แสงอรุณแรกของวันรุ่งขึ้นยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้าดีนัก ความมืดสลัวยังคงปกคลุมอาณาเขตปศุสัตว์ของตระกูลฉุนอวิ๋น
เด็กหนุ่มทั้งสามในชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วง ต่างสะพายย่ามที่บรรจุข้าวของจำเป็เพียงเล็กน้อย อวิ่นหนิงเจี่ย แบกห่อผ้ายาวรีที่ได้รับมาไว้บนบ่า ส่วน ต้วนผิงอัน ผู้กำยำก็รับภาระแบกเสบียงส่วนใหญ่ และ หนิวมู่อี้ ผู้รอบคอบถือแผนที่เก่า ๆ ที่เขาแอบเก็บไว้ั้แ่สมัยทำงานในคลังสินค้า
พวกเขาเดินฝ่าความเงียบเชียบและหมอกยามเช้าออกจากประตูเล็ก ๆ ด้านหลังปศุสัตว์อย่างเงียบ ๆ ตลอดเส้นทางที่เดินผ่านโรงเลี้ยงและป้อมยาม ไม่มีทหารหรือศิษย์ตระกูลฉุนอวิ๋นคนใดแม้แต่จะหันมามอง ราวกับว่าร่างของสามสหายนั้น ไม่มีตัวตนอยู่ในสายตาของพวกเขาแต่แรกแล้ว
ทั้งสามไม่สนใจความเ็าเ่าั้ พวกเขารีบมุ่งหน้าไปทาง ทิศตะวันตก ทันที ตามคำแนะนำของแผนที่เก่าคร่ำคร่าในมือของหนิวมู่อี้
จากแผนที่นั้น หนิวมู่อี้ได้คำนวณไว้แล้วว่า การเดินทางไปยังเขาหลงเซี่ยงนั้นต้องผ่านอาณาจักรเมืองถึง สามเมือง ใหญ่ ก่อนจะเข้าสู่เส้นทางรกร้างสู่เขาหลงเซียง
ตลอด่เช้าพวกเขากัดฟันเดินอย่างไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งยามบ่ายคล้อย แสงแดดอันจัดจ้านของมณฑลเฟิงเป่าก็สาดส่องลงมา
"นั่นไง!" หนิวมู่อี้ร้องเสียงแ่ พลางชี้ไปข้างหน้า
ในที่สุด พวกเขาก็เข้าเขตและสามารถมองเห็น เมืองไห่กัง หรือ เมืองท่าทะเล ได้จากระยะไกล
พวกเขาหยุดพักบริเวณ เนินเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็จุดที่สามารถมองเห็นเมืองไห่กังได้ทั้งเมือง
เมืองไห่กังตั้งตระหง่านอยู่ริมชายฝั่งทะเลอู๋ฝูเจี้ยนอย่างแท้จริง เป็เมืองท่าที่คึกคักสมชื่อ หลังคาสีสดใสเรียงรายเป็ระเบียบตัดกับสีฟ้าครามของน้ำทะเล เรือสำเภาขนาดมหึมาจำนวนนับไม่ถ้วนจอดเทียบท่าอย่างหนาแน่น แสดงถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจที่ผู้คนในมณฑลเฟิงเป่าภาคภูมิใจ
หลังจากชื่นชมทิวทัศน์อันน่าตื่นตาได้ไม่นาน ต้วนผิงอันพลันนึกถึงปัญหานึงกล่าวขึ้น "เราจะทำอย่างไรกับค่าใช้จ่าย" ต้วนผิงอันกล่าว สีหน้ายุ่งยากใจ
อวิ่นหนิงเจี่ย พลันคิดได้ พยักหน้า เขาดึงถุงผ้าใบเล็ก ๆ ที่ผูกรอบเอวออกมา หนิวมู่อี้และต้วนผิงอันก็ทำเช่นเดียวกัน
ในโลกแห่งการฝึกปรือนี้ ศิลาผลึกคราม คือเงินตราหลักที่ใช้ในการซื้อขายสมุนไพร วรยุทธ์ และสินค้าต่าง ๆ และสำหรับผู้มีอำนาจที่ร่ำรวยอย่างตระกูลใหญ่ พวกเขามักใช้ ศิลาชั่งครามซึ่งมีมูลค่ามหาศาล
อัตราแลกเปลี่ยน: 1 ศิลาชั่งคราม มีค่าเท่ากับ 10,000 ศิลาผลึกคราม และเป็ศิลาที่หาได้ยากยิ่ง
เด็กหนุ่มทั้งสามนำศิลาผลึกครามที่พวกเขาเก็บออมไว้จากการเป็คนงานมารวมกันบนพื้นหญ้า:
"ข้าได้มาห้าร้อยสามสิบก้อน..." ต้วนผิงอันกล่าว "ของข้าประมาณหกร้อยก้อน..." หนิวมู่อี้กล่าวอย่างภาคภูมิใจ "ของข้ามีสามร้อยเจ็ดสิบก้อน" อวิ่นหนิงเจี่ยว่า
เมื่อรวมกันแล้ว ทั้งสามสหายมีศิลาผลึกครามรวมกันได้เพียง 1,500 ก้อนเท่านั้น ซึ่งนับเป็เงินจำนวนน้อยนิดมากสำหรับสามชีวิตที่ต้องเดินทางผ่านสามเมืองใหญ่
"แค่พันห้าร้อยก้อน..." หนิวมู่อี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ถ้าเราเข้าไปในเมืองไห่กัง แล้วต้องพักโรงเตี๊ยม ซื้ออาหาร และเดินทางต่อไปอีกสองเมือง... ไม่เกินห้าวันก็หมดเกลี้ยงแน่"
หนิวมู่อี้ชี้ไปบนแผนที่ด้วยนิ้วที่เปื้อนฝุ่น "ดูตรงนี้สิ! มีเส้นทางเดินเท้าสายเล็ก ๆ ลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเล จากตรงนี้ไปถึงเมือง เสินอู่ ที่อยู่ทางเหนือ"
"ข้าเสนอให้เรา อ้อมเมืองไห่กัง หลีกเลี่ยงการใช้จ่ายศิลาโดยไม่จำเป็ในเมืองใหญ่ เราควรจะเดินเท้าลัดเลาะไปตามเส้นทางนี้ แม้จะลำบากกว่า แต่ก็ช่วยเก็บศิลาของเราได้ไว้ใช้จ่ายยามจำเป็ก่อนขึ้นเขาหลงเซียง" หนิวมู่อี้กล่าวอย่างจริงจัง
อวิ่นหนิงเจี่ยกวาดสายตาไปยังเส้นทางที่หนิวมู่อี้ชี้บนแผนที่ ก่อนจะหันไปมองหน้าต้วนผิงอัน
"ข้าเห็นด้วย" ต้วนผิงอันพยักหน้าอย่างไม่ลังเล "เราไม่รู้ว่าจะต้องใช้จ่ายศิลาเท่าไหร่ในการเอาชีวิตรอดที่เขาหลงเซี่ยง การประหยัดตอนนี้สำคัญที่สุด"
อวิ่นหนิงเจี่ย พยักหน้าตอบรับ การตัดสินใจเป็เอกฉันท์ ทั้งสามสหายจึงเปลี่ยนทิศทาง พวกเขาไม่ได้เดินลงไปยังเมืองท่าอันคึกคัก แต่หันหลังให้กับความเจริญรุ่งเรืองนั้น แล้วเริ่มต้นเดินทางอ้อมเมืองไห่กัง ลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเลเพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังเมืองเสินอู่
การตัดสินใจอ้อมเมืองไห่กัง ทั้งสามเข้าสู่การเดินทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบากอย่างแท้จริง เส้นทางลัดเลาะสู่เมืองเสินอู่มิใช่ทางเดินราบเรียบ แต่เป็หนทางที่ทอดผ่าน ชัยภูมิขุนเขา เสียส่วนใหญ่
ตลอด่บ่ายจนถึงเย็น แสงแดดอันร้อนระอุถูกแทนที่ด้วยร่มเงาของยอดเขาสูงชัน การเดินทางเต็มไปด้วยความหวาดเสียว พวกเขาต้องไต่ไปตาม ไหล่เขาที่แคบและลื่น เบื้องล่างคือ เหวลึก มืดมิดที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง เสียงลมพัดหวีดหวิวราวกับเสียงร้องของภูตผีสร้างความกดดันทางจิตใจเป็อย่างมาก มีหลายครั้งที่ หนิวมู่อี้ ผู้มีรูปร่างค่อนข้างอวบต้องเกาะก้อนหินแน่นด้วยความตื่นตระหนก ส่วน ต้วนผิงอัน ต้องใช้กำลังมหาศาลในการนำทางและปีนป่ายไปตามโขดหินที่เกือบจะตั้งฉาก อวิ่นหนิงเจี่ยพยายามใช้ความคล่องตัวของตนเองช่วยประคองเพื่อนทั้งสองไว้
ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าและปล่อยให้ความมืดมิดเข้าครอบงำ ต้วนผิงอันก็สังเกตได้ถึงร่องรอยบางอย่าง
"เดี๋ยวก่อน! ตรงนั้น!" ต้วนผิงอันชี้ไปยังหน้าผา้า
ด้วยความโชคดีที่หาได้ยากยิ่ง พวกเขาสามารถ เสาะพบถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บนเนินสูงที่ต้องปีนป่ายขึ้นไปอย่างยากลำบาก มันเป็สถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับพักค้างคืน เพราะที่พักมีลักษณะเป็ถ้ำตามธรรมชาติ หลบน้ำค้างยามค่ำคืน ความสูงและทางเข้าที่จำกัดสามารถช่วย และที่สำคัญคือป้องกัน สัตว์อสูรระดับต่ำ ที่ออกหากินในยามค่ำคืนได้
"ดีเลย! ที่นี่แหละ" อวิ่นหนิงเจี่ยกล่าวด้วยความโล่งใจ
ทางขึ้นถ้ำนั้น แคบและเป็ซอกหิน หากมีสัตว์อสูรหรือศัตรูเข้าโจมตี ก็จะต้อง ขึ้นมาทีละตัว ซึ่งเป็ข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขาในการป้องกันตัว
เมื่อปีนป่ายขึ้นไปถึงปากถ้ำ พวกเขาก็สำรวจบริเวณรอบ ๆ หน้าปากถ้ำยังมีพื้นที่พอให้ก่อกองไฟได้ ทั้งสามจึงช่วยกันเก็บกิ่งไม้แห้งและเศษหญ้าที่พอจะหาได้ในบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว หนิวมู่อี้ ใช้หินสองก้อนกระทบกันเพื่อจุดประกายไฟด้วยความชำนาญไม่นานนัก กองไฟขนาดเล็กก็ถูกก่อขึ้น เปลวไฟสีส้มมอบแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดที่กำลังคืบคลานเข้ามา และยังทำหน้าที่เป็ ด่านป้องกันภัยเบื้องต้น ที่สามารถขับไล่สัตว์ป่าทั่วไปได้อีกด้วย
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเตรียมการที่พักและความปลอดภัย ทั้งสามจึงทรุดตัวลงนั่งรอบกองไฟด้วยความเหนื่อยล้า ต้วนผิงอันล้วงเข้าไปในย่ามและหยิบ เนื้อตากแห้งแข็งโป๊ก ออกมา
"เอาล่ะพวก" ต้วนผิงอันกล่าว "กินนี่ก่อน จะได้มีแรงพรุ่งนี้"
พวกเขาใช้กิ่งไม้เสียบเนื้อแข็ง ๆ แล้วอุ่นเหนือเปลวไฟช้า ๆ กลิ่นหอมจาง ๆ ของเนื้อปนกับควันไฟลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ เนื้อตากแห้งแม้จะแข็งกระด้างและไร้รสชาติ แต่ก็ให้พลังงานที่จำเป็ต่อการประทังความหิวและฟื้นฟูร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการปีนเขา
ในที่สุด อวิ่นหนิงเจี่ย ก็หยิบ ห่อผ้ายาวรี ที่ได้รับจากบิดาออกมาวางข้างตัว แสงไฟสาดกระทบห่อผ้านั้น ทำให้มันดูมีปริศนาและลึกลับยิ่งขึ้นไปอีก
"คืนนี้... เราควรจะเปิดมันดูหรือไม่?" หนิวมู่อี้ถามเบา ๆ ดวงตาที่ล้าของเขามองไปยังห่อผ้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ท่ามกลางแสงไฟที่ลุกโชน อวิ่นหนิงเจี่ยพยักหน้าตอบคำถามของหนิวมู่อี้
ความอยากรู้อยากเห็นปกคลุมใบหน้าของเด็กหนุ่มทั้งสาม อวิ๋นหนิงเจี่ยยื่นมือไปหยิบ ห่อผ้ายาวรี เขาเริ่มแกะปมผ้าที่มัดแน่นออกอย่างช้า ๆ ผ้าที่ห่อหุ้มนั้นเป็ผ้าเนื้อดีที่เปื้อนฝุ่นจากการเดินทาง เมื่อผ้าถูกคลี่ออก สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือ กล่องไม้ สีเข้มที่ทำขึ้นอย่างเรียบง่าย
ทุกคนต่างกลั้นหายใจด้วยความคาดหวัง นี่อาจเป็ อาวุธขั้นสูง ที่ซ่อนเร้น หรือ กระบี่วิเศษ ที่ช่วยให้พวกเขาเอาชีวิตรอดจากการเดินทางอันตรายนี้ได้
อวิ่นหนิงเจี่ยค่อย ๆ เปิดฝากล่องออก แล้วสิ่งที่ปรากฏทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มทั้งสาม เปลี่ยนเป็ความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
"นี่... นี่มันอะไรกัน?" หนิวมู่อี้พึมพำ
ภายในกล่องไม้มีเพียง ดาบยาวเก่าแก่เล่มหนึ่ง ใบดาบถูกกัดกร่อนด้วย สนิมสีน้ำตาลแดง จนกินเนื้อดาบไปเกือบทั้งเล่ม มองดูแล้วเหมือน ดาบที่ถูกทิ้งไว้ใต้โคลนตม มานานแสนนาน มันดูไร้คุณค่าและหนักอึ้ง ไม่มีความงามสง่าหรือออร่าปราณใด ๆ แผ่ออกมา
"ท่านผู้นำให้ดาบนี้กับเ้าหรือ?" ต้วนผิงอันหยิบดาบเล่มนั้นขึ้นมาถือ มันหนักอึ้งเกินกว่าจะเป็อาวุธวรยุทธ์ชั้นดี
"ดูสภาพสิ..." ต้วนผิงอันหรี่ตาพิจารณา "นี่มันจะใช้ฟันสัตว์อสูรเข้าหรือเปล่า? หรือว่าท่านผู้นำ้าจะดูถูกเ้าจนถึงที่สุด"
ทั้งสองสหายต่าง ไม่ศรัทธาต่อดาบเล่มนี้ โดยสิ้นเชิง มันเป็เพียงของเก่าไร้ประโยชน์ที่ตอกย้ำถึงความไร้ค่าของอวิ่นหนิงเจี่ยในสายตาของตระกูล
อวิ่นหนิงเจี่ยเงียบไปพักหนึ่ง เขาหยิบดาบขึ้นมามองด้วยสายตาที่สงบนิ่ง แต่ก็มีความผิดหวังเจืออยู่
"อย่างน้อย..." หนิวมู่อี้พยายามปลอบใจ "ก็ยังใช้เป็ไม้เท้าพยุงตัวได้"
ขณะที่กำลังจะปิดกล่องไม้เพื่อซ่อนความผิดหวัง อวิ่นหนิงเจี่ยก็สังเกตเห็นว่าภายใต้ผ้าที่รองก้นกล่อง มี คัมภีร์ บาง ๆ เล่มหนึ่งวางซ่อนอยู่ เขาหยิบมันขึ้นมาพิจารณา
คัมภีร์นั้นทำจากกระดาษสีเหลืองที่ถูกใช้งานจนยับย่น มันถูกเปิดดูนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว อวิ่นหนิงเจี่ยใช้แสงไฟส่องดูที่หน้าปก คัมภีร์เล่มนี้ไม่มีความลึกลับซ่อนเร้นเลยแม้แต่น้อย
อักษรขนาดใหญ่ที่หน้าปก ทำให้ต้วนผิงอันและหนิวมู่อี้ที่ยื่นหน้าเข้ามาดู ต้อง เบ้ปาก อย่างพร้อมเพรียงกัน
นั่นคือ "คัมภีร์เก้าหมัดจู่โจม"
"บ้าจริง!" หนิวมู่อี้พึมพำอย่างหงุดหงิด "นี่มันคัมภีร์ระดับต่ำขั้นต้น ที่มีขาย ดาษดื่นทั่วไปตามท้องตลาด ! เล่มละไม่ถึงสิบศิลาผลึกคราม!"
"มันคือคัมภีร์พื้นฐานที่สุดที่ศิษย์ชั้นล่างสุดยังไม่คิดจะฝึก" ต้วนผิงอันกล่าวด้วยความผิดหวังอย่างที่สุด "เป็คัมภีร์ที่แทบไม่มีคุณค่าให้เหลือบแล! ตระกูลให้ขยะสองชิ้นนี้เป็มรดกให้เ้า!"
มันเป็เหมือนการเยาะเย้ยครั้งสุดท้ายจากตระกูลฉุนอวิ๋นต่อบุตรชายที่ถูกทอดทิ้ง ดาบที่สนิมกิน และ คัมภีร์ระดับต่ำที่สุด ที่คนในตระกูลไม่แม้แต่จะชายตามอง
อวิ่นหนิงเจี่ยเก็บดาบที่ถูกสนิมกัดกิน และคัมภีร์ที่ไร้ค่าที่สุดลงในย่ามอย่างบรรจง ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารของสหายทั้งสอง
"ช่างเถิด" อวิ่นหนิงเจี่ยกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาของเขามองตรงไปยังเปลวไฟที่กำลังเต้นระบำ "ไม่ว่าอย่างไร... มันก็เป็มรดกเดียวที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้า "
เขาเงยหน้าขึ้นมองสหายรักทั้งสอง แล้วกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน "ข้าเต็มใจที่จะเก็บรักษาของทั้งสองสิ่งนี้เดินทางติดตัวไปด้วย"
ต้วนผิงอันและหนิวมู่อี้สบตากัน ทั้งสองเข้าใจดีว่า แม้ของกำนัลจะเป็การดูถูกเหยียดหยาม แต่สำหรับอวิ่นหนิงเจี่ยแล้ว มันคือสิ่งสุดท้ายที่เชื่อมโยงเขากับมารดาผู้จากไป และเป็จุดเริ่มต้นของอิสรภาพที่เขาเลือกเอง
"ก็ได้" ต้วนผิงอันพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ความหนักแน่นของคำพูดได้ถูกถ่ายทอดผ่านการตบไหล่อวิ่น หนิงเจี่ยเบา ๆ
"ถ้ามันเป็ดาบของมารดาเ้าจริง... บางทีมันอาจจะซ่อนความลับบางอย่างไว้ก็ได้!" หนิวมู่อี้พยายามพูดให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้น "ถึงจะเป็คัมภีร์ 'เก้าหมัดจู่โจม' ระดับต่ำ แต่ถ้าเราใช้มันฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรติดตัวเลย!"
อวิ่นหนิงเจี่ยยิ้มตอบรับ เขาไม่ได้ให้ความหวังต่อของสองชิ้นนั้น แต่เขารู้สึกขอบคุณสำหรับกำลังใจจากสหาย
ความมืดมิดภายนอกถ้ำหนาทึบขึ้นเรื่อย ๆ เสียงลมพัดหวีดหวิวปะทะหน้าผา ทำให้บรรยากาศยิ่งวังเวงและกดดัน เด็กหนุ่มทั้งสามคนตกลงกันว่าจะ ผลัดกันเป็ยาม เฝ้าระวังภัยจากสัตว์อสูรที่อาจถูกดึงดูดด้วยกลิ่นของเนื้อย่างหรือแสงไฟ
ต้วนผิงอันผู้มีร่างกายแข็งแกร่งรับหน้าที่ยามแรก เขาถือมีดตัดไม้ที่พกมานั่งเฝ้าอยู่ปากถ้ำ หนิวมู่อี้รับ่ต่อด้วยความกล้าที่พยายามสร้างขึ้นมาเต็มที่ ส่วนอวิ่นหนิงเจี่ยได้รับหน้าที่เป็ยามสุดท้ายก่อนรุ่งสาง
ตลอดทั้งคืน เหตุการณ์เป็ปกติ ไม่มีสัตว์อสูรระดับสูงมาจู่โจม มีเพียงเสียงหอนของสัตว์ป่าที่อยู่ห่างไกล และเสียงใบไม้เสียดสีกับลมหนาวที่พัดพาเข้ามาในถ้ำ
เมื่อถึงยามฟ้าสาง แสงสีเทาเงินเริ่มสาดส่องเข้ามาทางปากถ้ำ อวิ่นหนิงเจี่ยปลุกสหายทั้งสองให้ตื่นขึ้น
"รุ่งเช้าแล้ว" เขากล่าวเสียงแ่
ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและจากการอดนอนยังคงแสดงออกทางสีหน้าของทั้งสาม แต่เมื่อพวกเขาหันหน้ามองกัน ก็เห็นแววตาแห่งความ มุ่งมั่น ที่ฉายชัด
พวกเขาเก็บสัมภาระที่เหลือเพียงน้อยนิด ดับกองไฟจนสนิท และตรวจสอบรอบถ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดทิ้งไว้เื้ั
สามสหายแห่งโรงม้าเมฆาได้ละทิ้งชีวิตเก่าไว้เื้ัแล้ว พวกเขาปีนป่ายลงจากเนินสูงอย่างระมัดระวัง แล้วมุ่งหน้าต่อไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพื่อเดินทางสู่เมืองเสินอู่
โชคชะตาใหม่กำลังรอพวกเขาอยู่ข้างหน้า...
