ลมหนาวที่พัดโชยตลอดคืนทำให้กระเบื้องเคลือบสีมรกตถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งสีขาว แลดูงดงามยิ่งหากมองจากด้านนอกแล้วจวนอ๋องที่มีอาคารสูงและกำแพงแ่าแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากจวนใหญ่หลังอื่น ๆในเมืองหลวงเลย หากแต่ด้านในกลับเป็ตำหนักหลังงามที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนอันแสนประณีต
“ฮั่วเซียงพระสนมเหอตื่นหรือยัง? ” หญิงงามที่แต่งกายชุดสุภาพถามบ่าวรับใช้หน้าเรือน
“ตื่นได้สักพักแล้วเ้าค่ะแต่ยังไม่ได้แต่งตัว พี่สวีมีเื่ด่วนอันใดหรือเ้าคะ? ”
สวีซื่อเหนียงทำท่าจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไว้เพียงเท่านั้น แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่มีเื่ด่วนอันใดหรอกข้าแค่มาถวายบังคมนายหญิงเท่านั้น”
สวีซื่อเหนียงเป็บ่าวที่แต่งเข้ามาพร้อมกับพระชายารองโจวชิงหลานนางเคยปรนนิบัติรับใช้ท่านอ๋องอยู่หลายครั้งสถานะของนางจึงเป็เสมือนบ่าวกึ่งเ้านายอีกทั้งตอนนี้พระชายารองโจวก็เป็คนดูแลจวนอ๋องเื่น้อยใหญ่กว่าครึ่งในจวนจึงอยู่ภายใต้การดูแลของสวีซื่อเหนียงสายน้ำมีขึ้นมีลง ชีวิตช่างไม่เที่ยงเมื่อลองนึกย้อนไปถึง่เวลาแสนยากลำบากในตำหนักต้าหนิงแล้ว ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ตอนนั้นหมอหลวงสงสัยว่าพระชายารองโจวอาจเป็วัณโรคเคราะห์ร้ายกว่านั้นคือครอบครัวของพระชายารองโจวดันเกิดคดีความทางการขึ้นอีกแม้แต่ท่านอ๋องก็ช่วยอันใดตระกูลโจวไม่ได้หลายคราที่พระชายารองโจวอยากจะะโน้ำเพื่อให้พ้นทุกข์แต่พระสนมเหอก็ห้ามเอาไว้ทุกครั้ง
พระสนมเหอตังกุยเดิมเป็คุณหนูจากตระกูลแพทย์ จึงพอมีความรู้เื่การรักษาโรคอยู่บ้างนางบอกว่าโรคที่พระชายารองเป็นั้น เป็เพียงโรคทางลำคอขอเพียงรักษาอย่างระมัดระวังก็จะกลับมาแข็งแรงได้ดังเดิมเมื่อบ่าวรับใช้ไม่ยอมต้มยาให้พระชายารองโจวพระสนมเหอก็จำต้องลงมือทั้งต้มและนำยาไปส่งให้ถึงตำหนักด้วยตนเองทว่าพระชายาเซี่ยเฉี่ยวเฟิง ผู้เป็พระชายาเอกกลับสั่งให้ขังพระสนมเหอและพระชายารองโจวไว้ในตำหนักเป็เวลาหลายเดือนโดยอ้างว่ากลัวทั้งสองจะนำโรคมาติดท่านอ๋อง
แต่เพราะผู้คนในจวนไม่ชอบพระชายาเซี่ยมาโดยตลอดวันหนึ่งอริของพระชายาเซี่ยจึงลอบนำเื่นี้ไปบอกกับแม่นมชราของท่านอ๋องแม่นมผู้นี้เป็ผู้มีจิตใจเมตตา มักจะสวดมนต์และกินเจอยู่เป็ประจำทันทีที่รู้เื่ก็สั่งให้ปล่อยทั้งสองออกมาทว่าพระชายาเซี่ยกลับเข้าขัดขวางไว้เสียก่อน ทั้งยังจะเผาตำหนักคุมขังทิ้งโดยอ้างว่าในจวนมีสิ่งอัปมงคลอยู่พวกนางถกเถียงกันอยู่นานจนเื่รู้ไปถึงหูท่านอ๋อง แต่เพราะท่านอ๋องเคารพรักแม่นมของตนมากจึงสั่งให้ปล่อยทั้งสองตามที่แม่นม้า
เพียงไม่นานพระชายารองโจวและพระสนมเหอก็ถูกนำตัวไปยังโถงรับแขกภายในจวนทั้งสองทำให้ผู้คนทั้งหลายตกตะลึงไปตาม ๆ กันเพราะพระชายารองโจวนั้นมีใบหน้าสีแดงระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี ไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิดและที่น่าใยิ่งไปกว่านั้นคือแม้ทั้งสองจะถูกคุมขังอยู่ในตำหนักกินอยู่อย่างยากลำบากเป็เวลานาน ทว่าพวกนางไม่ได้ซูบผอมเลยแม้แต่น้อยกลับยังคงสง่างามแม้จะแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่เรียบง่ายก็ตาม
เมื่อแม่นมกล่าวถามจึงได้รู้จากปากของพระชายารองโจวว่า เป็เพราะมีพระสนมเหอคอยดูแลอย่างใกล้ชิดทุกวันโรคทางลำคอของจึงหายเป็ปกติ พระชายารองโจวกล่าวทั้งน้ำตาว่านอกจากนางจะยกอาหารทั้งหมดที่บ่าวรับใช้ส่งมาให้ทุกวันแก่ตนแล้วพระสนมเหอยังทนลำบาก ปลูกยาสมุนไพรไว้เต็มตำหนัก และเพราะยาสมุนไพรพวกนี้โรคของตนจึงหายดีได้
ทางด้านพระชายาเซี่ยเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำสีหน้าไม่ถูกรีบหันไปต่อว่าบ่าวรับใช้ที่ดูแลเื่อาหารและข้าวของเครื่องใช้ทันทีว่าเหตุใดถึงไม่ดูแลผู้เป็นายทั้งสองให้ดี
แม่นมชราชื่นชมพระสนมเหออย่างมากทั้งยังถามไถ่ว่า ต้องปลูกพืชสมุนไพรด้วยตนเอง คงจะลำบากมากใช่หรือไม่พระสนมเหอจึงตอบกลับไปว่า เป็เพราะพระชายาเซี่ยพระชายารองโจวจึงได้รักษาตัวในที่สงบ เป็เหตุให้หายเร็วถึงเพียงนี้ยิ่งไปกว่านั้น บ่าวทั้งหลายก็ดูแลรับใช้พวกนางเป็อย่างดีมีทั้งอาหารและข้าวของเครื่องใช้ให้อย่างครบครัน ตนจึงมีเวลาว่างพอจนสามารถปลูกพืชสมุนไพรได้
นอกจากจะแก้ต่างให้พระชายาเอกได้แล้วคำพูดนี้ยังทำให้ท่านอ๋องหันมาสนใจนางมากยิ่งขึ้นท่ามกลางเหล่าอนุผู้งดงามราวกับบุปผาที่แก่งแย่งชิงดีกันแล้วเหอตังกุยเปรียบเสมือนดอกบัวสีชืดในบึงน้ำ งามสง่าทว่าไม่สะดุดตาเป็ดั่งดอกบัวที่ส่งเพียงกลิ่นหอมจางๆ อย่างสงบ นับแต่นั้นเป็ต้นมาเหอตังกุยก็ได้รับความโปรดปรานจากแม่นมชราทั้งยังได้รับความรักและเมตตาจากท่านอ๋องอีก โดยความรักที่ท่านอ๋องมีต่อนางถือเป็ความรู้สึกที่พิเศษกว่าพระชายาและเหล่าอนุในจวนทั้งหมด
ในตอนนั้นเองที่วังหลวงก็มีความเคลื่อนไหวทางราชสำนักตรวจสอบจนทราบแน่ชัดแล้วว่าครอบครัวของพระชายารองโจวไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการก่อฏคนในตระกูลโจวจึงกลับไปรับตำแหน่งทางราชการอีกครั้ง
ครึ่งปีก่อนพระชายาเซี่ยได้ทรมานสาวใช้ต้นห้องจนตายต่อมาภายหลังจึงทราบว่าสาวใช้นางนั้นตั้งครรภ์ลูกของท่านอ๋องอยู่ท่านอ๋องทรงกริ้วจัดจึงสั่งกักตัวพระชายาเซี่ยไว้ในตำหนักให้นางทบทวนถึงสิ่งที่ทำผิดพลาดไป จากนั้นมอบอำนาจดูแลจวนแก่พระชายารองโจวทางด้านพระชายารองโจวก็เป็คนรู้สำนึกบุญคุณคนเช่นกัน แม้กระทั่งตอนนี้เมื่อพูดถึงเื่นั้น นางก็ยังเอาแต่กล่าวชื่นชมพระสนมเหอตังกุยทั้งน้ำตา ั้แ่นางได้เป็ผู้ดูแลจวนก็เอาใจใส่เรือนของพระสนมเหอมาโดยตลอดและมักจะส่งสวีซื่อเหนียงซึ่งเป็คนสนิทที่นางไว้ใจที่สุดมาถามไถ่เยี่ยมเยือนรวมถึงส่งของมาให้เป็ประจำ
“ข้างนอกนั่นเป็พี่สวีใช่หรือไม่เ้าคะ?นายหญิงเชิญให้พี่เข้ามาข้างในเ้าค่ะ” สาวใช้ภายในตำหนักะโบอกสวีซื่อเหนียงจึงผลักประตูเดินเข้าไปก่อนจะพบว่าที่ริมหน้าต่างมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ แต่เพราะร่างนั้นหันหน้าเข้าหาแสงทำให้เห็นเพียงเงาร่างอรชรเท่านั้น สวีซื่อเหนียงรีบย่อเข่าคารวะแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นายหญิงอาการดีขึ้นหรือยังเ้าคะ? ”
หญิงนางนั้นยิ้มให้ตัวเองในกระจกเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้น“รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ลำบากพระชายารองโจวต้องคอยเป็ห่วงข้า ซื่อเหนียงเ้านั่งก่อนเถอะ” นางคือพระสนมเหอ อนุที่ท่านอ๋องโปรดปรานที่สุดนั่นเอง
เมื่อย่อตัวลงนั่งซื่อเหนียงจึงสังเกตเห็นว่าตงเฉ่ากำลังเกล้าผมให้พระสนมเหอ กระทั่งทำม้วนผมจนเสร็จตงเฉ่าจึงถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“นายหญิงวันนี้จะประดับปิ่นอันไหนดีเ้าคะ? ” เหอตังกุยส่ายหน้าปฏิเสธ“มันหนักน่ะ อย่างไรเสีย ข้าก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกอยู่แล้ว ไม่ต้องปักหรอก”
เมื่อได้ยินดังนั้นสวีซื่อเหนียงจึงกล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่ ตอนเดินผ่านสวนตะวันออกข้าเห็นว่าดอกไห่ถังที่นั่นบานสวยนักเหตุใดนายหญิงจึงไม่สั่งให้คนไปเด็ดมาประดับผมล่ะเ้าคะกลิ่นหอมของมันทำให้จิตใจสงบได้ด้วยเ้าค่ะ”
เหอตังกุยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม“ตงเฉ่า รีบไปเด็ดมา” ตงเฉ่าขานรับ ก่อนจะเดินจากไป
เหอตังกุยมองสวีซื่อเหนียงแวบหนึ่งก่อนกล่าว“พระชายารองโจวมีเื่อันใดหรือไม่? ”
สวีซื่อเหนียงพยักหน้ารับแล้วตอบกลับไป“มีเ้าค่ะ เมื่อหลายวันก่อน พระชายารองโจวพบว่าเงินหายไปก้อนหนึ่งและเงินก้อนนี้ก็เป็เงินที่ฮูหยินนำไปให้ตำหนักผู้ยากไร้เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่น่ะเ้าค่ะ”
เหอตังกุยมุ่นคิ้วพลางถามต่อ“เงินขาดไปเท่าใด? ”
สวีซื่อเหนียงมองสำรวจโดยรอบแวบหนึ่งก่อนตอบเสียงแ่ “สองพันตำลึงเ้าค่ะ”
เหอตังกุยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจเบา ๆ “เื่นั้น ข้าพอจะรู้อยู่บ้างแล้วท่านแม่นมช่างสะเพร่าเสียจริง แม้เงินในบัญชีจะมีมากพอจะเติมส่วนที่ขาดหายไปได้ก็เถอะแต่หากท่านอ๋องรู้เื่นี้เข้า ต้องหนักใจกันทั้งสองฝ่ายแน่”
สวีซื่อเหนียงรีบกล่าวปลอบ“นายหญิงอย่ากังวลไปเลยเ้าค่ะ ยังดีที่พระชายารองโจวพบปัญหาเสียก่อนตอนนี้บัญชีได้รับการแก้ไขใหม่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาตรวจสอบแล้วเ้าค่ะ”
เหอตังกุยพยักหน้า“อย่างนั้นก็ดี”
พูดไปพลางสวีซื่อเหนียงก็กดเสียงจนแ่ลงยิ่งกว่าเดิม“เพียงแต่...พระชายารองโจวทราบมาว่าพระชายาเซี่ยก็กำลังจับตาดูเื่นี้เช่นกันไม่แน่ว่านางอาจนำเื่ไปทูลต่อท่านอ๋องดังนั้นพระชายารองโจวจึงอยากขอให้นายหญิงช่วยรับผิดเื่นี้แทนท่านแม่นมที่ตายไปชื่อเสียงของท่านจะได้ไม่ด่างพร้อย” ด้วยเพราะกลัวเหอตังกุยจะปฏิเสธจึงกล่าวเสริมว่า “ตอนนี้ พวกเราก็หาเงินมาทดแทนส่วนที่ขาดได้แล้วจากนี้เราก็แค่พูดเป็เสียงเดียวกันว่าท่านเคยนำเงินสามร้อยตำลึงไปแจกจ่ายแก่ประชาชนผู้ลี้ภัยก็พอแล้วเ้าค่ะ”
เหอตังกุยยกมือลูบแท่นหยกเย็นใต้กระจกพลางกล่าวด้วยความเศร้าหมอง “ข้ารู้ว่าท่านแม่นมทำแต่เื่ดี ๆที่เป็บุญเป็กุศลมาทั้งชีวิตมีเพียงเื่นี้เท่านั้นที่นางใช้ความรู้สึกส่วนตัวก่อนหน้านี้ข้าก็เคยปรามท่านด้วยความไม่เข้าใจอยู่หลายครั้ง ทว่าพอมาตอนนี้เมื่อได้เป็แม่คนถึงได้เข้าใจความรู้สึกที่คนเป็แม่มีต่อลูก...” พูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงของนางก็แหบพร่าลงเป็เวลานานกว่าจะยืดตัวลุกขึ้นหมุนกลับไปกล่าวกับสวีซื่อเหนียงด้วยรอยยิ้ม“ได้เวลาให้นมเถียนเจียเอ๋อร์แล้ว พวกเราไปดูนางกันเถอะ” สวีซื่อเหนียงเข้าใจดีว่าเหอตังกุยรับปากช่วยเื่นี้แล้วจึงแอบถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความโล่งอก
เถียนเจียเอ๋อร์เป็ทารกที่คลอดก่อนกำหนดกระทั่งอายุสองเดือนถึงจะสามารถลืมตาดูโลกได้ จนถึงตอนนี้เด็กน้อยก็มักจะมีท่าทางเหนื่อยอ่อนและเซื่องซึมเป็ส่วนมากร้องไห้งอแงเพียงน้อยครั้ง เนื่องด้วยเหอตังกุยรักลูกมากนางจึงไม่ยอมเชิญแม่นมมาให้นมลูก และยังเป็คนดูแลลูกด้วยตัวเองแม้จะมีร่างกายอ่อนแอหลังจากคลอดก็ตามท่านหมอจ่ายยาบำรุงให้เถียนเจียเอ๋อร์เป็จำนวนมากและทุกครั้งนางก็จะดื่มยานั้นลงไป แล้วค่อย ๆ ป้อนยาบุตรสาวผ่านทางการให้นมแทน
“นายหญิงรักท่านหญิงเถียนเจียเอ๋อร์ดั่งแก้วตาดวงใจจริงๆ นะเ้าคะ” สวีซื่อเหนียงกล่าวชื่นชม “อย่าว่าแต่ในจวนของพวกเราเลยแม้แต่จวนขุนนางหรือจวนพ่อค้าด้านนอก ก็ยังไม่มีฮูหยินคนไหนให้นมลูกเองเลย ใคร ๆก็เชิญแม่นมมาช่วยเลี้ยงทั้งนั้น ตอนเด็ก ๆ บ่าวเคยได้ยินมาว่าน้ำนมเกิดจากเืของมารดาเหตุนี้จึงจะเสียน้ำนมไปง่าย ๆ ไม่ได้เด็ดขาดทว่านายหญิงกลับไม่ถือสาเื่นี้เลยสักนิด! ”
เหอตังกุยดูลูกน้อยที่หลับตาพริ้มใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ตอนเด็ก ๆ ข้าก็เคยได้ยินมาว่าหากเด็กคนไหนได้กินนมมารดา เมื่อโตขึ้นจะเป็คนเฉลียวฉลาด ดังนั้น...”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ นางก็หลุบตาลง แพขนตางอนทอดเงาแห่งความสลดหดหู่
สวีซื่อเหนียงหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะรีบกล่าว“ดังนั้น นายหญิงก็เลยเฉลียวฉลาดเช่นนี้สินะเ้าคะ! ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันนั้นจู่ ๆ ก็มีเสียงโหวกเหวกดังมาจากด้านนอก เหอตังกุยจึงวางลูกน้อยลงแล้วขมวดคิ้วมองออกไปนอกเรือนทันที สวีซื่อเหนียงก็ะเิอารมณ์แล้วตวาดไป “ใครกันไม่มีมารยาทเอาเสียเลย กล้ามาทำเสียงดังหน้าเรือนพระสนมเหอเชียวหรือ! ”
ทันทีที่กล่าวจบประโยคร่างใครบางคนก็ก้าวเข้ามาจากที่ไกลลิบ นั่นทำให้สวีซื่อเหนียงใจนหน้าซีดรีบคุกเข่าลงบนพื้นทันที “เป็บ่าวที่ปากพล่อยไป ขอท่านอ๋องทรงไว้ชีวิตด้วย! ”
ผู้มาเยือนสวมชุดยาวสีฟ้าและสวมกวานทองคำไว้บนศีรษะเขาสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถเดินอ้อมร่างของสวีซื่อเหนียงมาหยุดอยู่กลางเรือนสวีซื่อเหนียงไม่กล้าลุกขึ้นยืน จึงส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังพระสนมเหอเหอตังกุยจึงยิ้มแล้วกล่าวแก้ไขสถานการณ์ “ยังไม่รีบไปชงชาให้ท่านอ๋องอีก! ”เมื่อได้ยินดังนั้น สวีซื่อเหนียงจึงรีบถอยออกจากเรือนตามคำสั่งทันที
เหอตังกุยเดินตามเข้าไปในเรือนแต่กลับพบว่าท่านอ๋องมีสีหน้าบูดบึ้งดวงเนตรสีชาลึกล้ำดุจห้วงมหาสมุทรคู่นั้นกำลังจ้องเขม็งมาที่นางเหอตังกุยสะดุ้งใก่อนจะฝืนยิ้มพลางกล่าวถาม “เป็อันใดหรือเปล่าเพคะเพิ่งเข้ามาก็ทำหน้าบึ้งเช่นนี้ ใครกล้ากระตุกหนวดเสือของพระองค์กันเพคะ? ”
ท่านอ๋องกำหมัดสองข้างแน่นเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงจ้องเขม็งไปทางนางเท่านั้น ในตอนนั้นเองมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าตำหนักมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ นอกจากบรรดาเ้านายทั้งหลายซึ่งได้แก่พระชายาเอกเซี่ย พระชายารองโจว พระชายารองว่านและนายหญิงกู่แล้วยังมีพ่อจวน สาวใช้และชายร่างกำยำในชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบอีกหลายคน
เหอตังกุยมองไปยังคนเ่าั้ด้วยความประหลาดใจก่อนจะมองท่านอ๋องอีกครั้ง แล้วถามด้วยความสงสัย “ใครก็ได้ช่วยบอกข้าทีเถอะนี่มันเกิดเื่อันใดขึ้น? ”
พระชายาเซี่ยในชุดกระโปรงปักลายนกล้อมหงส์ยาวลากพื้นเดินมาหยุดอยู่ข้างท่านอ๋องด้วยใบหน้าเย้ยหยันแล้วกล่าวว่า “เหอตังกุย ตอนนี้พวกเรามีทั้งพยานและหลักฐานแ่าเ้ามีอันใดจะพูดอีกหรือไม่! ”
เหอตังกุยทำความเคารพต่อพระชายาเอกด้วยท่าทีสุภาพเรียบร้อยตามธรรมเนียมแล้วตอบกลับไป “จะให้หม่อมฉันยอมรับในเื่ที่ไม่เคยทำได้อย่างไรเพคะ? ”
พระชายาเซี่ยเบิกตาโพลงด้วยความโกรธ“ดูซิ ว่าเ้าจะปากแข็งไปได้ถึงเมื่อไร พ่อจวนโจว นำหนังสือบัญชีมาให้ท่านอ๋องดู”หลังสิ้นเสียงก็มีคนนำบันทึกเล่มสีฟ้าเข้ามาให้ทันทีเมื่อท่านอ๋องดูแล้วก็ปาบันทึกเล่มนั้นลงบนโต๊ะอย่างแรงทว่าพระชายาเซี่ยกลับพูดต่อไปอย่างไม่ใส่ใจการกระทำนั้นเลยแม้แต่น้อย “เหอตังกุยตอนยังมีชีวิตอยู่ ท่านแม่นมโปรดปรานเ้ามากที่สุด ดังนั้นเ้าจึงร่วมกับท่านเปิดตำหนักผู้ยากไร้ขึ้นใช่หรือไม่? ”
เหอตังกุยเลิกคิ้วพลางกล่าว“หม่อมฉันเคยดูแลเื่บัญชีและจัดการเื่ต่าง ๆ ในตำหนักผู้ยากไร้จริง อีกทั้งยังเคยจ่ายยาและรักษาคนในตำหนักผู้ยากไร้มากมายนับไม่ถ้วนเื่นี้มันผิดตรงไหนหรือเพคะ? ”
“การช่วยเหลือคนไม่ใช่เื่ผิดอยู่แล้ว”พระชายารองโจวกล่าวขึ้นกะทันหัน “แต่การเล่นชู้น่ะ มีโทษหนักนัก”
เหอตังกุยใจนหน้าถอดสีนางจ้องพระชายารองโจวแล้วถามขึ้น “พี่หญิงกำลังพูดเื่อันใดกัน? ”
จู่ ๆพระชายารองโจวก็ร้องไห้คร่ำครวญพระชายาว่านและนายหญิงกู่ที่อยู่ข้างกันจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ แล้วกล่าวปลอบใจ
“อย่าเสียใจไปเลยเพคะคนแบบนี้ไม่ควรค่าให้เสียใจหรอก”
“นั่นสิเพคะนางมาจากตระกูลเล็ก ๆ จึงกล้าทำเื่น่าอับอายเช่นนี้ได้เสียดายที่ท่านพี่อุตส่าห์ใส่ใจนางมาโดยตลอด”
“แค่ดูมารดาก็รู้แล้วมารดาเป็เช่นไร บุตรสาวก็เป็เช่นนั้น... ไม่สิต้องเรียกว่าไม่มีทั้งบิดาและมารดาคอยอบรมจึงจะถูก ได้ข่าวว่านางเติบโตในพื้นที่ทุรกันดารเห็นเื่สกปรกมาั้แ่เล็ก ย่อมต้องจดจำมาทำตามอยู่แล้ว...”
เมื่อได้ยินดังนั้นเหอตังกุยที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นก็ลุกพรวดแล้วเดินเข้าไปหานายหญิงกู่ผู้เป็คนกล่าว จากนั้นก็เหวี่ยงฝ่ามือไปสุดแรง
นายหญิงกู่ที่เพิ่งโดนตบถึงกับตะลึงงันนางประคองใบหน้าตัวเองไว้แล้วเริ่มโอดครวญอย่างน่าสงสาร “พระชายาเอก ดูสิเพคะขนาดอยู่ต่อหน้าท่านอ๋องและพระชายา นางยังกล้าตบหน้าหม่อมฉันเช่นนี้แล้วแบบนี้เมื่ออยู่ลับตาคน ยังมีเื่อันใดที่นางไม่กล้าทำอีกหรือ? ”
พระชายาเซี่ยะเิโทสะตวาดเสียงดังลั่น “นังผู้หญิงสารเลว เ้าเล่นชู้ เอาเงินส่วนรวมไปให้ชายชู้แล้วยังมีหน้ามาตบผู้อื่นอีกงั้นหรือ! ”
เหอตังกุยไม่ยอมคุกเข่าลงอีกนางยืนประจันหน้ากับคนเ่าั้ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเื “ประการแรกหม่อมฉันไม่ได้ทำสิ่งใดผิดต่อท่านอ๋อง ทั้งยังไม่ได้ขโมยเงินไปแม้แต่อีแปะเดียว เมื่อครู่นี้หม่อมฉันเพียงสั่งสอนนายหญิงกู่แทนท่านอ๋องเท่านั้นนางเป็ถึงอนุภรรยาของท่าน ทว่ากลับพูดจาสกปรกนับเป็เื่ที่ทำให้ท่านอ๋องขายหน้า”
นายหญิงร้องไห้โฮพลางพุ่งเข้าไปหมายจะเอาคืนแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ทว่ากลับถูกพระชายารองโจวรั้งไว้เสียก่อน “อย่าทำแบบนั้นเลยเห็นแก่ที่พวกเราเป็พี่เป็น้องกันมา ขอให้น้องกู่เห็นแก่หน้าข้าอย่าไปถือโทษโกรธนางเลย...” พระชายารองโจวอ้อนวอน
สถานการณ์ยิ่งความวุ่นวายเข้าไปทุกทีจนในที่สุด ท่านอ๋องที่นั่งอยู่กลางตำหนักก็ตวาดลั่นอย่างทนไม่ไหว “หุบปากให้หมด!” ทันใดนั้น เสียงร้องไห้โวยวายและเสียงซุบซิบนินทาก็เงียบลงคนทั้งหลายพร้อมใจกันมองท่านอ๋องก่อนพระชายาเซี่ยจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “เพราะเห็นแก่หน้าของท่านอ๋องหม่อมฉันจึงอยากให้นางยอมรับผิดด้วยตนเอง แต่ท่านอ๋องก็เห็นการกระทำของนางแล้วนางเป็พวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ทุกคนก็เห็นกันหมด ท่านจะตัดสินเช่นไรเพคะ? ”
ท่านอ๋องกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง“เ้าทำไปตามที่เห็นสมควรเถอะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นพระชายาเซี่ยก็รีบะโสั่ง “ทหาร พาตัวสวีซื่อเหนียงเข้ามาเดี๋ยวนี้”มีคนนำตัวสวีซื่อเหนียงเข้ามายังตำหนักตามคำสั่งทันที สวีซื่อเหนียงรีบคลานเข่าไปหาท่านอ๋องพลางกล่าวทั้งน้ำตา “ท่านอ๋อง โปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วย พระสนมเหอขู่บ่าวไว้ว่าหากบ่าวนำเื่นี้ไปแพร่งพราย นางจะใส่ร้ายว่าบ่าวขโมยของจากนั้นก็จะตัดลิ้นแล้วโยนบ่าวเข้าไปในคุกน้ำเพคะ แต่บ่าวไม่กล้าปิดบังจึงนำเื่นี้ไปบอกกับพระชายารองโจว...ท่านหญิงเถียนเจียเอ๋อร์ก็ไม่ใช่บุตรสาวของท่านอ๋องเหมือนกันเพคะ! ”
พระชายาเซี่ยหัวเราะเสียงเย็น“ต่อให้เ้าไม่บอก ข้าก็เดาได้ั้แ่แรกแล้ว คลอดก่อนกำหนดบ้าบออันใดกันแล้วเื่ที่บอกว่าสงสารลูก จึงอยากเลี้ยงลูกด้วยตัวเองอีก โกหกทั้งเพ! เด็กนี่เป็ลูกชู้ชัดๆ! ”
นายหญิงกู่หันหน้าไปทางอื่นด้วยความรังเกียจ“ถุย มารดาเป็เช่นไร บุตรสาวก็เป็เช่นนั้นจริง ๆ เสียด้วย”
เหอตังกุยหน้าซีดเผือดลงไปทันตานางตวาดด่าด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “พวกเ้าพูดไร้สาระอันใดกัน!ข้ากับเถียนเจียเอ๋อร์เป็ผู้บริสุทธิ์ ฟ้ามีตาพวกเ้าไม่กลัวถูกฟ้าดินลงโทษกันหรือ! ”
พระชายาเซี่ยะเิโทสะอีกครานางชี้ไปที่นอกตำหนักแล้วตวาดเสียงดังลั่น “พวกบ่าวข้างนอกตายกันหมดแล้วหรือ!รีบเข้ามาตบปากนังคนชั้นต่ำนี่เร็วเข้า ตบให้แรง ๆ! ”ทันใดนั้นก็มีบ่าวชราหลายคนเดินเข้ามาจับตัวเหอตังกุยไว้ แม่เฒ่าหวังร่างบึกบึนเหวี่ยงมือสุดแรงเหอตังกุยถูกตบหน้าหลายสิบครั้ง ผ่านไปเพียงพริบตาเดียวใบหน้าขาวประดุจหิมะของนางก็บวมเป่งเสียแล้ว จมูกและปากก็มีเืซึมพระชายาเซี่ยปรายตามองท่านอ๋องที่นั่งนิ่ง ก่อนยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ
เหอตังกุยแหงนหน้ามองผู้เป็สามีด้วยน้ำตาคลอเบ้ามองชายรูปงามปานเทพบุตรตรงหน้า พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มเศร้าหมอง “หนิงอ๋องจูเฉียนแม้แต่ท่านก็ไม่เชื่อข้าหรือ? ท่านคิดว่าข้าเป็ผู้หญิงแบบนั้นจริงหรือ?”
ท่านอ๋องมองสำรวจแหวนหยกในมืออย่างจริงจังเชิดริมฝีปากบางขึ้นเล็กน้อย “เมื่อก่อนไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ไม่อาจไม่เชื่อแล้ว”
พระชายาเซี่ยเดินเข้าไปย่อตัวลงตรงหน้าเหอตังกุยเช็ดเืบนใบหน้าของนางด้วยชายเสื้อที่ทำจากผ้าไหมเนื้อละเอียดพลางร้องไห้เสียงดังลั่นอย่างแสนเ็ป “น้องหญิง เ้าไม่น่าทำเช่นนี้เลยจริง ๆดูสภาพเ้าตอนนี้สิ เห็นเ้าเป็แบบนี้ หัวใจของพี่ก็เ็ปราวกับกำลังหลั่งเืออกมาเหมือนกันไม่น่าเลย! ”
เหอตังกุยเบี่ยงสายตามองไปยังใบหน้าของพระชายารองโจวราวกับว่านี่เป็ครั้งแรกที่ได้พบกัน นางเพ่งมองตาไม่กะพริบทางด้านพระชายารองโจวนั้นกลับหลบสายตา หันไปร้องห่มร้องไห้กับท่านอ๋องแทน“ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอเพียงไว้ชีวิตกุยเอ๋อร์ด้วยเพคะหม่อมฉันยินดีจะคืนอำนาจในการดูแลจวน สวดมนต์ กินเจทุกวันเพื่อลดความผิดของนางนางมีบุญคุณกับหม่อมฉันมากราวกับเป็ผู้ให้ชีวิตหม่อมฉันกับนางรักกันยิ่งกว่าพี่น้องแท้ ๆ เสียอีก ด้วยเหตุนี้ในตอนแรกหม่อมฉันจึงไม่ปักใจเชื่อ จนกระทั่งพ่อจวนโจวพาพวกเขามา” พอพูดจบนางก็ชี้ไปที่ชายร่างกำยำหลายคนนอกเรือน “พอได้ฟังเื่ทั้งหมดจากพวกเขาหม่อมฉันถึงได้เชื่อ หรงซื่อ พูดเหมือนที่พูดกับข้าอีกครั้ง”
ชายผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูเรือนแล้วกล่าวขึ้นว่า“กระหม่อมหรงซื่อ เป็คนลากรถ อาศัยอยู่ทางเหนือของเมืองปกติกระหม่อมจะรับจ้างลากรถเพื่อแลกเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ มาประทังชีวิตจนกระทั่งหนึ่งปีก่อน สาวใช้ที่ชื่อลี่ผิงเข้ามาหาพวกเรานางให้เงินมากมายโดยบอกว่าจะจ้างให้พวกเรายกเกี้ยว ั้แ่นั้นเป็ต้นมานางก็จะสั่งให้พวกเรารออยู่ที่ตรอกชีผี่ตลอด และแม่นางลี่ผิงก็จะพาหญิงในชุดคลุมที่มีผ้าคลุมหน้าไว้มาใช้เกี้ยวเป็ประจำแต่หากวันใดรอจนถึงยามสามแล้วยังไม่มา ก็ให้พวกเรากลับจวนได้ขอรับ”
แม้ตำหนักจะอัดแน่นไปด้วยผู้คนทว่าเสียงกลับเงียบจนน่ากลัว จู่ ๆ อวี่โผ บ่าวชราก็วิ่งเข้ามาในตำหนักแล้วไปกระซิบบางอย่างข้างหูพระชายารองโจวครู่หนึ่งพระชายารองโจวขมวดคิ้วแล้วหันไปบอกท่านอ๋อง “ท่านอ๋องตอนเช้าหม่อมฉันสั่งให้อวี่โผไปสอบสวนลี่ผิงเกี่ยวกับเื่นี้แต่คิดไม่ถึงว่านางจะกลัวความผิด ฉวยโอกาสตอนที่พวกเราไม่ได้ระวังวิ่งเอาหัวโขกกำแพงตายเสียแล้วเพคะ”
ท่านอ๋องยังคงนิ่งเงียบพระชายาเซี่ยจึงหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นะเืพลางกล่าว “ตายไปคนหนึ่งก็ยังเหลืออีกตั้งหลายคนนี่! เอาตัวสาวใช้ของนังผู้หญิงชั้นต่ำเข้ามาเดี๋ยวนี้! ”ทันใดนั้น ฮั่วเซียงและตงเฉ่าก็ถูกนำตัวเข้ามาในตำหนักทันทีพระชายาเอกกล่าวถามต่อไป “บอกมาเดี๋ยวนี้ พวกเ้ารู้เื่ชั่ว ๆของเหอตังกุยมากน้อยเพียงใด? สารภาพมาให้หมด! ”
ฮั่วเซียงและตงเฉ่าหมอบอยู่บนพื้นร้องไห้พลางส่ายหัว “พระสนมเหอออกไปตอนกลางคืนจริง แต่พวกบ่าวไม่รู้เื่นะเพคะขอพระชายาทรงเมตตาไว้ชีวิตบ่าวด้วย! ”
พระชายารองโจวส่งสายตาให้หรงซื่อหรงซื่อจึงกล่าวแทรก “เมื่อเดือนก่อน หลังยกเกี้ยวเข้าไปในโรงเตี๊ยมกระหม่อมดื่มหนักจึงอยากจะไปปลดทุกข์ในสุขา แต่กลับเดินหลงทางเสียก่อน ระหว่างนั้นกระหม่อมได้ยินเสียงร้องของผู้หญิงดังขึ้น ด้วยความสงสัยจึงแอบดูอยู่ที่ริมหน้าต่างกระหม่อมเห็นหญิงชายคู่หนึ่งกำลังมีสัมพันธ์กันข้างกระถางดอกไม้ริมหน้าต่างนั้นเพราะอยู่ใกล้กันมาก จึงเห็นใบหน้าของหญิงผู้นั้นชัดเจนทั้งยังเห็นว่าที่หน้าอกของนางมีไฝขนาดเล็กอยู่สามจุดบริเวณหน้าท้องวาดลายดอกไม้...”
“พอแล้ว! ”ท่านอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที เขาปัดแก้วชาข้างมือลงพื้นอย่างแรงแล้วตวาดเสียงดังลั่น “ไสหัวไป ไสหัวออกไปให้หมด! ”
เมื่อเห็นท่าไม่ดีบ่าวรับใช้ทั้งหลายก็พากันถอยออกจากตำหนักทันที ก่อนพระชายารองโจวพระชายารองว่านและนายหญิงกู่จะจากไปด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน เพียงพริบตาเดียวในตำหนักก็เหลือเพียงท่านอ๋อง เหอตังกุยพระชายาเซี่ยและบ่าวชราคนสนิทของพระชายาเซี่ยอีกสองคนเท่านั้นท่านอ๋องมองใบหน้าบอบช้ำของเหอตังกุยพลางกล่าวบีบคั้นด้วยสีหน้าเยือกเย็น“เหอตังกุย เ้าจะยอมรับผิดหรือไม่? ”
เหอตังกุยหัวเราะเสียงแหลมด้วยหัวใจที่เศร้าหมองก่อนกล่าวขึ้น“เป็แผนที่ชั่วช้าเสียจริง ดี ดีมาก! ฮ่า ๆ ๆ ดีจริง ๆ! จูเฉียนหากท่านกลัวว่าข้าจะแพร่งพรายความลับของท่านงั้นก็ประทานผ้าขาวให้ข้าผูกคอตายไปเสียก็สิ้นเื่ เพื่อบุตรสาวของข้าข้ายินดีตายด้วยความเต็มใจโดยจะไม่ปริปากพูดสักคำ แต่เ้ากลับใส่ร้ายได้แม้กระทั่งบุตรสาวของตนหยามิ่พวกเราสองแม่ลูกได้ถึงเพียงนี้ เ้าช่างน้ำใจงามเสียจริง ดี! ดีมาก! ”
พระชายาเซี่ยฟังบทสนทนานั้นด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัยท่านอ๋องหน้าถอดสี รีบก้าวไปผลักเหอตังกุยอย่างแรง
เหอตังกุยล้มลงกระอักเืคำโตนางพยายามใช้มือยันพื้นลุกขึ้นยืนอีกครั้ง นางจ้องท่านอ๋องด้วยสายตาอาฆาต“ข้าไม่เกลียดโจวชิงหลาน ไม่ชังสวีซื่อเหนียง และไม่แค้นเคืองเซี่ยเฉี่ยวเฟิงเพราะข้าเข้าใจดีว่าทำไมพวกนางถึงทำเช่นนั้น... แต่จูเฉียน ท่านรู้หรือไม่เล่าข้าเกลียดผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิงมากที่สุด! คนที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือท่าน!เสียดายเหลือเกิน เสียดายที่อุตส่าห์ปรนนิบัติรับใช้ท่านมากว่าสิบปี เพื่อท่านข้าต้องเสียบุตรสาว แต่สิ่งที่ท่านตอบแทนข้า กลับเป็ความใจดำอำมหิต! ”
ท่านอ๋องดวงตาแดงก่ำกัดฟันกรอดก่อนกล่าวสั่ง “เอาถ่านร้อนมาเผาคอ แล้วโยนเข้าไปในคุกน้ำ! ”
พระชายาเซี่ยถามต่อ“แล้วลูกชู้ของนางล่ะเพคะ? ”
“จับโยนเข้าไปพร้อมกัน!” ท่านอ๋องกล่าวจบก็หมุนตัวหันหลังให้นางทันที
พระชายาเซี่ยมองบ่าวชราทั้งสองก่อนที่พวกนางจะนำตัวเหอตังกุยออกไปอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของท่านอ๋องราบเรียบไม่มีทั้งทุกข์หรือสุขแฝงอยู่ เขาสั่งเสียงต่ำ “ลืมสิ่งที่เ้าเพิ่งได้ยินเมื่อครู่นี้เสียลืมไปให้หมด ลืมไปจนวันตาย”
พระชายาเซี่ยก้มหน้าลงต่ำ“เพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว”