สวี่เหราสอบซู่จี๋ซื่อ [1] ไม่ผ่าน จึงทำได้เพียงรอให้ฝ่ายจัดสรรบุคลากรเป็ผู้จัดสรรตำแหน่งต่างๆ ในราชสำนักให้ การเลือกตำแหน่งนี้ก็มีนักปราชญ์อยู่ในหน่วยงานนั้นๆ มากมายเช่นกัน
หลังจากการสอบเข้าขุนนางเสร็จสิ้นแล้ว สามคนแรกที่ทำคะแนนสอบได้ดีก็จะเข้าไปอยู่ที่สำนักฮั่นหลินก่อน การเข้าไปเรียนที่สำนักฮั่นหลินเป็เวลาสามปีหลังจากนั้นก็จะจัดการสอบจบบัณฑิตศึกษา ส่วนผู้เข้าสอบที่เหลือยังจำเป็ต้องทำการสอบขั้นต่อไป ซึ่งเรียกว่า “เฉาข่าว” หรือการสอบในเขตพระราชฐานอีกครั้ง ซึ่งจะทำการคัดเลือกคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดออกมา ซึ่งเรียกว่า “ซู่จี๋ซื่อ” หากสอบผ่านก็จะเข้าไปอยู่ในสำนักฮั่นหลิน คนที่สอบไม่ผ่านก็จะต้องไปรับตำแหน่งอื่นๆ ราชวงศ์ต้าเหลียงยังคงเหมือนกับราชวงศ์ก่อนหน้านี้ ที่หากไม่ได้เข้าสำนักฮั่นหลินจะไม่สามารถรับราชการได้
สวี่เหราสอบซู่จี๋ซื่อไม่ผ่าน ดังนั้นจำเป็ต้องไปที่ฝ่ายจัดสรรบุคลากรเพื่อให้เ้าหน้าที่ทำการเลือกตำแหน่งที่ต้องเข้าประจำการให้
สกุลสวี่ได้ไปจ่ายเงินใต้โต๊ะให้สวี่เหราแล้ว เดิมทีจะให้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง เลือกสักตำแหน่งของหนึ่งในหกหน่วย แต่ต่อมาสวี่เหรานอกจากเกิดอุบัติเหตุ หลังจากนั้นความ้าของเขาก็เปลี่ยนเป็อยากจะออกไปประจำการนอกเมืองหลวง หย่งหนิงโหวเย่สวี่เจินหลังจากขบคิดมาตลอดทั้งคืน ก็รู้สึกว่าการไปประจำการนอกเมืองหลวงเองก็มีข้อดีอยู่ ในคืนนั้นจึงไปที่ฝ่ายบุคลากรเพื่อหาคนช่วยเหลือ สุดท้ายก็เลือกเขตเหอซี ดำรงตำแหน่งเป็ขุนนางขั้นเจ็ดแทน
สวี่เหราเมื่อรับหนังสือรับรองจากฝ่ายจัดสรรบุคลากรเรียบร้อยแล้วก็ไปหาซื้อของให้บุตรชายหญิงของตน
พูดกันตามความจริงแล้ว สวี่เหราไม่ได้กำหนดว่าตนเองจะต้องไปประจำการที่ใด ขอเพียงสามารถออกห่างจากเมืองหลวงให้ไกล ยื้อเวลาให้คนในครอบครัวของเขาได้หายใจหายคอ ให้คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมในตอนนี้ก่อน จากนั้นค่อยตามหาคนที่ลอบฆ่าครอบครัวตนเอง เช่นนี้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
ตอนที่ไปที่ฝ่ายจัดสรรบุคลากรเมื่อครู่ ข้าราชการระดับล่างคนหนึ่งที่คุ้นเคยกับเขาตอนที่มาเอาหนังสือรับรองยังพูดกับเขาว่าต่อไปหากเจริญรุ่งเรืองแล้วก็ขอให้อย่าลืมสหายคนนี้ ในหัวของสวี่เหรามึนเบลอไปหมด ตัวเขาเป็เพียงขุนนางขั้นเจ็ดของเขตเล็กๆ จะสามารถเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร
ถนนในเมืองครึกครื้นเป็อย่างมาก สวี่เหราให้คนขับรถม้าของจวนขับกลับไปก่อน ตัวเขาลงมาเดินริมถนนพร้อมมองสองข้างทางไปด้วย
ณ หน่วยงานจัดสรรบุคลากร สวี่เหราพบนักธุรการผู้หนึ่ง เขตเหอซีอยู่แถบชายแดน เป็สถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมเลวร้ายเป็อย่างยิ่ง หลังจากสวี่เหรารับทราบตำแหน่งหน้าที่แล้ว จึงถามเ้าหน้าที่ผู้นั้นว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ที่ใด หลังจากได้รับคำตอบแล้วก็พอจะคิดภาพออกว่าอยู่ที่ใด หากเป็ยุคปัจจุบัน คงจะอยู่ใกล้ๆ กับซานซีเยียนเหมิน ตอนนั้นเพื่อที่จะศึกษาค้นคว้า สวี่เหราจึงเดินทางไปทั่วประเทศจีน ถึงแม้ภูมิศาสตร์รูปร่างในตอนนี้จะไม่เหมือนกับที่ตนเองเคยเห็นตอนนั้น แต่ว่าพอคิดอย่างละเอียดแล้ว ก็ยังสามารถระบุตำแหน่งได้
สวี่เหราเดินไป ในใจก็คิดถึงตำแหน่งที่ตั้งของเหอซีไป บวกกับตอนที่อยู่ในฝ่ายจัดสรรบุคลากร ข้าราชการระดับล่างคนนั้นได้ดูแผนที่ของเขตเหอซีให้แล้ว หาก้าจะเดินทางจากเมืองหลวงไปถึงที่นั่นจำเป็ต้องใช้เวลากี่วันหรือตลอดทางจะต้องเดินทางผ่านที่ใดบ้าง
เมื่อเดินผ่านร้านขายผ้าร้านหนึ่ง สวี่เหราเดินไปเดินมารอบๆ จนเ้าของร้านขายผ้ารู้ว่าสวี่เหรา้าจะซื้อผ้าไปทำชุดให้กับบุตรสาวอายุสี่หนาวของตน จึงแนะนำผ้าลายบุปผาหลากหลายแบบให้ ซึ่งสวี่เหราเองก็มิได้เข้าใจเื่ผ้ามากเท่าใดนัก คิดไปคิดมาตอนนี้ก็มิได้ขาดแคลนเงินทอง จึงซื้อไปหลายแบบ จากนั้นก็ฉุกคิดได้ว่าครอบครัวตนเองทั้งสี่คนจะเดินทางไปยังที่ห่างไกล จางจ้าวฉือไม่สามารถออกจากเรือนได้ตามใจชอบ เห็นว่าซื้อมาได้พอสมควรแล้ว สวี่เหราเป็คนฉลาด ไม่ได้จ่ายเงินเอง แต่ให้ทางร้านนำไปส่งที่จวน หลังจากเอามาส่งให้ที่จวนแล้ว ก็ให้คุณนายสามที่อยู่ในจวนเป็ผู้รับของและจ่ายเงิน
จากนั้นก็ซื้อของกินเล่นมากมายตามท้องถนน ขนมหวานจากร้านเล็กๆ สวี่เหราซื้อมาหลายอย่าง ก่อนจะถือมันกลับจวน
หย่งหนิงโหวเย่รอสวี่เหราอยู่ในเรือนมาทั้งวัน ปรากฏว่าเจอเพียงรถม้าว่างเปล่าที่กลับมา คนขับรถม้ารายงานว่าคุณชายสามให้ตนกลับมาก่อน เขาจะไปเดินเล่นซื้อของ หย่งหนิงโหวเย่ได้ยินดังนั้นก็โกรธมาก นี่มันยามใดแล้ว ยังมีแก่ใจมาเดินซื้อของอีกหรือ ปรากฏว่าอีกครู่เดียวทางนายทวารเข้ามาแจ้งว่าคุณชายสามซื้อผ้ามา ให้คนของทางร้านมาเก็บเงินที่เรือนของคุณนายสาม หย่งหนิงโหวเย่มองตากับซื่อจื่อ พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ คุณชายสามที่ปกติไม่พูดไม่จาไปกินสิ่งใดผิดปกติมาหรือไม่
หลังจากเรือนหลังได้รับข่าวก็ส่งคนมาดู เด็กของร้านขายผ้านำผ้าหลายสิบพับมารอตรงประตูสองของโถงรับแขกเล็ก เห็นตรงประตูมีคนมาแอบดูแล้วมาแอบดูอีก คนแล้วคนเล่า จนกระทั่งสตรีที่ดูแล้วท่าทางกล้าหาญผู้หนึ่งพาเด็กหญิงตัวน้อยอายุสามสี่หนาวเดินเข้ามา สาวใช้ในเรือนแนะนำว่าเป็คุณนายสามของจวน คนงานคนนั้นถึงได้ถอนหายใจออกมา
จางจ้าวฉือรับความจากนายทวารก็รู้ว่าสวี่เหรานั้นหมายความว่าอย่างไร ซึ่งก็คือจะให้จ่ายเงินตรงนี้ จึงให้คนผู้นี้นำของมาส่งถึงเรือน หากรอจนของมาถึงมือตนเองก็มิรู้ว่าของจะเหลือเท่าใด ซึ่งใครเป็ผู้รับของคนผู้นั้นย่อมเป็ผู้จ่ายเงิน ตอนนี้ครอบครัวมิได้ขาดแคลนเงิน สวี่เหราเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบซื้อของแพง ผ้าที่เขาซื้อกลับมาจะมีราคาแพงสักเท่าใดกันเชียว?
จางจ้าวฉือมองผ้าสิบกว่าผืน เป็ผ้าฝ้ายเสียเยอะ เป็ผ้าไหมน้อยมาก ก็รู้แล้วว่าหมายความว่าอย่างไร นี่คงวางแผนจะนำไปใช้ในพื้นที่นอกเมืองที่ทุรกันดารจริงๆ สินะ เมื่อเช้าก่อนที่สวี่เหราจะออกไปข้างนอกก็ได้ปรึกษากับจางจ้าวฉือแล้ว หากได้ไปประจำการอยู่นอกเมืองจริงๆ ทั้งยังเป็สถานที่ทุรกันดารสักหน่อยก็จะซื้อผ้าที่ใช้ได้จริงเอากลับมาทำเสื้อผ้า ถ้าหากไปสถานที่ขาดแคลนอาหารอย่างเจียงหนาน เช่นนั้นก็ไม่ซื้อผ้าแล้ว รอจนถึงที่นั่นค่อยซื้อเพิ่มก็ยังมิสาย ดูจากผ้าจำนวนมากที่สวี่เหราซื้อมาแล้ว จางจ้าวฉือก็รู้ว่าคงจะเป็พื้นที่ที่การเป็อยู่ไม่ค่อยดีนัก
เมื่อจ่ายเงินเสร็จแล้วจึงให้คนมาขนผ้ากลับไป ก่อนที่จางจ้าวฉือจะเริ่มจัดข้าวของของครับครัวชิ้นต่างๆ ที่จะนำติดตัวไปด้วย
ทางด้านสวี่เหราพอเข้าประตูจวนมาก็ถูกคนพาไปพบกับโหวเย่ที่ห้องตำรา
โหวเย่เห็นของที่สวี่เหราถือมาเต็มสองมือ ความโกรธในใจก็กดเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป แต่ไม่รู้จะระบายมันออกมาอย่างไร โดยเฉพาะตอนที่ซื่อจื่อเอ่ยปากถามว่าเหตุใดถึงซื้อของพวกนี้มามากมายนัก สวี่เหราก็เอ่ยว่าซื้อกลับมาให้กับจือเอ๋อร์ทาน ก่อนหน้านี้จือเอ๋อร์ได้รับเื่ะเืใจมา นอนตอนกลางคืนก็จะร้องไห้จนตื่น ตนจึงซื้อของกินมากมายมาปลอบใจลูก
โหวเย่จึงทำได้แค่โบกมือ ผู้คนในจวนต่างรู้ว่าคุณชายสามและฮูหยินสามไม่ค่อยจะใส่ใจกับของอย่างอื่นเท่าไหร่ แต่กลับใส่ใจลูกตนเองมาก อย่างหลายปีก่อนตอนที่โรงครัวใหญ่ทำไข่ตุ๋นให้สวี่ตี้แล้วตัดของที่ควรได้ออกไปคุณนายสามถึงกับมีเื่กับโรงครัวใหญ่เพื่อลูกๆ เลยมิใช่หรือ?
โหวเย่วางเื่หงุดหงิดใจเอาไว้ แล้วถามเื่ที่ไปฝ่ายจัดสรรบุคลากรอย่างละเอียด หลังจากอ่านหนังสือรับรองตำแหน่งของสวี่เหรา เขาก็หยิบกล่องไม้ยาวๆ ออกมาจากในห้องตำรา
สวี่เหราเห็นท่าทางให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากของโหวเย่ ก็อยากรู้ว่าเป็สิ่งใด พอโหวเย่หยิบของสิ่งนั้นออกมาแล้ววางมันลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง เมื่อสวี่เหราเดินเข้าไปดู ที่แท้ก็เป็แผนที่แผ่นหนัง เรียกว่าอวี๋ถู แต่เป็แผนที่ที่สวี่เหราไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใด
ซื่อจื่อมองแผนที่แล้วก็พูดออกมาด้วยความใ “ท่านพ่อ นี่เป็แผนที่ทางการทหารมิใช่หรือขอรับ นี่เป็ของที่ท่านเก็บเอาไว้เมื่อครั้งติดตามองค์ฮ่องเต้ไปรบที่ชายแดนมิใช่หรือขอรับ?”
โหวเย่ตอบรับ “ใช่แล้ว เมื่อครั้งนั้นพวกเราติดตามองค์ฮ่องเต้ไป ตอนที่กลับมาพระองค์ก็ให้พวกข้าเก็บเอาไว้ชุดหนึ่ง ถือเป็ของที่เอาไว้ให้ระลึกถึง เ้ามาดู เขตเหอซีอยู่ตรงนี้ ตรงที่เขตเหอซีอยู่เป็ชายแดน บนูเาเป็ช่องแคบซึ่งเป็ที่ที่ป้องกันได้ง่ายและยากที่จะโจมตี ประตูตะวันตกของราชวงศ์นี้ก็ใกล้กับแม่น้ำสายนี้ ซึ่งอยู่ใกล้กับแม่น้ำสายนี้”
โหวเย่ชี้เส้นบนแผนที่ ซึ่งสวี่เหรามองอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าเส้นๆ พวกนั้นเหตุใดถึงเป็ูเาลูกหนึ่งกับแม่น้ำสายหนึ่งได้ แต่สวี่เหราก็นับถือความฉลาดของคนยุคโบราณมาก ยุคปัจจุบันพัฒนาไปไม่หยุด เทคโนโลยีเองก็ค่อยๆ ก้าวหน้าทีละน้อย นั่นก็เพราะว่ามีความสำเร็จเล็กๆ พวกนี้ ถึงได้มีคนยุคโบราณที่เปล่งประกาย และยิ่งทำให้คนยุคปัจจุบันเจิดจรัส
ซื่อจื่อหลังจากมองแผนที่ตามแล้วก็เอ่ยออกมาด้วยความกังวล “ท่านพ่อขอรับ ได้ยินมาว่าประชาชนทางเหอซีแข็งกร้าวมาก ทางเขตนั้นยังมีคำสั่งให้ชาวบ้านไปเป็ทหาร ตำแหน่งขุนนางที่นี่ถือว่ารับมือยากอยู่ขอรับ”
โหวเย่มองสวี่เหราก่อนจะกล่าว “การงานมันอยู่ที่ความสามารถของคน ผู้อื่นทำได้ไม่ดีแล้วเ้าจะทำไม่ดีด้วยหรือ? เ้าสาม ตอนที่เ้าไปก็พาผู้ช่วยไปด้วยสองคนเพื่อเป็กุนซือของเ้า แล้วก็องครักษ์ในจวนเ้าก็พาไปด้วยอีกสองคน ตอนที่จะไปก็จ้างทหารรับจ้างของสำนักรับจ้างไปด้วยหลายคนหน่อย”
สวี่เหรารับคำ “ท่านพ่อขอรับ ข้าอยากจะพาจางจ้าวฉือและลูกสองคนไปด้วยขอรับ”
โหวเย่ครุ่นคิด “เื่นี้จะต้องปรึกษากันก่อน”
สวี่เหราฟังแล้วก็รู้สึกว่าในจวนจะมีผู้ใดไม่เห็นด้วยที่ครอบครัวพวกเขาเดินทางออกไปอยู่นอกเมืองทั้งสี่คนหรือไม่ ก่อนจะเอ่ย “ท่านพ่อขอรับ ครั้งนี้ที่ข้ากับจางจ้าวฉือและตี้เอ๋อร์ประสบอุบัติเหตุ เป็ฝีมือคนทำขอรับ หากต้องทิ้งภรรยาเอาไว้ในเรือนข้าไม่วางใจ ข้าคิดมาดีแล้ว พวกเราจะออกไปจากที่นี่สักพัก ไม่แน่คนผู้นั้นจะต้องโผล่หางออกมาเองแน่นอนขอรับ”
โหวเย่กล่าว “เช่นนั้นข้าจะไปปรึกษากับมารดาของเ้า”
สวี่เหรามิได้เอ่ยคำใดต่ออีก หลังจากกล่าวลากับโหวเย่แล้วก็ถือขนมรีบกลับไปในเรือนของตนเอง เดินไปก็คิดไปว่าจะนำทิวทัศน์ระหว่างทางมาทำเป็แผนที่ ดูแผนที่เมื่อครู่แล้วเปลืองกำลังเกินไป อีกทั้งยังไม่ค่อยชัดเจนนัก
สวี่จือกำลังเล่นอยู่กับสวี่ตี้ในเรือน พอเห็นสวี่เหราถือของกลับมาก็ร้องเรียกท่านพ่อด้วยความดีใจแล้ววิ่งไปที่ประตูใหญ่ สวี่เหราเห็นแล้วก็รีบวางของลงบนพื้นก่อนจะอุ้มสวี่จือที่วิ่งมาถึงตนเองขึ้นมา
สวี่ตี้เดินเข้ามาหยิบของบนพื้นที่สวี่เหราวางเอาไว้ก่อนจะเอ่ย “ไอ๊หยา ท่านพ่อ ท่านซื้อของกินมามากมายเลยนะขอรับ”
สวี่เหรากล่าว “ก็ไม่ได้มากเท่าไหร่หรอก ข้าเห็นริมถนนมีโรงเตี๊ยมมากมาย หากพวกเรามีเวลาว่างไปลองชิมกันดีหรือไม่ อีกไม่กี่วันพวกเ้าก็ต้องตามพ่อไปประจำการที่ชายแดนแล้ว หากอยากกินสิ่งใดพ่อไม่สามารถทำมาให้พวกเ้าได้หรอกหนา”
สวี่ตี้ได้ยินแล้วก็เอ่ยออกมาด้วยความดีใจเป็อย่างยิ่ง “ชายแดน? ท่านพ่อ ท่านจะไปประจำการที่ใดหรือขอรับ?”
สวี่เหราเอ่ยตอบ “เขตเหอซี พ่อคิดว่าคงจะอยู่ใกล้ๆ กับด่านเยี่ยนเหมิน”
สวี่เหราอุ้มสวี่จือ สวี่ตี้ถือของ ทั้งสามคนเข้าไปในเรือน เดินไปพูดคุยกันไป
สวี่ตี้ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “จะว่าไป พวกเราจะได้ไปอยู่ชายแดนแล้วหรือขอรับ มิรู้ว่าตอนนี้ทางนั้นปลอดภัยแล้วหรือไม่นะขอรับ”
สวี่เหราตอบ “ได้ยินจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อบอกว่าคุ้มครองอยู่ทางนั้น มีเขาอยู่จะไม่ปลอดภัยได้อย่างไร?”
จางจ้าวฉือที่กำลังจัดของได้ยินสองพ่อลูกพูดคุยกันนานแล้ว รอจนกระทั่งพวกเขาเข้ามาในเรือน เมื่อเห็นของในมือของสวี่ตี้ก็พูดออกมาด้วยความใ “ท่านพี่นี่รักลูกจริงๆ นะเ้าคะ ถึงได้ซื้อของกลับมามากมายขนาดนี้?”
สวี่เหราเอ่ยตอบ “ใช่สิ ข้าเห็นของสองอย่างนี้ดี อีกเดี๋ยวจะเอาไปให้กับฮูหยินผู้เฒ่าด้วย เมื่อครู่โหวเย่บอกกับข้าว่าตอนมื้อเย็นให้พวกเราสี่คนไปทานข้าวที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า พอดีเลยจะได้เอาติดมือไปด้วย พวกเราเองก็จะได้บอกกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าพวกเราจะไปกันทั้งครอบครัว เมื่อครู่ข้าพูดกับโหวเย่แล้ว ฟังจากคำพูดของโหวเย่แล้วเหมือนเขาจะไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้พวกเ้าสามคนติดตามไปด้วย”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็อดสงสัยมิได้ “เหตุใดกัน ไม่ให้ข้าที่เป็ภรรยาหลวงตามไป อยากจะให้เ้ามีอนุมาดูแลหรืออย่างไร? ถึงแม้พวกเราจะหน้าไม่อายแต่ข้าก็ยังมียางอายนะ สวี่เหรา ข้าจะบอกเ้าให้ หากเ้ามีความคิดที่จะเ้าชู้ ข้าจะพาลูกสองคนออกทะเลไปเลย ต่อไปพวกเราจะไม่กลับมาอีก”
สวี่เหรารีบท้วง “ดูเ้าสิ ต่อหน้าลูกๆ เหตุใดถึงได้พูดอะไรเช่นนี้ หลายปีมานี้ข้าคิดอย่างไรเ้าไม่เข้าใจเลยหรือ? นั่นเป็ต้นเหตุที่จะทำให้บ้านล่มจมนะ ครอบครัวพวกเรายังต้องใช้ชีวิตกันอย่างดี จะหาอนุกลับมาทำไมกัน เ้าว่าใช่หรือไม่?”
จางจ้าวฉือเอ่ย “เ้าคิดเช่นนี้ได้ก็ดีที่สุดแล้ว”
สวี่จือฟังคำพูดของบิดามารดาด้วยความใ นางไม่เคยคิดเลยว่ามารดาของตนเองจะดุเช่นนี้ สตรีที่เป็เช่นนี้มันไม่ดีมิใช่หรือ แต่ว่าประชากรในเรือนยิ่งน้อยยิ่งดี หากมีอนุขึ้นมาจริงๆ อย่าพูดถึงมารดาของตนเลย คาดว่าตนเองก็คงไม่ค่อยจะสบายใจเท่าไหร่นัก
ภายในจวนได้พูดกันออกไปแล้วว่า คุณชายสามเลือกรับตำแหน่งที่เขตเหอซี อีกไม่กี่วันจะต้องไปประจำการแล้ว
ตกเย็นสวี่เหรากับจางจ้าวฉือก็พาลูกๆ ทั้งสองคนไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ห้องรับแขกหลักของเรือนหลักด้านในได้จุดไฟเอาไว้แล้ว สาวใช้ยกสำรับอาหารมาจากโรงครัวใหญ่ ด้านในโรงครัวเล็กก็ส่งกลิ่นอาหารหอมยั่วน้ำลายเช่นกัน
ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าจัดเตรียมเอาไว้สองโต๊ะ หนึ่งโต๊ะเป็ฮูหยินผู้เฒ่า โหวฮูหยิน ฮูหยินของซื่อจื่อและจางจ้าวฉือที่พาสวี่จือมาด้วย อีกโต๊ะเป็โหวเย่ ซื่อจื่อ สวี่เหราและสวี่ตี้
เพราะว่าทุกคนในที่นี้ต่างเป็ครอบครัวเดียวกัน ระหว่างโต๊ะสองตัวจึงไม่ได้ใช้ฉากกั้น ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ต่อไปคุณชายสามของพวกเราก็จะเป็ขุนนางแล้ว อาศัยใน่ที่คุณชายสามยังไม่ไป คนแก่เช่นข้าก็อยากจะเลี้ยงอาหารคุณชายสามสักมื้อ ต่อไปออกไปอยู่ด้านนอก หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นนะ”
สวี่เหรากับสวี่ตี้รวมถึงจางจ้าวฉือต่างลุกขึ้น สวี่เหราคำนับขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นหญิงชราก็เรียกให้ทุกคนนั่งทานข้าว
หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวี่เหราก็บอกกล่าวเื่ที่ตนเองวางแผนเอาไว้ มือที่ถือตะเกียบของโหวฮูหยินชะงักไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ฮูหยินของคนที่ออกไปรับหน้าที่ด้านนอกปกติแล้วจะต้องอยู่ดูแลแม่สามีมิใช่หรือ?”
จางจ้าวฉือยิ้มก่อนจะกล่าว “ท่านแม่เ้าคะ ในเรือนก็ยังมีพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ใช่หรือ พี่สะใภ้ใหญ่ ต่อไปเื่ราวในเรือนก็ต้องรบกวนท่านดูแลแล้วเ้าค่ะ”
เมื่อมีคำพูดของจางจ้าวฉือมาดักเช่นนี้ โหวฮูหยินก็มิรู้ว่าจะรับมือต่อไปอย่างไรดี ทุกคนต่างรู้ว่าจางจ้าวฉือนั้นเป็คนยอมหักไม่ยอมงอ หลายปีมานี้โหวฮูหยินกลัวว่าจะเจอเื่เช่นที่จางจ้าวฉือมาเอาเื่กับโรงครัวใหญ่ในปีนั้น โชคดีที่คนในจวนไม่ก่อเื่ นางเองก็ไม่หาเื่ใส่ตัว ทว่าครั้งนี้ นางคิดจะติดตามไปประจำการกับสามี ในใจของโหวฮูหยินจะอย่างไรก็ไม่พอใจ
ตระกูลใหญ่ คนก็เยอะ อย่างตระกูลหย่งหนิงโหวนี้ แม่สามีกับภรรยามีเยอะเป็กองใหญ่ ทำอะไรก็ตามแต่ เ้ามองข้า ข้าต่อยเ้า อยู่ในเรือนจะต้องเคารพกฎของเรือน ไม่พูดถึงเื่การให้ความเคารพผู้าุโกว่าในเรือน ปกติแล้วความสัมพันธ์ในตอนนี้ก็ทำให้ปวดหัวมากพอแล้ว ใครๆ ต่างรู้ว่าการออกไปประจำการนอกเมืองหลวงนั้น ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะดีหรือไม่ดี แต่ก็ย่อมมีอิสระ คนสมัยก่อนเพราะมีบุรุษที่น่ารังเกียจของตนเป็ขุนนางในพื้นที่ทุรกันดาร ถึงได้ไม่อยากจะตามไปด้วย แล้วปักธงจะอยู่ดูแลแม่สามีอยู่ในจวน ความจริงแล้วคือไม่ยอมออกจากสถานที่สะดวกสบายของตนเองต่างหาก มีเพียงคนฉลาดเท่านั้นถึงจะยอมตามไปจริงๆ ไปเป็ครอบครัวของขุนนาง หากตรองดูให้ดีชีวิตเช่นนั้นต่างหากที่มีอิสระอย่างแท้จริง
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็คนชราที่มากประสบการณ์ จึงรู้ว่าเป็เพราะเหตุใด นางถอนหายใจก่อนจะกล่าว “หลายปีมานี้ ครอบครัวของคุณชายสามล้วนเจอเื่ราวที่ไม่ง่ายเลย อีกอย่างั้แ่แต่งงานกันมาทั้งสองคนก็ไม่เคยแยกจากกัน ข้าเห็นสมควรว่าควรไปด้วยกัน ส่วนเด็กสองคนนี้ อ่านหนังสือพันเล่มก็ยังมิสู้เดินทางหมื่นลี้ ตามไปเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วย ย่อมเป็เื่ที่ดี”
ฮูหยินผู้เฒ่าปกติแล้วมักไม่เอ่ยปาก แต่หากเอ่ยปากแล้ว เช่นนั้นก็จะต้องเป็เื่ที่สำคัญมาก
สวี่เหรากับจางจ้าวฉือพาลูกๆ ทั้งสองคนคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของฮูหยินผู้เฒ่า แล้วคำนับให้สามครั้ง
เชิงอรรถ
[1] คือการสอบเข้าขุนนางตำแหน่งซู่จี๋ซื่อ