บทที่ 3
รอไม่ไหว
วังหลวงยังคงปกคลุมด้วยหิมะหนาท้องฟ้าเทาเย็นเยียบราวถูกกลืนด้วยความเงียบของฤดูหนา รถม้าสีเทาเรียบเคลื่อนผ่านประตูทิศเหนืออย่างช้า ๆ ม่านผ้าคลี่ออก เผยให้เห็นหญิงสาวใน ชุดแพรขาวสะอาดดั่งหิมะต้นปี ดวงหน้าของนางขาวนวลราวหยกยังไม่เจียร ดวงตาโค้งหวานแฝงประกายละเมียดละไม ขนตายาวสั่นระริกใต้ลมหนาว ริมฝีปากซีดจางแต่โค้งละมุน
“หม่อมฉัน...มาจากชายแดนเพคะ”เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ก็เหมือนหิมะทั้งลานละลายลงในพริบตา “มีของถวายให้องค์รัชทายาทด้วยตนเอง” เสียงของนางอ่อนโยน ละไมจนลมหนาวยังเหมือนพายพัดช้าลงเพื่อฟังนาง
ขันทีที่ประจำประตูแทบลืมหายใจไปชั่วครู่ ก่อนรีบส่งข่าวเข้าไปในจวน ไม่นานเสียงรับสั่งดังออกมาจากตำหนักตะวันออก
“ให้เข้ามา”
เมื่อประตูห้องทรงอักษรเปิดออก ลมหนาวพัดกลีบเหมยปลิวเข้ามาพร้อมร่างบางในชุดขาว หลี่เจี๋ยอวิ๋นเงยหน้า แล้วแววตาแข็งกร้าวของแม่ทัพผู้ผ่านากลับอ่อนลงทันที
หญิงตรงหน้านั้น...งามอย่างไม่อาจเปรียบ ผิวขาวนวลราวหิมะในยามเช้า แก้มระเรื่อดั่งต้องแดดแรก ดวงตาหวานลึกคล้ายจะร้องไห้ทุกเมื่อ เส้นผมดำขลับปล่อยยาวถึงเอว พริ้วไปตามแรงลมที่ลอดเข้ามา
“เหยาเอ๋อร์...” เขาเรียกชื่อเธออย่างแ่เบา “เ้าตามมาจริง ๆ”
“หม่อมฉัน...อยากตามท่านมานานแล้วเพคะ”นางค้อมกายลง น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว “แต่ไม่รู้ว่าควรกลับมาในฐานะใด...”
หลี่เจี๋ยอวิ๋นเดินเข้าไปหานาง มือใหญ่แตะคางเธอเบา ๆ
“ต่อให้เ้าไม่มา...ข้าก็จะให้คนไปเรียกเ้าเข้าวังอยู่ดี”
นางชะงัก ดวงตาสั่นระริก
“ท่าน...พูดจริงหรือเพคะ?”
“ข้ารู้ว่าพ่อเ้าส่งสาส์นมาแล้ว เขาเองก็เห็นชอบ แต่ข้าต้องรอให้เหมาะสม…ข้าอยากตั้งเ้าเป็ชายารองอย่างสมเกียรติ...”
เธอส่ายหน้าเบา ๆ แววตาเริ่มรื้น
“แต่ข้า...ไม่อยากรออีกแล้วเพคะ”
ซูเหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาหวานฉ่ำคลอด้วยน้ำตาแต่แฝงแววเด็ดเดี่ยว ขนตาสั่นช้า ๆ เหมือนกลัวว่าหากพูดออกไปอีกคำ น้ำตาจะร่วง
“หม่อมฉันรู้ว่าท่านแต่งตั้งชายาเอกแล้ว นางสูงส่งนัก...ตระกูลเสิ่นใหญ่จนข้าไม่อาจเปรียบได้ แต่หากวันหนึ่งนางมีบุตร นางคงไม่ยอมให้ข้าได้เข้าวังอยู่เคียงข้างท่านเป็แน่” เสียงนางเบา แต่ทุกคำเหมือนกรีดลึกลงกลางใจของเขา “ข้าไม่อยากรอให้วันนั้นมาถึงเพคะ...ข้าขออยู่กับท่านตอนนี้ในฐานะสนมของท่านก็ยังดี”
หลี่เจี๋ยอวิ๋นกำหมัดแน่นแต่เมื่อมองเห็นดวงหน้าที่แดงเรื่อจากความหนาว ริมฝีปากที่สั่นและรอยยิ้มที่ยังฝืนอยู่หัวใจของเขาก็สั่นตาม
“เ้ารู้หรือไม่ว่าพูดเช่นนี้อันตรายแค่ไหน...”
“รู้เพคะ” เธอยิ้มบางทั้งน้ำตา “แต่หากต้องรอพิธี ข้าขอเลือกที่จะได้อยู่ใกล้ท่านมากกว่า”
เขาหลับตาแน่น ก่อนพูดแ่เบา
“เ้ามันบ้าชะมัด...แต่ข้าก็ไม่มีวันห้ามเ้าได้เลย”
.
.
.
รุ่งเช้าวันต่อมา
แสงแดดส่องลอดม่านบาง หิมะที่ตกหนักทั้งคืนกลับละลายราวเวทมนตร์ นางเดินผ่านสวนวัง ดอกเหมยเริ่มผลิกลีบแรก แม้ยังเป็ฤดูหนาว ขันทีในวังต่างพึมพำกันเบา ๆ
“ั้แ่นางก้าวเข้าวังอยู่ๆ บรรยากาศในวังก็ดูอบอุ่นขึ้นมาเลย...เ้าว่าไหม”
ในเรือนเล็กแห่งหนึ่ง ซูเหยานั่งหน้ากระจกพินิจเงาในกระจกของตน ผมดำขลับแผ่ลงบนไหล่ ผิวขาวนวลยิ่งกว่าแพรช่างดูอ่อนหวานเหลือคณา
“คุณหนูเพคะ...ท่านพ่อจะเป็ห่วงแน่ หากรู้ว่าท่านอยู่ในวังโดยไม่มีราชโองการ!” นางกำนัลรีบเข้ามาเสียงสั่น
“พ่อข้ารู้ดี เขาเป็คนวางทางให้ข้าเอง เพียงแต่ไม่อยากให้ผู้คนเห็นว่าเราชิงอำนาจ”นางยิ้มอ่อนในกระจก แก้มบางแดงระเรื่อ
“แต่ถ้าคนรู้…”
“ข้าไม่สน” เสียงของนางนุ่มแต่มั่นคง “ในวังนี้ หญิงที่มีบุตรก่อน คือหญิงที่รอด ตระกูลเสิ่นสูงส่งนัก ข้าไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้ นอกจากเสียจากว่าข้าจะมีบุตรก่อนนาง”
แววตาในกระจกสะท้อนเปลวไฟ
นางกำนัลถือผ้าแพรสีชมพูมา
“คุณหนูเพคะ...ทางฝ่ายในส่งผ้านี้มาให้ตัดชุดถวายตัว สีชมพูจะดูนุ่มนวล เหมาะกับฐานะ…”
ซูเหยาเงยหน้าช้า ๆ ดวงตาหวานกลับแฝงแสงกร้าวในคราวเดียว
“สีชมพู...” เธอหัวเราะเบา ๆ “เหมาะกับสนมที่รอให้คนเมตตา”
“แต่ข้า...ไม่ใช่”
เธอเปิดหีบ หยิบผ้าไหมสีแดงสดขึ้นมา แสงแดดยามเช้าส่องให้ประกายผ้าสว่างราวไฟลุก
“สีชมพูเหมาะกับสนม...”
“แต่ข้าไม่ใช่!!”
ในวันนั้น หิมะหยุดตก วังทั้งวังเริ่มอุ่นขึ้นโดยไม่มีใครเข้าใจว่าเพราะเหตุใด ขันทีคนหนึ่งกระซิบกับอีกคนเบา ๆ
“เมื่อคืนยังหนาวจนมือแข็ง แต่พอเช้านี้นางเข้าวัง...เหมือนฤดูใบไม้ผลิกลับมา”
และในเรือนเล็กกลางวัง หญิงในชุดขาวนั่งเย็บผ้าไหมสีแดงอยู่เงียบ ๆ แสงเทียนส่องใบหน้าที่อ่อนหวานดั่งนางฟ้า แต่ในดวงตาแฝงเพลิงแห่งความมุ่งมั่นไม่สิ้นสุด
“หากวันนี้ข้าไม่ได้เป็ชายา...”
“แต่วันหน้าจะเป็ของข้าอย่างแน่นอน…”
