“ท่านอ๋องอวี้ ข้าเพียงแต่มาเตือนพี่ชายของข้าก็เท่านั้นว่าอย่าไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่งด้วย”
หูลู่หนานกลับคำในบัดดล น้ำเสียงที่ตอบกลับอ่อนโยนอ่อนหวาน
ทว่าหลงเทียนอวี้ไม่หลงกลง่ายๆทว่าทำเพียงส่งสายตาเป็เชิงเตือนเท่านั้น
หูลู่หนานรู้สึกหมดอารมณ์ ส่งเสียงหัวเราะแห้งๆก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินกลับไปยืนข้างกายฮ่องเต้ิ
“น้องชายของท่านคนนั้นหาใช่คนดีอย่างที่แสดงออกไม่”
หลงเทียนอวี้มองตามแผ่นหลังของหูลู่หนาน กดเสียงให้เบาลงขณะพูด
หูเทียนเป่ยกลับไม่รู้สึกใส่ใจกับการที่น้องชายถูกมองเช่นนี้ราวกับว่าเขาเคยชินเสียแล้ว
“ลู่หนานมักเป็เช่นนี้เสมอ ข้าหวังว่าพวกท่านจะไม่ถือสา”
พี่น้องคู่นี้ช่างน่าประหลาดนัก หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลงแต่ไม่พูดอะไร
“เมิ้งหยา ท่านนี้คือองค์ชายรัชทายาทของฮ่องเต้ิอีกทั้งยังเป็เพื่อนกับชิงหาน”
หลงเทียนอวี้ส่งเสียงอธิบายเบาๆ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเคยได้ยินพระสนมเต๋อเฟยพูดว่าหลงชิงหานมักจะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนใหญ่คนโตคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีความสัมพันธ์อันดีกับองค์ชายต่างเมือง
“วันนั้นข้าไร้มารยาทเกินไป หวังว่าพระชายาอวี้จะให้อภัย”
หลินเมิ้งหยาเล่าเื่ที่วัดว่านฝอให้กับหลงเทียนอวี้ฟังหมดแล้ว
แม้ตอนนี้จะมั่นใจแล้วว่าคนที่ลักพาตัวนางไปคือองค์ชายรองของฮ่องเต้ิแต่หลินเมิ้งหยายังไม่รู้ว่าเบื้องลึกเื้ัยังมีผู้บงการอื่นใดอีกหรือไม่
“ไม่เป็ไรเพคะ องค์ชายอย่าได้ใส่ใจไปเลย”
นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้หลินเมิ้งหยามองออกว่าองค์ชายผู้นี้หาใช่คนคิดเล็กคิดน้อยอีกทั้งยังเป็คนรักอิสระและความรื่นรมย์ เพราะเหตุนี้จึงเข้ากันได้ดีกับหลงชิงหานสินะ
“เชิญองค์ชายไปประทับยังที่นั่งเถิดอีกเดี๋ยวไท่จื่อและฮองเฮาก็จะเสด็จมาถึงแล้ว”
หูเทียนเป่ยพยักหน้าลง ก่อนจะกลับไปหาฮ่องเต้ิ
หลงเทียนอวี้คลายมือออกจากบ่าของหลินเมิ้งหยาเมื่อครู่พวกเขาถูกสายตาผู้อื่นจับจ้องมากเกินไป
งานเลี้ยงดำเนินการตามปกติเหล่าขุนนางและฮูหยินทั้งหลายล้วนนั่งลงบนที่นั่งของตนเองพลางส่งเสียงกระซิบกระซาบ
“นั่นชายาอวี้อย่างนั้นหรือ?”
“มีดีอะไรกัน ที่ได้แต่งงานก็เพราะอาศัยบารมีของเจิ้นหนานโหวมิใช่หรือ?”
“โหยว พอได้ฟังจากน้ำเสียงหึงหวงของเ้าแล้วหรือว่าเ้ายังคงหลงรักท่านอ๋องอวี้อย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยาได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของผู้คนโดยรอบ
นางหยิบถ้วยที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะอาหาร จิบเล็กน้อยตอนแรกนางมิอยากทำตัวเป็จุดสนใจ แต่น่าเสียดายที่นางโดดเด่นมากไปหน่อย
“ฮองเฮาเสด็จ...ไท่จื่อเสด็จ...”
เสียงร้องประกาศของขันทีดังขึ้น ครู่ต่อมาเสียงพูดคุยในตำหนักหยวนซานจึงหยุดลง
ทุกคนลุกขึ้น โบกมือไปทางประตู
“ฮองเฮาอายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปีไท่จื่ออายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
หลินเมิ้งหยารวมถึงชายาทุกคน ชายาของเหล่าองค์ชาย หรือแม้กระทั่งฮ่องเต้ิและองค์ชายล้วนถวายโค้งถวายคำนับ
“ได้โปรดลุกขึ้นเถิดวันนี้เป็งานเลี้ยงต้อนรับการมาเยือนของฮ่องเต้ิ จวินเฉินปลื้มปีติยิ่งนักอย่าได้มีพิธีรีตองเลย”
เสียงของไท่จื่อดังขึ้น หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าสายตาไม่ประสงค์ดีนักกำลังจับจ้องมาทางตนเอง
“ขอบพระทัยไท่จื่อ ขอบพระทัยฮองเฮา”
ทุกคนลุกขึ้น หลินเมิ้งหยาเงยหน้า แต่นางกลับเผลอสบตากับไท่จื่อ
ร่องรอยของความตกตะลึงพลันถูกวาดบนั์ตาของไท่จื่อ
วันนี้หลินเมิ้งหยาหาได้แต่งตัวมากมายนักแต่นางกลับโดดเด่นที่สุดกว่าทุกคนในงาน
ความเจิดจ้าของนางเปรียบเสมือนไข่มุกที่ถูกสาดลงบนสายตาของตนเอง
เหตุใดเ้าขยะนั่นจึงได้ผู้หญิงเช่นนี้?
“ไท่จื่อ ท่านนั้นคือชายาอวี้หรือเพคะ?ไม่ทราบว่าพระองค์แนะนำนางให้เฉินเชี่ยรู้จักได้หรือไม่?”
หญิงสาวรูปร่างหน้าตาสวยงามสวมชุดกระโปรงสีม่วงยืนอยู่ข้างกายไท่จื่อพลางแสดงท่าทางน่ารักใสซื่อไร้เดียงสา
หลินเมิ้งหยาลองเดาเกรงว่าน่าจะเป็ชายารองที่ไท่จื่อรักมากที่สุดกระมัง
ไท่จื่อได้อภิเษกสมรสกับชายาเอกตอนอายุได้เพียงสิบสามชันษาทว่าหลังจากนั้นเพียงหนึ่งปีครึ่ง ชายาเอกของพระองค์กลับสิ้นพระชนม์
ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงชายารองที่คอยปรนนิบัติรับใช้ไท่จื่อ
เขาถูกเรียกว่าองค์ชายผู้โดดเดี่ยวจากนั้นได้รับพระราชทานหญิงสาวแห่งซีฟานที่อายุเพียงสิบห้าปีมาเป็ชายารองดังนั้นเขาจึงรักและหวงแหนเป็อย่างมาก
หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเหตุใดหญิงสาวจากซีฟานจึงกลายเป็ของรักของหวงอันดับหนึ่งของไท่จื่อไปได้?
เกรงว่านางเองก็คงจะมิใช่คนธรรมดาเช่นกัน!
“ได้อันที่จริงพวกเ้าควรสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันและกันเอาไว้อยู่แล้วแต่ว่าพวกเราไปถวายคำนับฮ่องเต้ิก่อนเถิด”
เหลือบมองหลินเมิ้งหยา ไท่จื่อพาชายารองของตนเองไปหาฮ่องเต้ิ
แม้เมื่ออยู่ในวังพระสนมเต๋อเฟยจะอยู่ภายใต้การควบคุมของฮองเฮาแต่ถึงกระนั้นพระนางก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเหล่าขุนนางและราชนิกุลไม่น้อย
ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงมิได้รู้สึกเดียวดายมากจนเกินไป
“เ้าเป็น้องสาวของหนานเซิงอย่างนั้นหรือ? สวยจังเลย เพราะเหตุนี้พี่ชายของเ้าจึงมักเอ่ยถึงเ้าไม่ขาดปากซินะ”
หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้านางคือหญิงสาวหน้าตางดงามสวมใส่ชุดหญิงสาวชาววังสีชมพู
แม้หน้าตาจะมิได้โดดเด่นมากมาย ทว่าเมื่อนางยิ้มดวงตาของนางกลับเปล่งประกาย ไม่เหมือนกับหญิงสาวที่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งข้างกายนาง
หญิงสาวที่ใสซื่อและจิตใจโอบอ้อมอารีเช่นนี้หาได้เหมือนนางไม่
“ข้าชื่อหลินเมิ้งหยา เป็น้องสาวของหลินหนานเซิงไม่ทราบว่าท่านพี่คือ...”
“ข้า...ข้าชื่อเยว่ถิง ตอนเด็กพวกเรายังเล่นด้วยกันอยู่เลย”
ใบหน้าเรียวเล็กสีขาวนวลของเยว่ถิงเริ่มแดงระเรื่อเพราะความขวยเขินหลินเมิ้งหยานึกขึ้นมาได้ทันทีว่าหญิงสาวตรงหน้าคือว่าที่ภรรยาในอนาคตของพี่ชายตนเอง
สกุลเยว่เป็ตระกูลที่ค่อนข้างเข้มงวดเยว่ถิงและพี่ชายให้เกียรติซึ่งกันและกันเสมออีกทั้งเยว่ถิงยังรู้อีกว่านางต้องทุกข์ระทมขมขื่นขนาดไหนตอนที่ยังอาศัยอยู่ที่บ้านเก่าดังนั้นจึงพยายามช่วยเหลือนาง
ทว่าหลังจากนางอายุได้ห้าขวบ เยว่ถิงก็ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย
แต่แม้เวลาจะผ่านไปนานถึงสิบปี ทว่านางยังคงดีกับตนเองมิเสื่อมคลายดังนั้นหญิงสาวคนนี้จึงจริงใจกับพี่ชายของตนเองมากเหลือเกิน
“ที่แท้ก็เป็พี่เยว่นี่เอง ท่านดูข้าสิ ใจจืดใจดำอะไรเยี่ยงนี้ก่อนข้าจะแต่งงาน พี่เยว่ยังส่งกำไลหยกหลวนเฟิงให้ข้าอยู่เลยแม้แต่รองเท้าปักของข้าก็เป็ท่านพี่ที่ทำให้ แต่ข้ากลับลืมเลือนท่านพี่ไปเสียได้น่าตีจริงเชียว”
หลินเมิ้งหยาจับมือเยว่ถิงด้วยความสนิทสนมเพื่อให้นางนั่งลง
“ใครบอกว่าเ้าลืมข้ากัน อันที่จริงพวกเราไม่ได้พบกันสิบกว่าปีแล้วทุกครั้งข้ามักได้ข่าวคราวของเ้าผ่านตัวหนังสือของหนานเซิงแต่เพียงเท่านั้น”
เยว่ถิงมองดูหลินเมิ้งหยาด้วยความเอ็นดูนางเคยได้ยินเื่ราวของสกุลหลินมาไม่น้อย
ทว่าหลินเมิ้งหยาในวัยเด็กเป็คนฉลาดเฉลียวเหตุใดจึงกลายเป็คนโง่เขลาไปได้นะ?
แม้แต่หนานเซิงยังถอนหายใจเพราะความเศร้าโศก
สุดท้ายเพื่อรักษาอาการป่วยของหลินเมิ้งหยาดังนั้นฮูหยินหลินจึงขังนางไว้ในจวน ไม่อนุญาตให้เข้าพบ
สุดท้ายนางทำได้เพียงพึ่งพางานฝีมือของตนเองเพื่อส่งของเล็กๆ น้อยๆไปให้นางแต่เพียงเท่านั้น
โชคดีที่นางหมั้นหมายกับหนานเซิงเอาไว้แล้วดังนั้นจึงไม่มีใครว่าเื่ที่พี่สะใภ้เป็ห่วงเป็ใยน้องสะใภ้
“เมื่อก่อนข้าต้องอยู่แต่ในเรือนเพื่อรักษาอาการป่วยดังนั้นจึงมิได้ไปมาหาสู่ท่านพี่ ต่อจากนี้ไปพวกเรามาสนิทกันไว้เถิดจะได้ไม่มีใครพูดว่าข้าใจร้ายใจดำ”
หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้มอ่อนโยนและทำการตัดสินใจด้วยตัวเอง
เยว่ถิงเป็คนละเอียดรอบคอ มีเมตตาโอบอ้อมอารีหาได้มีสตรีนางใดจะเหมาะกับพี่ชายของนางมากไปกว่าหญิงสาวตรงหน้าคนนี้
พี่สะใภ้แสนดีเช่นนี้หาไม่ได้ง่ายๆนางจะคอยปกป้องดูแลแทนพี่ชายของนางเอง
“เ้านี่หนา!” เยว่ถิงเคาะหน้าผากหลินเมิ้งหยา แม้จะเป็เพื่อนกันมาแต่เล็กแต่น้อยทว่าสุดท้ายแล้วหลินเมิ้งหยาก็ยังอายุน้อยกว่านาง
ทั้งสองจึงสนิทกันอย่างรวดเร็ว
“แต่ท่านอ๋องอวี้ผู้นั้นเชิญหมอหลวงท่านใดมากระนั้นหรืออาการป่วยของเ้าหายดีแล้วใช่หรือไม่?”
คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้ถึงอาการสติฟั่นเฟือนของหลินเมิ้งหยา
นอกจากคนที่เคยเห็นกับตาตัวเองเพียงไม่กี่คนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนไม่เคยเห็นหลินเมิ้งหยาตัวจริง
ดังนั้นชายาอวี้ที่ปกติดีอย่างหลินเมิ้งหยาจึงทำให้ผู้คนตกตะลึง
เยว่ถิงมิได้้าสอดเื่ชาวบ้านนางเอ่ยถามเพราะความสงสัยเท่านั้น
“ข้าเหรอ...วันนั้นกระแทกไปมาอยู่ในเกี้ยวอีกทั้งยังสวมใส่ชุดเ้าสาว สมองก็เลยถูกกระตุ้นให้กลับมาเป็ปกติ”
หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วก่อนจะอธิบายเหตุผลอย่างคลุมเครือ
หากนางเอ่ยว่าตนเองนั่งอยู่ในเกี้ยวแต่ยังไม่ตายเพราะถูกหลินเมิ้งหวู่วางยาพิษแล้วละก็เชื่อว่าหากดูจากความสามารถของซ่างกวนฉิงแล้วนางจะต้องเอาผ้าเช็ดหน้ามาอุดปากนางจนตายอย่างแน่นอน
“อ๋อ ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว ตอนแรกข้าก็เป็ห่วงกลัวว่าเ้าจะถูกรังแก”
เยว่ถิงตบมือหลินเมิ้งหยาเบาๆ ใบหน้าเรียวเล็กเผยให้เห็นความกังวล
“จะเป็เช่นนั้นได้อย่างไร? ท่านอ๋องเขา...ดีกับข้ามาก”
แน่นอนว่านอกจากเื่อื่นแล้ว หลงเทียนอวี้ปฏิบัติกับลูกน้องของตนเองเป็อย่างดี
อันที่จริง นอกจากใบหน้าเ็าของเขาแล้วเื่อื่นเขาก็ไม่ได้แย่หรอก!
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว จากสายตาของข้าข้าคิดว่าท่านอ๋องมีใจให้กับเ้าจริงๆ เท่านี้ข้าก็สบายใจแล้ว”
ได้เห็นท่าทางปกป้องหลินเมิ้งหยาของหลงเทียนอวี้ เื่นี้ถือเป็เื่ที่เยว่ถิงคาดไม่ถึง
หลังจากไท่จื่อพบฮ่องเต้ิเสร็จแล้ว งานเลี้ยงจึงเริ่มต้นขึ้น
ฮองเฮางามสง่าเหนือกว่าคนทุกผู้ สนมคนอื่นๆ เปรียบเสมือนดวงดาวที่คอยส่องแสงรอบดวงจันทร์
ไท่จื่อยิ้มแย้มแจ่มใสอีกทั้งยังยกจอกขึ้นชนกับฮ่องเต้ิอยู่บ่อยครั้งท่าทางของเขาเสมือนเ้าผู้ครองประเทศ
นอกจากหลินเมิ้งหยาและเยว่ถิงที่กำลังคุยกันถึงเื่เก่าๆ น้อยนักที่จะได้เห็นเหล่าสนมหรือชายาพูดคุยกับครอบครัวของตนเองส่วนใหญ่เป็การแอบถามสารทุกข์สุกดิบกันเสียมากกว่า
“พี่เยว่ เช่นนั้นข้าขอเข้าพบท่านอาเยว่และท่านน้าเยว่ได้หรือไม่”
ท่านพ่อและพี่ชายไม่อยู่เื่การสร้างความปรองดองจึงตกอยู่ที่หลินเมิ้งหยา
ทว่าสีหน้าของเยว่ถิงกลับเผยให้เห็นถึงความอึดอัด ก่อนจะส่ายหน้า
“ท่านพ่อยังไม่เท่าไร แต่ท่านแม่...เฮ้อ ตอนนี้เ้าเป็พระชายาแล้วอย่าไปเลยจะดีกว่า”
หัวใจกระตุกเล็กน้อยหลินเมิ้งหยามองดูเยว่ถิงที่กำลังก้มหน้าลงเพราะความอึดอัด
จู่ๆ ก็จำขึ้นมาได้ว่าฮูหยินเยว่สนิทกับครอบครัวทางฝั่งของฮองเฮา
ตอนแรกการแต่งงานของทั้งคู่เป็ฮองเฮาที่เสนอขึ้น
แต่ใครจะรู้ว่าเยว่ถิงยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งฉลาดและจิตใจโอบอ้อมอารีดังนั้นนางจึงมีปากมีเสียงกับแม่ของตนเองบ่อยครั้งเพราะหลินหนานเซิง
หากมิใช่เพราะแม่ของเยว่ถิง ตามกฎมณเทียรบาลป่านนี้ทั้งคู่คงได้แต่งงานอยู่กินกันไปแล้ว
“ท่านพี่พูดเช่นนั้นได้อย่างไร? แม้ข้าจะเป็ชายา แต่ข้าก็ควรมีมารยาทมิใช่หรือ?”
เมื่อเห็นสายตามุ่งมั่นของหลินเมิ้ง เยว่ถิงไม่อาจปฏิเสธได้
หลินเมิ้งหยาเป็ถึงชายา ส่วนแม่ของนางเป็เพียงฮูหยินระดับสามเกรงว่านางคงไม่อาจปฏิเสธได้กระมัง?
“ท่านพี่ ท่านแม่สั่งให้กลับไปเดี๋ยวนี้! เหตุใดลูกสาวสกุลเยว่จึงไร้ซึ่งมารยาทเช่นนี้?”
