หลิวเต้าเซียงและเพื่อนพ้องเก็บดอกหยางไหวกันทั้งเช้า ได้ดอกที่ขาวบริสุทธิ์มาเต็มตะกร้า จึงทำให้หัวใจเบิกบาน
“พี่หูจื่อ เ้าไม่้ามันจริงๆ หรือ?” หลิวชิวเซียงกําลังถือตะกร้าดอกหยางไหวและถามหวงเสียวหู่
“นี่ไม่เท่าไรหรอก บ้านเ้าทั้งต้มปลาแล้วยังห่อเกี๊ยว ข้ายังกลัวว่าจะไม่พอกินเสียอีก” หวงเสียวหู่โบกมือปัดแล้วเอ่ยต่อ “จำไว้ว่าเก็บเกี๊ยวดอกหยางไหวไว้ให้ข้าด้วย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ฉีกยิ้มเห็นฟัน ดูจากท่าทางของเขา ท่ามกลางชนบทแบบนี้ ช่างเป็ความสุขที่มิอาจบรรยายได้
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าหวงเสียวหู่คงเบื่อหน่ายกับอาหารรสเค็มของท่านย่าหวง “ท่านพี่ พี่หวงจื่อเห็นว่าการห่อเกี๊ยวลำบาก ถ้าเราห่อเสร็จก็ส่งไปให้ที่บ้านท่านปู่หลี่เจิ้งก็ได้”
“ตกลง ข้าคิดว่าเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับห่อเกี๊ยวแล้วล่ะ” นางหันไปมองดอกหยางไหวที่กองเหลืออยู่บนพื้นจึงเกิดความลังเล ทั้งไม่อยากสิ้นเปลือง แต่ก็ไม่อาจนำกลับบ้านได้ “ตงจื่อ พวกเ้าเองก็เหนื่อยทั้งเช้า ที่เหลือเหล่านี้พวกเ้าแบ่งกันเถิด!”
ตงจื่อยิ้มร่าและตอบ “น้องชิวเซียง ถึงเ้าไม่พูด เราก็จะทำเช่นนี้อยู่แล้ว ดอกหยางไหวเป็ของดี ที่บ้านข้ามีแม่ไก่วางไข่ได้สามฟองพอดี อีกเดี๋ยวข้าจะเอาไปผัดกินกับไข่”
“อืม ข้าจะเอาให้แม่ทำโจ๊ก” ครอบครัวซวนจื่อนั้นยากจนที่สุดในบรรดาเพื่อนพ้อง ต้มโจ๊กดอกหยางไหว ทั้งประหยัดและรสชาติดี
เถี่ยหนิวไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มและเอื้อมมือออกไปหอบกองใหญ่แล้วเดินกลับบ้าน
หลิวชิวเซียงพูดกับหลิวเต้าเซียงว่า “น้องรอง เ้าหิ้วตะกร้าใบเล็ก ข้าจะแบกตะกร้าใบใหญ่แล้วก็ตะกร้าหิ้วอันใหญ่”
“น้องชิวเซียง ให้ข้าเถิด ข้าพลังเยอะ ให้ข้าแบกตะกร้า” หวงเสียวหู่ฝันอยากจะเป็นักสู้ หากไม่มีอะไรทำก็มักจะหาเื่ออกแรงอยู่แล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้น ย่อมกระตือรือร้นที่จะช่วยพวกนางแบกตะกร้า เขาใช้มืออีกข้างช่วยหิ้วแล้วหันไปบอกกับทั้งสอง “ตอนนี้ยังห่างจากเวลาอาหาร หากข้ากลับไปเร็ว ท่านย่าคงบังคับให้ข้าอ่านตำราอีก ข้าแค่เห็นตำราเ่าั้ก็เหมือนกับเห็นตัวหนอนคลานไปมา ไม่นานนักความง่วงก็เริ่มจู่โจม”
คําพูดของเขาทำให้สองพี่น้องหัวเราะเสียงดัง หลิวเต้าเซียงจึงกล่าวอย่างสนุกสนาน “ข้าว่าพี่หูจื่อ ถ้าพี่ไม่ชอบเล่าเรียนจริงๆ ข้าว่า ท่านก็ไปสอบจอหงวนบู๊ดีกว่า ต่อไปไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็แม่ทัพใหญ่ก็ได้”
“ฮี่ๆ น้องเต้าเซียง ความคิดนี้ไม่เลว กลางคืนข้าจะไปคุยกับท่านปู่ อาจารย์บอกแล้วว่ามีจอหงวนในทุกแขนง ข้าก็แค่ไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรียน มิเช่นนั้น พ่อข้าคงไม่ส่งข้ากลับมาที่ชนบท หากข้าเล่าเรียนตำราได้ ช้าเร็วเขาคงตีกรอบให้ข้าหมดแล้ว”
ดวงตาของหวงเสียวหู่เปล่งประกายในขณะนี้ คำพูดของหลิวเต้าเซียงเหมือนเปิดหน้าต่างบานใหม่ให้แก่เขา ที่สำคัญคือเขามีเหตุผลที่จะไปโน้มน้าวท่านปู่แล้ว
“อย่างไรก็ตาม พี่หูจื่อ ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่า แม่ทัพเ่าั้มีมากมายที่ถูกเรียกขานว่านักรบผู้สง่างาม ข้ายังเคยถามท่านพ่อ เขาบอกข้ากับน้องว่า นั่นเป็เพราะคนที่เป็แม่ทัพต่างได้เล่าเรียนมาไม่น้อย เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับจอหงวนด้านบุ๋นแล้ว พวกเขาจะปกป้องอาณาจักรได้ดีกว่า”
เสียงพูดที่นุ่มนวลของหลิวชิวเซียงดังขึ้นด้านข้าง เสียงนั้นราวกับสายลมอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้คนฟังแล้วเสนาะหู
หวงเสียวหู่หันกลับมาฉีกยิ้มให้ “พ่อเ้าบอกเช่นนั้นจริงหรือ?”
“พี่หูจื่อ ข้าเคยโกหกพี่หรือ หากพี่ไม่เชื่อ รอกลางคืนพ่อข้ากลับมาพี่ก็ไปถามเขาได้” หลิวชิวเซียงทำท่าทีเหมือนหวงเสียวหู่ไม่คิดจะไขว่คว้า คนชนบทจะมีสักกี่คนที่มีปัญญาเล่าเรียนได้ นางกับน้องสาวยังเป็คนที่หวงแหนโอกาสในตอนนี้มาก จึงทนมองหวงเสียวหู่ที่เป็คนฉลาด แต่กลับไม่นำความฉลาดมาใช้กับเื่เรียน
หลิวเต้าเซียงหัวเราะ คิดไม่ถึงว่าหวงเสียวหู่จะคิดเป็จริงเป็จัง ทั้งยังเกิดความคิดอยากเป็แม่ทัพ นี่ปะไร หลี่เจิ้งนั้นหวงแหนหลานชายคนโตของเขาที่สุด “ใช่แล้ว พี่หูจื่อ พี่คิดดูสิ ต่อไปหากจะเป็แม่ทัพ เช่นนั้นก็ต้องวางกลยุทธ์การรบ แล้วก็ ได้ยินว่าพวกหมานนั้นเ้าเล่ห์นัก หากสองฝั่งสู้รบกัน ก็ต้องชี้วัดกันว่าทหารฝั่งไหนเล่าเรียนมากกว่า ใครมีไหวพริบมากกว่า”
หวงเสียวหู่เพียงแค่ยิ้ม จากนั้นก็สาวเท้าเดินไปทางบ้านของหลิวเต้าเซียง
เขารู้สึกว่าน้องเต้าเซียงมีฝีปากที่คมคาย พูดเสียจนตนเองหมดคำโต้เถียง!
หวงเสียวหู่ช่วยทั้งสองส่งของถึงที่บ้าน แล้วฆ่าเวลาอยู่ที่นั่นสักพัก เมื่อได้ยินท่านย่าหวงะโจากตรงข้ามแม่น้ำ จึงเดินเอื้อยอ้ายกลับไป
จางกุ้ยฮัวรู้สึกว่าการแสดงออกของเด็กคนนี้น่าตลกและพูดว่า “หูจื่อไม่ชอบเล่าเรียน แต่พ่อของเขาเป็ผู้มากการศึกษา ข้าได้ยินท่านย่าหวงบอกว่า ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าพ่อเขาจะเข้าสอบ หากว่าสอบผ่านก็จะมีโอกาสเข้าเมืองหลวงด้วย!”
พ่อของหวงเสียวหู่ชื่อว่า หวงต้าเม่า เป็จวี่เหรินคนแรกของหมู่บ้านสามสิบลี้ ทำงานรับตำแหน่งในบ้านคนใหญ่คนโตที่ตัวเขต ปีหนึ่งได้เงินราวหลายสิบตำลึง ในหมู่บ้านสามสิบลี้ก็มีที่นาหลักร้อยไร่เป็ของตระกูลหวง
“ท่านแม่ พี่หูจื่อไม่ชอบเล่าเรียน ก่อนหน้านี้เขายังฝันอยากเป็จอมยุทธ์ ตอนนี้เปลี่ยนใจอีกแล้ว เขาอยากเป็แม่ทัพ” หลิวเต้าเซียงรู้สึกขำขัน ความฝันของเด็กน้อยก็มักจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ใครจะรู้ว่าอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้หวงเสียวหู่จะอยากทำอะไรอีก!
หลิวชิวเซียงเทดอกหยางไหวลงในกะละมังขนาดใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านแม่ วันนี้เราจะยังห่อเกี๊ยวหรือไม่? เกรงว่าคงไม่ทัน ตอนบ่ายข้ากับน้องรองเด็ดดอกออกมาก็คงใช้เวลาพอประมาณ”
จางกุ้ยฮัวมีหลายสิ่งที่ต้องทำใน่บ่าย ทั้งชงชา ล้างถ้วย แล้วก็เก็บกวาดแปลงผัก รอเมื่อถึงตอนค่ำที่ป้าหลี่มาที่บ้าน ทั้งสองยังต้องช่วยกันทำอาหารให้เหล่าเพื่อนบ้าน
“คงยุ่งเล็กน้อย หรือไม่ เราเด็ดดอกแล้วลวกไว้ก่อน จากนั้นแช่ไว้ในบ่อน้ำ วันรุ่งขึ้นค่อยไปซื้อเนื้อมาทำเกี๊ยวดอกหยางไหวกัน”
นางยิ้มอย่างมีความสุข หลิวเต้าเซียงเงยหน้าขึ้นมอง รู้สึกว่าแม่ผู้แสนดีดูเหมือนจะสาวขึ้น
คนเราเมื่อมีความสุขก็จะทำให้มีพลังชีวิตที่แจ่มใส
ั้แ่จางกุ้ยฮัวได้ออกจากบ้านเดิม เมื่อไม่มีแม่สามีใจร้ายมากดขี่ นางจึงผ่อนคลายลงไปมาก เื่ในบ้านก็มีตนเองเป็ที่ตั้ง ยิ่งทำให้เวลาจัดการเื่ราวอะไรก็มีความยืดหยุ่นและใจกว้างขึ้นมา
“ท่านแม่ ท่านพูดจนข้าหิวไปหมดแล้ว” หลิวเต้าเซียงชูดอกหยางไหวขึ้นมาหนึ่งช่อ ดมกลิ่นหอมสดชื่นแล้วยิ้ม
“วันรุ่งขึ้นแม่จะทำให้พวกเ้ากินอย่างอิ่มหนำสักมื้อ เพียงแต่คนที่มาช่วยบ้านเรามีมากเกินไป ไม่รู้ว่าจะมีเหลือหรือไม่ แต่หากเ้าคิดว่าอร่อยก็อาศัย่ที่ดอกไหวยังไม่บานรีบไปเก็บมาเพิ่มอีก แม่จะห่อตอนหลางคืนแล้วต้มให้พวกเ้ากิน”
จางกุ้ยฮัวคิดว่าในแปลงผักไม่มีผักกุยช่าย นางต้องไปสอบถามจากเพื่อนบ้านว่าบ้านไหนมีบ้าง ถึงตอนนั้นก็ผสมผักกุยช่ายกับเนื้อหมู น่าจะพอแบ่งดอกหยางไหวมาส่วนหนึ่งแล้วทำเกี๊ยวหมูดอกหยางไหวแยกออกมาต่างหากให้บุตรสาวได้
“ท่านแม่ พรุ่งนี้เราจะกินเกี๊ยวเป็มื้อเที่ยงหรือ? ข้ายังเรียกพี่หูจื่อมากินด้วยกันตอนค่ำด้วย!” หลิวเต้าเซียงกะพริบตาปริบๆ มองมารดาด้วยสายตาไร้เดียงสา
จางกุ้ยฮัวทั้งอยากหัวเราะและร้องไห้ จึงยื่นมือไปดีดหน้าผากของนาง ส่งยิ้มแล้วดุ “เ้าแมวหิวโหย กลางคืนจะทำต้มปลาดอกหยางไหว หลังจากห่อเกี๊ยวแล้ว จะยกไปให้บ้านท่านย่าหวง เพียงแต่...”
เมื่อเป็เช่นนี้ นางคงต้องไปที่บ้านเดิม เมื่อก้มลงมองบุตรสาวที่สวยขึ้นทุกวัน ช่างเถิด ไม่ว่าจะโดนตีหรือโดนด่า สุดท้ายแล้วก็มีมารดาอย่างนางคอยปกป้อง จะไม่ให้หลิวฉีซื่อรังแกบุตรสาวของตนได้
“เพียงแต่อะไรหรือ? ท่านแม่!” หลิวเต้าเซียงไม่เข้าใจว่าเหตุใดมารดาจึงหยุดพูดกลางคัน
จางกุ้ยฮัวจิ้มหน้าผากนางอีกครั้งแล้วเอ่ย “เพียงแต่ว่า แม่ต้องไปหาว่าบ้านไหนมีผักกุยช่าย แม้ดอกหยางไหวจะดูเหมือนเยอะ แต่เมื่อลวกแล้วก็จะเหลือไม่มาก ในบ้านมีคนกินข้าวสิบยี่สิบชีวิต คงไม่พอ หากใส่ผักกุยช่ายไว้ด้านใน คงอร่อยยิ่งนัก”
นางไม่มีทางบอกสิ่งที่คิดกับหลิวเต้าเซียง เพราะรู้สึกว่าบุตรสาวเกิดมาก็เผชิญกับความทุกข์ยากมามากพอแล้ว ชีวิตหลังจากนี้นางเพียง้าทะนุถนอมสองพี่น้อง และยังต้องประคบประหงมเด็กทารกที่กำลังหัดพูดอย่างหลิวชุนเซียงด้วย
“โอ้ ข้าคิดว่าพอแล้วเสียอีก หากรู้แต่เนิ่นว่าไม่พอ ตอนนั้นคงให้พี่ตงจื่อเด็ดให้เยอะกว่านี้”
หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือออกมาทุบศีรษะตนเองเบาๆ
จางกุ้ยฮัวกำชับอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ไปทำงานอย่างอื่นต่อ
“ลูกรัก ลูกรัก!”
เสียงของหลิวซานกุ้ยดังขึ้นนอกกําแพงบ้าน
“ท่านพ่อ!”
หลิวเต้าเซียงโยนดอกหยางไหวในมือแล้ววิ่งไปที่ประตูลานบ้านด้วยขาสั้นๆ
“ท่านพ่อ กลับมาแล้วหรือ!”
“ใช่ กลับมาแล้ว มานี่ ลูกรัก ดูสิว่าพ่อซื้ออะไรมาให้เ้า!” หลิวซานกุ้ยออกจากบ้านไปครั้งเดียวก็มีเื่ประทับใจมากมาย
แน่นอนว่าคนที่คิดถึงมากที่สุดก็คือภรรยาและลูกของเขาเอง
“ให้พ่อดูหน่อย เ้าได้กินข้าวดีๆ หรือไม่ เหตุใดจึงผอมลง!”
หางตาของหลิวเต้าเซียงกระตุกอย่างรุนแรง ก็แค่ไม่เจอกันวันเดียว จะผอมได้แค่ไหนกันเชียว?
“ท่านพ่อ นี่มันอะไรกัน?” นางหยิบห่อใบบัวที่หลิวซานกุ้ยยื่นมาให้
ใบบัวแห้ง ของในมือมีน้ำหนักเล็กน้อย
“ข้าได้ยินนายหน้าจางบอกว่า ที่อำเภอมีขนมกุ้ยฮัวที่ขึ้นชื่อ เขาบอกว่าเด็กสาวชอบกินนัก”
หลิวซานกุ้ยนึกถึงชีวิตที่ผ่านมาของลูกๆ จึงเจ็บแปลบในใจอย่างแปลกประหลาด แล้วเห็นว่าบุตรสาวคงไม่เคยเห็นขนมกุ้ยฮัวมาก่อน
หลิวเต้าเซียงชอบกลิ่นหอมสดชื่นจางๆ อย่างเช่นกลิ่นดอกหยางไหว ช่างน่าดม เหมาะกับจริตของนางยิ่งนัก
“ท่านพ่อ ข้ากับท่านพี่กำลังเด็ดดอกหยางไหว ส่วนน้องสามนอนอยู่ในห้อง ขนมนี้เก็บไว้ให้น้องสามอมได้”
หลิวซานกุ้ยฟังแล้วจุกในอก บุตรสาวคนรองอายุเพียงแปดขวบ เป็่ที่น่ารักน่าชังที่สุด แต่กลับเผชิญกับความทุกข์ยากในอดีตจนขัดเกลาให้นางกลายเป็ผู้เฒ่าทารกไปแล้ว
“พ่อยังมีขนมเหลียนหรง [1] มันร่วนกว่า ฟันของน้องสามเ้ายังขึ้นไม่ครบ คงกินของแข็งไม่ได้”
เขาชูห่อใบบัวอีกห่อในมือขึ้น และยิ่งรู้สึกสงสารบุตรสาวคนรอง
หลิวเต้าเซียงพะวง นางไม่ชอบกินของที่มีกลิ่นหอมฉุนเกินไป
เมื่อมองดูท่าทางของพ่อที่มีคุณธรรมยี่สิบสี่ประการแล้ว คำพูดของนางที่ออกมาจึงเปลี่ยนไป “ท่านพ่อ ข้าจะกินพร้อมท่านพี่ ท่านแม่บอกว่า กลางคืนจะทำต้มปลาหยางไหว วันรุ่งขึ้นจะห่อเกี๊ยวดอกหยางไหวกินกัน”
“อ้าว พวกเ้าไปเก็บดอกหยางไหวมาหรือ? ใช่สิ ดอกหยางไหวในหมู่บ้านก็ผลิดอกแล้ว” หลิวซานกุ้ยจูงบุตรสาวเดินเข้าไปในบ้าน
“จริงสิ ลูกรัก คุณชายซูยังอยู่ที่ตำบลหรือไม่? ในเมื่อห่อเกี๊ยวดอกหยางไหว พ่อจะพาพวกเ้าไปเก็บเพิ่มอีกหน่อย วันรุ่งขึ้นห่อเกี๊ยวดอกหยางไหวแล้วส่งไปให้เขา เราเป็เพียงคนธรรมดา ไม่รู้จะเอาสิ่งใดไปตอบแทนได้ เพียงแค่ของธรรมดาทั่วไปเพื่อให้คุณชายซูได้ลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ ก็นับว่าเป็น้ำใจจากเราได้”
หลิวเต้าเซียงเห็นด้วยกับความคิดของบิดา
ไม่ตบหน้าตัวเองจนบวมให้เห็นว่าเป็คนอ้วน [2] มีความสามารถเท่าไรก็มอบของขวัญตามกำลัง ของขวัญไม่ได้อยู่ที่มีมูลค่าสูงหรือไม่ หากแสดงถึงความใส่ใจนับว่าเป็น้ำใจอย่างหนึ่ง
-----
เชิงอรรถ
[1] ขนมเหลียนหรง 莲蓉糕 เหลียน-หรง-เกา เป็ของว่างที่ทำจากเม็ดบัว แป้ง ไส้ถั่วและน้ำตาล ดังรูป

[2] ไม่ตบหน้าตัวเองจนบวมให้เห็นว่าเป็คนอ้วน อุปมาได้ว่า ไม่ทำตัวหน้าใหญ่ใจโต
