บทที่ 98 สั่งสอนลู่จิ่งซาน
แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลอดหน้าต่างเข้ามาในห้อง บนเตียงที่กว้างขวางนั้น สองร่างเอนกายพักผ่อนแต่ราวกับอยู่คนละโลก
กลิ่นหอมเฉพาะตัวจากร่างของเด็กสาวราวกับจงใจท้าทายลู่จิ่งซาน แ่เบาแต่กลับรุกเร้า ลอยวนเวียนอยู่ในโพรงจมูกยากจะเมินเฉย
สิ่งที่น่ากระอักกระอ่วนยิ่งกว่าคือยามกลางคืนมาเยือน ความ้าขับถ่ายก็เริ่มก่อกวน
เคยไหม ยามกลางวันแสกๆ เมื่อปวดปัสสาวะ บางครั้งเราอาจกลั้นได้นานกว่าปกติ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็ยามราตรีอันเงียบสงัด ความรู้สึกนั้นกลับถูกขยายใหญ่จนเกินทน
เดิมทีสวี่จือจือตั้งใจจะไปยกถังปัสสาวะมาไว้ให้ แต่ลู่จิ่งซานก็ทำให้เธอโกรธจนลืมเลือนเื่นี้ไปสนิท หรือบางทีอาจจะจงใจลืม
เอาเป็ว่าเธอไม่ได้ไปยกมาแล้วกัน
ตอนนี้หากเขา้าเข้าห้องน้ำ จำต้องนั่งรถเข็นไปที่หลังบ้าน
ปัญหาคือรถเข็นของเขาจอดอยู่แค่หน้าบ้านเท่านั้น การจะไปหลังบ้านต้องข้ามธรณีประตูสูงถึงสองชั้นซึ่งเป็ไปไม่ได้
เขาพลิกตัวมองไปยังร่างของเด็กสาวที่หลับใหลภายใต้แสงจันทร์ สุดท้ายก็ไม่สามารถต้านทานสัญชาตญาณดิบเถื่อนของร่างกายได้จำต้องลุกขึ้นนั่ง แต่เมื่อเขากำลังจะลงจากเตียงก็ต้องชะงัก
รถเข็นของเขา...จำได้ว่าตอนขึ้นมานอนเขาจอดไว้ข้างเตียงแท้ๆ ทำไมตอนนี้กลับอยู่ไกลออกไปขนาดนั้น
ลู่จิ่งซานหันกลับไปมองเด็กสาวที่อยู่บนเตียง
เขานึกออกแล้ว ตอนที่เขาขึ้นมานอน เธอเคยลุกออกไปครั้งหนึ่ง
ลู่จิ่งซานยิ้มอย่างจนปัญญา จากนั้นจึงหันหลังลงจากเตียง
“ไม่น่าล่ะ คุณย่าถึงได้เรียกว่าคุณว่าเป็ลาหัวดื้อ” เสียงใสแจ๋วดังมาจากด้านหลัง
ลู่จิ่งซานนั่งลงบนขอบเตียงแล้วหันกลับไปมอง พบว่าเด็กสาวที่ควรจะหลับสนิทตอนนี้ตื่นขึ้นแล้ว
“มันยากนักหรือไงที่จะขอให้ฉันช่วย?” สวี่จือจือถาม “คุณยอมใช้ขาที่เจ็บของตัวเองมากกว่าจะเอ่ยปากบอกฉันเหรอ?” เธอถามย้ำพลางลุกจากเตียงเดินไปเปิดสวิตช์ไฟ
ภายใต้แสงไฟสลัว ลู่จิ่งซานพบว่าสีหน้าของเธอเ็าลงกว่าเดิม ราวกับมีบางสิ่งกำลังจะหลุดลอยไป เขาอยากจะคว้าไว้ แต่กลับไร้ซึ่งหนทาง
เธอลงจากเตียงเข็นรถเข็นมาจอดที่ข้างเตียง จากนั้นก็เดินออกไปยกถังปัสสาวะเข้ามา เมื่อกลับเข้ามาลู่จิ่งซานก็นั่งอยู่บนเตียงแล้ว
สวี่จือจือไม่ได้พูดอะไร เธอเดินออกไปอีกครั้ง เมื่อกลับเข้ามาอีกครั้ง ลู่จิ่งซานก็ขึ้นไปนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว
“พวกเรามาคุยกันหน่อยเถอะ” สวี่จือจือกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตอนนี้เธอไม่ได้โกรธเคืองแล้ว
รถเข็นคันนั้นเธอจงใจจอดไว้ตรงนั้น แต่เมื่อกี้ที่ได้เห็นท่าทีจนตรอกของเขา สวี่จือจือกลับรู้สึกสงสารจับใจ
ลู่จิ่งซานเป็วีรบุรุษ เขาไม่ควรต้องเป็เช่นนี้
“คุณอยากคุยเื่อะไร?” ลู่จิ่งซานถาม
“พวกเราทำสัญญาแต่งงานกัน” สวี่จือจือกล่าว “กำหนดเวลาสองปี สิ้นสุดสัญญาแล้วค่อยหย่าขาดจากกัน”
สวี่จือจือจำได้ว่าในนิยายเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อนโยบายเปิดกว้างในปีหน้า เหล่าบุคคลมากความสามารถมากมายก็จะกลับคืนสู่ตำแหน่งของตน หนึ่งในนั้นคือแพทย์แผนโบราณผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกท่านหนึ่ง ขาของลู่จิ่งซานได้รับการรักษาจนหายดีด้วยการดูแลของหมอคนนี้ เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองเดือนก็จะถึงปีใหม่แล้ว เมื่อพ้นปีไปแพทย์แผนโบราณท่านนั้นก็จะได้รับการกู้ชื่อ ถึงตอนนั้นลู่จิ่งซานก็จะไปพบแพทย์เพื่อรักษาขา ส่วนเธอก็จะตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย รอจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ขาของลู่จิ่งซานอาจจะยังไม่หายดีในทันที แต่จะได้รับการรักษาไปมากแล้ว
ถึงตอนนั้น...เหอะๆ...
ร่างเล็กๆ ในใจของสวี่จือจือยกมือเท้าสะเอวอย่างภาคภูมิใจ
“ตกลง” ลู่จิ่งซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “เบี้ยเลี้ยงของผมใน่สองปีนี้ ผมจะให้คุณทั้งหมด เมื่อสิ้นสุดสัญญา ทรัพย์สินทั้งหมดของผมก็จะตกเป็ของคุณด้วย”
สวี่จือจือรู้สึกว่าร่างเล็กๆ ในใจของเธอคงจะอดรนทนไม่ไหวที่จะะโเข้าไปสั่งสอนคนตรงหน้าสักยกใหญ่
คำพูดนี้ช่างน่าโดนตีเสียจริง เธอเป็ผู้หญิงที่ใช้เงินซื้อได้ง่ายๆ เหรอ?
เอ่อ...สวี่จือจือถอนหายใจ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเป็แบบนั้นจริงๆ ใครใช้ให้เบี้ยเลี้ยงของคนตรงหน้าสูงลิ่วเช่นนี้ เดือนหนึ่งคงจะได้ตั้งร้อยห้าสิบหยวนแล้วมั้ง?
“ตกลง แต่ว่า” เธอกล่าวต่อ “ใน่สองปีนี้ มีหน้าที่บางอย่างที่เราต้องปฏิบัติตามร่วมกัน เช่น การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ห้ามด่าทอ ห้ามใช้ความรุนแรงหรือการใช้ความเ็าเข้าหากัน ห้ามให้คนอื่นรู้ว่าเราทำสัญญากัน” สวี่จือจือกล่าว
“และใน่สองปีนี้คุณต้องไม่โกหกฉัน หากคุณเจอคนที่ชอบ คุณบอกฉันได้ทันที พวกเราจะยกเลิกสัญญากัน แต่ฉันรับไม่ได้เด็ดขาดถ้าคุณสวมหมวกเขียวให้ฉัน”
ยิ่งเธอพูดสีหน้าของลู่จิ่งซานก็ยิ่งดำคล้ำลง
ข้อความก่อนหน้านี้เขาพอจะเข้าใจได้ แต่ไอ้เื่สวมหมวกเขียวอะไรนั่น?
“ผมก็ไม่ชอบให้ใครมาสวมหมวกเขียวให้เหมือนกัน” เขากล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง
จุ๊ๆ...แค่นี้ก็หน้าดำแล้วเหรอ?
สวี่จือจือยิ้มจากนั้นจึงหยิบสมุดและปากกาจากโต๊ะเครื่องแป้งส่งให้ลู่จิ่งซาน
ลู่จิ่งซานก้มหน้าลงเขียนอะไรบางอย่างด้วยความคล่องแคล่ว แล้วเซ็นชื่อกำกับไว้อย่างสวยงาม
สวี่จือจือไม่รีรอรับมาอ่าน เมื่อไม่เห็นข้อโต้แย้งใดๆ จึงเซ็นชื่อของตนเองลงไป
ลายมือของเขายังคงสวยงามเหมือนเดิม
สวี่จือจือรู้สึกหงุดหงิดใจ
ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้รับจดหมายจากเขา หัวใจของเธอยังรู้สึกหวานชื่นอยู่เลย สุดท้ายจดหมายฉบับนั้นยังไม่ทันอุ่นร้อนก็มีสัญญาฉบับนี้โผล่มาอีกแล้ว
ดูเหมือนว่าลู่จิ่งซานเองก็จะคิดถึงเื่นี้เช่นกัน
ชั่วขณะหนึ่งทั้งสองคนจึงตกอยู่ในความเงียบงัน
“เอาล่ะ”
สวี่จือจือพับกระดาษของตัวเองเก็บไว้ในกล่องเหล็กจากตู้เสื้อผ้า ข้างในนั้นมีหลักฐานการรับเบี้ยเลี้ยงของลู่จิ่งซานรวมถึงจดหมายที่เขาเคยเขียนให้เธอ
“พวกเราไม่รู้ว่าบ้านเราปลอดภัยหรือเปล่า” สวี่จือจือพึมพำเบาๆ “วันหน้าฉันจะไปหาซื้อกล่องที่มีกุญแจล็อค”
ลู่จิ่งซานเหลือบมองเธอ แต่ไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้จะมีกุญแจล็อค หากเขา้าจะเปิดคงไม่ใช่เื่ยาก
สวี่จือจือไม่รู้เื่เหล่านี้ เธอเก็บกล่องเหล็กไว้ที่เดิมแล้วมองหน้าลู่จิ่งซาน “คุณจะไม่กลับคำแล้วแอบเอาสัญญาของฉันไปทำลายทิ้งหรอกใช่ไหม?”
ลู่จิ่งซาน “...” นี่ไม่ไว้ใจเขาขนาดนี้เลยเหรอ?
“ไม่หรอก” เขากล่าว “ผมรับประกัน”
สวี่จือจือมองเขาด้วยสายตาที่เคลือบแคลง “ฉันเชื่อว่าคุณไม่กล้าหรอก”
ลู่จิ่งซาน “...” สุดท้ายก็ทำให้เด็กคนนี้โกรธจนได้ คงจะแค้นฝังหุ่นไปแล้ว
สวี่จือจือกล่าวจบก็ขึ้นไปนอนบนเตียง “พรุ่งนี้คุณคิดดูว่าจะบอกเื่นี้กับคุณย่ายังไงดี ห้ามให้คุณย่ารู้ความจริงเด็ดขาด”
ไม่อย่างนั้นจากที่เคยยืนกรานจะไล่เธอออกไป แต่เมื่อคืนกลับเปลี่ยนใจ คุณย่าไม่ใช่คนที่จะหลอกง่ายๆ สักหน่อย
“คุณย่าแก่แล้ว อย่าทำให้ท่านเป็กังวลอีกเลย” สวี่จือจือกล่าวเสียงเรียบ
ลู่จิ่งซาน “...” เขายิ้มอย่างจนปัญญา แล้วตามขึ้นไปนอนบนเตียง
สวี่จือจือคิดว่าตัวเองคงนอนไม่หลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีลู่จิ่งซานที่ทำให้เธอโกรธนอนอยู่ข้างๆ ใครจะรู้ว่าคิดไปคิดมาก็ผล็อยหลับไปซะอย่างนั้น เมื่อตื่นขึ้นมากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของลู่จิ่งซาน
ผ้าห่มถูกพับไว้อย่างเรียบร้อยราวกับก้อนเต้าหู้ และในลานบ้านมีเสียงคนพูดคุยกันอยู่
.............................