ชิงหร่านค่อยๆ เดินเข้าไปยืนด้านหลังของฮ่องเต้หยวนเต๋อ นางยกมือขึ้นใช้นิ้วมือนวดขมับของเขาอย่างเบามือ ด้วยการลงแรงอย่างพอดีนั้น ฮ่องเต้หยวนเต๋อปิดเปลือกพระเนตรลงอย่างเป็ปกติวิสัย ทว่าครั้นนางเอ่ยคำพูดนั้นออกมา ฮ่องเต้หยวนเต๋อพลันเปิดเปลือกพระเนตรขึ้นทันที วรกายแข็งทื่อไปเล็กน้อย
ครั้นชิงหร่านตระหนักได้ นางรีบหยุดมืออย่างรวดเร็ว ก้าวถอยไปหนึ่งก้าวและคุกเข่าลงกับพื้นทันที จากนั้นเอ่ยออกมาอย่างกริ่งเกรงทันใด "ชิงหร่านสมควรตายเพคะ ชิงหร่านมิควรเอ่ยถามเช่นนี้ ชิงหร่านเพียงรู้สึกเสียใจที่ฝ่าาทรงเหนื่อยกับเื่บ้านเมือง...”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อฟังออกว่านางกำลังตื่นตระหนก ชิงหร่านผู้นี้ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายตนมานาน แต่ไหนแต่ไรมานางทำตัวสงบเสงี่ยมมาเสมอ ทว่าเมื่อครู่นี้...
"ช่างเถิด เ้าลุกขึ้น ทว่าหลังจากนี้เ้าจงจำไว้ว่ามิควรถามอีก อย่าถามอะไรอีก" ฮ่องเต้หยวนเต๋อตรัสอย่างเ็า "เจิ้นไม่ชอบสตรีพูดมาก"
“เพคะ ชิงหร่านจะจำไว้ ชิงหร่านมิกล้า” ชิงหร่านตอบกลับอย่างเร่งรีบ นางรู้สึกโล่งใจอย่างมาก นางนึกกลัวความบุ่มบ่ามของตนเองเมื่อครู่นี้ ทว่ามือของบุรุษผู้นั้นกลับยื่นมากอบกุมมือนาง
ชิงหร่านชะงักไปเล็กน้อย ยังมิทันได้สติ เสียงของบุรุษผู้นั้นกลับดังขึ้นมาเสียก่อน...