สร้างสถิติใหม่จริงด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานถูกกักตัวไว้ทำข้อสอบวิชาต่างๆ ในห้องพักอาจารย์ โจทย์ของแบบทดสอบชุดนี้ค่อนข้างยาก แต่เนื่องจากวิชาสายวิทย์ของเธอมีพื้นฐานแน่น จึงสอบได้ไปถึง 531 คะแนน
เมื่อเทียบกับ 514 คะแนนของการสอบปลายภาค คะแนนรวมของเซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่มขึ้น 17 คะแนน โจทย์ที่นักเรียนคนอื่นล้วนคิดว่ายาก เซี่ยเสี่ยวหลานดันได้คะแนนเพิ่ม ไม่แปลกใจที่เหล่าวังบ่นนักเรียนคนอื่น แต่แววตาที่มองเซี่ยเสี่ยวหลานกลับเหมือนคุณปู่ผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตา
เหล่านักเรียนน้อยความสามารถตกตะลึงเสียจนพูดไม่ออก ส่วนที่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้คะแนนคือวิชาท่องจำแน่นอน
“อาจารย์ฉีคลุ้มคลั่งอยู่ในห้องพักครูแล้ว”
สิ่งที่เหล่าวังบอกทำให้ลำคอของเซี่ยเสี่ยวหลานเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
“ถ้าอย่างนั้น ครูวังคะ หนูว่าเวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว หนูกลับไปก่อนนะคะ! ครูช่วยบอกอาจารย์ฉีว่าอย่าโกรธเลย ตอนเกาเข่าหนูจะไม่ยอมให้คะแนนภาษาจีนเป็ตัวถ่วงแน่นอน หนูมีแผนการทบทวนของตัวเองเหมือนกันค่ะ!”
เหล่าวังเองก็ไม่ได้จู้จี้
ระหว่างนักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างด้านสติปัญญา เหล่าวังมีประสบการณ์สอนมาหลายปี แม้ผู้เป็อาจารย์จะไม่สามารถกล่าวเช่นนี้ได้ แต่เขาเข้าใจจุดนี้ดี เรียนหนังสือเหมือนๆ กัน นักเรียนบางคนจดจ่อสมาธิได้ อีกทั้งมีความความสามารถในการเข้าใจสูงมาก ระหว่างคนที่อาจารย์อธิบายรอบเดียวก็เข้าใจกับคนที่อธิบายหลายรอบก็ยังไม่เข้าใจ ถ้ารายหลังรู้จักทุ่มเทเวลาชดเชยเองยังถือว่าดี มิเช่นนั้นการเกิดช่องว่างกับนักเรียนที่ความเข้าใจแข็งแรงย่อมเป็เื่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เซี่ยเสี่ยวหลานจัดอยู่ในประเภทความสามารถด้านการเรียนแข็งแกร่งอย่างไร้ข้อกังขา
ตอนเธอเรียนมัธยมต้นอาจไม่ได้โดดเด่น ดังนั้นพอจบการศึกษาจึงไม่ศึกษาต่อ แต่ระหว่างหลายปีที่หยุดเรียนไป ความสามารถด้านการเรียนของเซี่ยเสี่ยวหลานถูกปรับปรุงใหม่อย่างเห็นได้ชัด พัฒนาการของเธอที่สำแดงั้แ่เข้าโรงเรียนมา เหล่าวังยืนยันในจุดนี้ได้
กลองดังไม่ต้องตีแรง คะแนนสอบของเซี่ยเสี่ยวหลานก้าวหน้าจนเป็ที่รู้โดยทั่วกัน เธอย่อมมีแผนการทบทวนบทเรียนของตัวเองอยู่แล้ว
“วันที่ 9 เดือนพฤษภาคมเป็วันสอบนะ วันที่ 7 เธอก็มารับบัตรเข้าสอบที่โรงเรียนได้เลย”
“ครูวัง หนูจำไว้แล้ว ครูวางใจได้ค่ะ!”
เซี่ยเสี่ยวหลานเข็นจักรยานกลับไป น้าหวงเฝ้าชะเง้อคอยหา จะปล่อยเธอจากไปง่ายดายได้ที่ไหน
“เด็กดี เธอต้องชี้แนะแนวทางให้น้าหน่อยนะ!”
จางจี้ค้าขายไม่ดี น้าหวงยินดี หากจางจี้เปิดร้านไม่ได้อีกต่อไป ทว่ามีคนอื่นที่ไม่วุ่นวายมาเปิดร้านแทน น้าหวงก็กังวลว่าธุรกิจของตนเองจะโดนชิงลูกค้า
เซี่ยเสี่ยวหลานหัวเราะร่วน “น้า นี่น้ากำลังจำกัดตัวเองไว้ จางจี้ปิดร้านพักกิจการก็พอดีไม่ใช่หรือ น้ายึดร้านของจางจี้มาเสียเลยสิ เปลี่ยนชื่อแล้วเปิดร้านใหม่ เมื่อก่อนจางจี้ขายอะไร น้าตัดลดเลือกชนิดที่ตัวเองสามารถขายได้ คนที่ไม่ชอบกินข้าวราด ก็ไปกินหูล่าทังหรือบะหมี่เนื้อแพะฝั่งตรงข้าม ก่อนหน้านี้เวลาคนไปกินข้าวฝั่งตรงข้ามจะเป็จางจี้ที่ได้กำไร ตอนนี้ไม่ว่าลูกค้ากินร้านไหน น้าจะได้กำไรคนเดียวทั้งหมดอย่างไรล่ะ”
คนปกติที่ไหนจะเปิดร้านสองแห่งต่างกัน?
ต่อให้จะขยับขยายกิจการ ก็เป็เพียงการขยายหน้าร้านของตน หรือไม่ก็ไปเปิดสาขายังสถานที่อื่นเท่านั้น
แต่การเปิดร้านสองแห่งตรงข้ามกันสำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นถือว่าพบได้บ่อยเหลือเกิน ของที่ค้าขายไม่เหมือนกัน แทนที่มัวกังวลว่าจะมีคู่แข่งใหม่ สู้ผูกขาดธุรกิจเองเสียดีกว่า
นี่คือการทำธุรกิจอย่างถูกกฎหมาย ให้ลูกค้าได้เลือกรสชาติมากขึ้น
ยังมีสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่ เปิดร้านสองแห่ง สินค้าเดียวกันจำหน่ายในร้านหนึ่งราคา 10 หยวน อีกร้านหนึ่งขาย 8 หยวน ลูกค้านย่อมจับจ่ายในร้านราคา 8 หยวนนั่นทันที... เหอๆ ความจริงแล้วที่อื่นขายแค่ 6 หยวน ลูกค้าคิดว่าตนเองได้เปรียบ ทั้งที่จริงโดนผู้ค้าเ้าเล่ห์ลวงเข้าแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คิดที่จะเรียนรู้วิธีของพวกผู้ค้าเ้าเล่ห์ คนประกอบธุรกิจอิสระในตอนนี้ยังซื่อสัตย์อยู่มากทีเดียว จะให้น้าหวงผูกขาดธุรกิจถนนสายนี้ก็ไม่เสียหาย อย่างน้อยพอคนตระกูลเซี่ยเลิกทะเลาะตบตีกัน ตอนสติคืนมาและอยากเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ก็สูญเสียอาณาเขตธุรกิจหน้าประตูเซี่ยนอีจงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
ยึดร้านค้าของจางจี้ฝั่งตรงข้ามมา?
น้าหวงคิดไม่ถึงเลยสักนิดเดียว!
แต่ไหนแต่ไรมามีแค่ขยายร้านด้านข้างซ้ายขวา มีเถ้าแก่คนเดิมคนไหนที่จะเปิดร้านสองแห่งตรงข้ามกันเพื่อ ‘แย่งลูกค้า’ ใช่ นี่ไม่ใช่การแย่งลูกค้าด้วยซ้ำ เซี่ยเสี่ยวหลานพูดถูก ไม่ว่าร้านใดได้กำไรไป สุดท้ายเงินก็ตกลงในกระเป๋าของเธอทั้งหมดอยู่ดี
น้าหวงค่อยๆ คิดตามจนเข้าใจแจ่มแจ้ง เซี่ยเสี่ยวหลานกลับขี่จักรยานจากไปอย่างรวดเร็วไม่เห็นแม้แต่เงา
“เด็กคนนี้นี่ กินข้าวสักมื้อในร้านยังไม่ยอม”
น้าหวงยังอยากชวนเซี่ยเสี่ยวหลานรับประทานอาหารเย็น แต่เซี่ยเสี่ยวหลานรีบกลับซางตู จะยอมอยู่นานได้อย่างไร
ใบหน้าอิดโรยของเฉินชิ่งในวันนี้ได้เตือนใจเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วว่าการทดสอบของโรงเรียนไม่สามารถเป็ตัวแทนเกาเข่าได้ และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสอบคัดเลือกรอบแรกโดยไม่ต้องมีคำอธิบาย หากคนอื่นไม่้าให้เธอสอบติดมหาวิทยาลัย อันที่จริงไม่จำเป็ต้องลงมือตอนเกาเข่า เพราะหากลงมือตอนสอบคัดเลือกก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน
ไม่มีคะแนนสอบคัดเลือกรอบแรก เธอก็ไม่สามารถเข้าร่วมการสอบเกาเข่าได้
ระวังตัวไว้สักหน่อยย่อมไม่เพลี่ยงพล้ำ
การสอบคัดเลือกรอบแรกคือการสอบพร้อมกันทั่วมณฑล สอบทั้งหมดสองวัน
การสอบเสร็จสิ้นในวันที่ 10 เดือนพฤษภาคม ถึงเวลาที่ร้านจะจำหน่ายเครื่องแต่งกายฤดูร้อนพอดี เซี่ยเสี่ยวหลานจึงส่งโทรเลขไปยังหยางเฉิงเสียเลย เตรียมพร้อมไว้ไม่เสียหาย เธอไม่จำเป็ต้องไปสนใจแผนร้ายอุบายลวงอะไรทั้งสิ้น เพราะแผนร้ายอุบายลวงส่วนมากบนโลกนี้ล้วนใช้กำปั้นมาจัดการได้ ขอเพียงกำปั้นหนักพอ แผนการร้ายกระจอกงอกง่อยก็ไม่ถือว่าน่าหวาดกลัวนัก
เซี่ยเสี่ยวหลานสั่งสินค้าหนึ่งล็อต จากนั้นทำการแกะพัสดุเสื้อผ้า เธอเห็นนาฬิกาข้อมือที่ถูกห่อเป็ชั้นๆ
นาฬิกาข้อมือที่ไป๋เจินจูช่วยซื้อ จ่ายไป 1200 หยวน ต่อให้หลิวเฟินรู้เข้าแล้วไม่บ่นแต่ก็ยังแอบเสียดายเงินอยู่ดี
ก่อนหน้านี้เงินเก็บส่วนใหญ่ของครอบครัวได้มอบให้หลิวเฟินเป็ผู้ดูแล ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานใช้เงินอิสระมากเช่นกัน เพราะเธอค้นพบโอกาสทางธุรกิจใหม่ได้ทุกเวลา ยกตัวอย่างคราวก่อนที่ไปเผิงเฉิง ถ้าไม่ได้นำเงินทั้งหมดติดตัวไปด้วย แม้จะพบ ‘วิทยุ’ พวกนั้นเธอก็ไม่มีเงินมาซื้อสินค้า การให้หลิวเฟินดูแลสมุดบัญชีเงินฝาก ย่อมทำให้หลิวเฟินมีความรู้สึกปลอดภัยแน่นอน แต่กระนั้นหากพิจารณาจากมุมมองการบริหารเงินก็ไม่คุ้มค่านัก
ต่อมาหลิวเฟินบอกเองว่าไม่ดูแลแล้ว คืนเงินให้เซี่ยเสี่ยวหลานทั้งหมด
เธอคิดว่าตนเองมีเงิน 200 หยวนที่ร้านเสื้อผ้าจ่ายทุกเดือนก็ใช้ไม่หมดแล้วด้วยซ้ำ หลิวเฟินเองไม่มีอะไรให้ใช้เงินด้วย ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันล้วนไม่ต้องให้เธอรับผิดชอบทั้งสิ้น ด้านเครื่องแต่งกายก็มีเซี่ยเสี่ยวหลานจัดแจงเกือบครบถ้วน หลิวเฟินแค่ซื้ออาหารเล็กๆ น้อยๆ และของใช้ในบ้านเป็ครั้งคราว หนึ่งเดือนใช้จ่ายเงินสูงสุดไม่กี่สิบหยวน
ให้เธอดูแลเงินนั้นมันกดดันมากเหลือเกิน เธอบอกอยู่หลายหนว่าให้เซี่ยเสี่ยวหลานดูแล เซี่ยเสี่ยวหลานถึงยอมรับสมุดบัญชีธนาคารของครอบครัวกลับมา
นอกจากเงินเดือนของร้านเสื้อผ้า เซี่ยเสี่ยวหลานยังมอบเงินค่าใช้จ่าย 200 หยวนเพิ่มให้เธออีกด้วย หลิวเฟินผู้มีรายได้ต่อเดือน 400 หยวนคือกลุ่มคนรายได้สูงในปี 84 อย่างแท้จริง เงินอยู่ในมือเซี่ยเสี่ยวหลาน แม้ไม่ต้องแจกแจงค่าใช้จ่ายทุกก้อนแก่หลิวเฟิน แต่การเคารพซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกในครอบครัวคือสิ่งที่จำเป็ หลิวเฟินรู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเตรียมนำเงิน 2 หมื่นไปปลูกบ้านในชนบท และสอบเกาเข่าเสร็จสิ้นก็จะร่วมหุ้นทำธุรกิจใหม่กับคนอื่น
หลิวเฟินที่มีทัศนคติเปิดกว้างมากขึ้นเช่นนี้ ทำให้การใช้จ่ายเงินทองของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีข้อจำกัดอะไร
การทำเช่นนี้ทำให้ระหว่างแม่ลูกอยู่ด้วยกันได้อย่างสบายใจกว่า เซี่ยเสี่ยวหลานบริหารเงินหลายปีด้วยตนเอง การหาเงินได้แล้วมอบให้มารดาดูแลจึงไม่คุ้นชินจริงๆ หลิวเฟินเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เงินทั้งหมดหามาโดยลูกสาว เสี่ยวหลานรักจะใช้อย่างไรก็ใช้อย่างนั้น คนเป็แม่จะทะเลาะกับลูกสาวไปทำไม ตอนแรกเซี่ยเสี่ยวหลานให้หลิวเฟินดูแลเงินเพื่อทำให้เธอมีความรู้สึกปลอดภัย ทว่าสำหรับหลิวเฟิน ความรู้สึกปลอดภัยมิใช่การถือสมุดบัญชีครอบครัวไว้ แต่เป็การที่เซี่ยเสี่ยวหลานกตัญญูและพากเพียร
ทำธุรกิจอาจขาดทุน ทว่าคะแนนสอบนั้นปลอมแปลงไม่ได้
ปีนี้เซี่ยเสี่ยวหลานต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ หลิวเฟินถึงจะเลิกพะวงใจและหายห่วง รัฐจะปล่อยให้เหล่านักศึกษาหิวโหยตายได้หรือ? กินข้าวหลวง ได้รับจัดสรรงาน เมื่อสอบติดมหาวิทยาลัยก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว
เนื่องจากไม่จำเป็ต้องรายงานใครเื่การใช้เงิน เซี่ยเสี่ยวหลานถึงซื้อเนื้อแพะตามใจชอบได้ตอนอยู่ปักกิ่ง
นาฬิกาข้อมือเรือนละ 1200 หยวน ในเมื่อเธอซื้อไหว ก็ซื้อโดยไม่ลังเลเถอะ
เงินทองถูกใช้ไปแล้วย่อมหาใหม่อีกครั้งได้ โจวเฉิงอุตส่าห์คบหาดูใจกับเธอ วัยเยาว์ของชายหนุ่มล้ำค่าไม่แพ้กัน—เพียงแต่เธอควรส่งนาฬิกาไปปักกิ่งอย่างไรดี? พัสดุไปรษณีย์นั้นเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า เซี่ยเสี่ยวหลานเกรงว่าจะไม่ทันวันเกิดของโจวเฉิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้