กลางคืนที่มืดมิดดั่งน้ำหมึก
แสงจันทร์สลัวปกคลุมผืนดิน บนกายหยาบของมนุษย์และสรรพสัตว์ราวกับถูกห่มด้วยผ้าโปร่งบางสีเงินยวงชั้นหนึ่ง ดวงดาวดวงเล็กๆ ในค่ำคืนเหน็บหนาวกระจายไปทั่วท้องฟ้าอันมืดมิด
แสงเทียนอ่อนระริกลั่นส่งเสียงเปรี๊ยะ เพิ่มบรรยากาศน่าพิศวงให้กับสถานที่ที่เงียบสงัดหนาวเหน็บ
ผู้คุมเฝ้ายามนอนฟุบส่งเสียงกรนอยู่บนโต๊ะแน่นิ่ง เวลานี้ไม่มีผู้ใดพบว่าเงาร่างสีแดงเพลิงเย้ายวนกำลังย่องเข้าไปในคุกหลวงที่มืดมิดอย่างเงียบเชียบ
ทุกแห่งหนที่เขาเดินผ่าน ทันทีที่ชายแขนเสื้อกรุยกรายโบกสะบัดก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีควันบางเบาล่องลอยออกมาจากข้างใน ไม่ว่าผู้คุมเฝ้ายามหรือนักโทษในคุกก็ดูเหมือนจะหลับลึกมากขึ้นไปอีก ราวกับว่าหากไม่ถึงรุ่งสางก็จะไม่ตื่นขึ้นมา
ร่างเล็กของมู่จื่อหลิงนั่งขดตัวอยู่มุมเตียง แขนบอบบางทั้งสองข้างกอดเข่าตนเองแน่น ดวงตากระจ่างใสท่ามกลางความมืดมิดในห้องขังนั้นทอประกายแจ่มใสเป็พิเศษ
เปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการนอนอย่างรวดเร็ว จู่ๆ นางก็ไม่เคยชินยิ่งนัก ไม่มีกลิ่นเหมยเย็นที่เรียบง่าย ไม่มีไอเย็นที่แผ่ออกมาจากเตียงหยกเหมันต์
รอบกายล้วนเป็สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย บรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย ค่ำคืนมืดสนิท แม้นางจะเป็ผู้ที่ปฏิบัติตนอย่างพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ยามนี้ก็ยังรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวไร้คนช่วยเหลืออยู่สายหนึ่ง
น่าเสียดายที่ตอนกลางวันนางดื่มเพียง ‘โจ๊กลูกเดือยใสแจ๋ว’ ที่มีเพียงน้ำและลูกเดือยไม่กี่เมล็ดไปเพียงสองชาม บัดนี้ท้องยังคงหิวจนร้องโครกคราก ทั้งนอนไม่หลับทั้งหิวจนใจสั่น
อาหารของคุกหลวงแห่งนี้ไม่ได้มีไว้ให้คนกินจริงๆ นอกจากบูดแล้วก็เป็บูด ยังดีที่นางทำการเตี๊ยมกับผู้คุมไว้แล้ว มิเช่นนั้นแม้แต่โจ๊กลูกเดือยใสแจ๋วก็ไม่มี ทว่าสำหรับคนที่ยามปกติไม่มีเนื้อไม่ชอบกินเช่นนางแล้วก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี
ทันใดนั้น มู่จื่อหลิงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสง่างามที่ชัดเจนเป็พิเศษท่ามกลางความเงียบสงัดของคุกหลวง ทั้งยังมุ่งหน้ามาทางนาง ใกล้นางเข้ามาเรื่อยๆ
ขณะนี้นางคงไม่ไร้เดียงสาถึงขนาดคิดว่าตั้งใจทำงาน เดินมาตรวจตราห้องคุมขังยามดึก และเสียงฝีเท้าที่สง่างามฟังไปแล้วไม่เหมือนเสียงฝีเท้าของผู้คุมเลย
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เดี๋ยวก่อนนะ คงไม่ใช่คนที่้ามาปล้นคุกกระมัง!
คุกหลวงแห่งนี้คือปราการเหล็ก ฟ้าผ่ายังไม่ะเื แมลงวันก็บินเข้ามาไม่ได้ ทั้งการป้องกันรักษาเข้มงวด ผู้ที่มาจะอาจหาญเกินไปแล้ว คุกหลวงยังกล้าบุกรุก
ในระหว่างที่มู่จื่อหลิงตกตะลึง เงาร่างคนด้านนอกก็ไม่รู้ว่ามาถึงข้างนอกห้องคุมขังที่นางอยู่เมื่อใด
มู่จื่อหลิงหันศีรษะไปตามสัญชาตญาณ มองผู้มาใหม่ั้แ่ปลายเท้าค่อยไล่ขึ้นไป
เพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น!
ไอ้หยา หัวใจของมู่จื่อหลิงเต้นรัวขึ้นมา เกือบทำให้นางหัวใจวายตาย คนผู้นี้สวมใส่อาภรณ์สีแดง ต่อให้เป็สถานที่มืดมิด ก็ยังเด่นชัดเป็พิเศษ อยากให้คนละสายตาก็ละสายตาไปไม่ได้
ปีศาจน่าหลงใหล ในห้องขังที่น่าสยองขวัญแห่งนี้ดูอย่างไรก็เหมือน...ปีศาจชุดแดง
มู่จื่อหลิงรวบรวมความกล้ายกสายตามองขึ้นไป ในที่สุดก็เห็น ‘ใบหน้า’ ของเขาสวมหน้ากากผีเสื้อเงินไปครึ่งใบหน้า หน้ากากผีเสื้อส่องแสงแวววาว ทอประกายเป็พิเศษ
สวมอาภรณ์สีแดงน่าหลงใหลทั้งกาย สวมหน้ากากเงินลายผีเสื้อสร้างความลึกลับ คนผู้นี้ถ้ามิใช่พ่อค้าหน้าเืเย่จื่อมู่แล้วยังเป็ใครได้อีก
มู่จื่อหลิงเบิกตาขึ้นมาอย่างฉับพลัน ไม่อยากจะเชื่อ ยื่นมือน้อยข้างที่ไม่ได้รับาเ็ไปขยี้ดวงตาทั้งสองข้างของตนเองหลายต่อหลายครั้ง
มองรอบแล้วรอบเล่า นางมองไม่ผิดและมิได้กำลังฝัน คนผู้นี้เป็คนจริงๆ เป็เย่จื่อมู่
เย่จื่อมู่ขบขันกับท่าทางน่ารักเช่นนี้ของมู่จื่อหลิง เม้มปากน้อยๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์ดังขึ้น “อะไรกัน ธุรกิจร้านยาของเถ้าแก่มู่เปิดด้วยตนเองเจริญรุ่งเรือง ยามนี้รุดหน้าอย่างรวดเร็วก็ไม่รู้จักข้าน้อยแล้ว”
น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เสน่ห์นี่ก็ของจริง!
“เ้า เ้า เย่...เย่...เย่...” มู่จื่อหลิงเบิกตากว้าง พูดคำว่าเย่ติดๆ ขัดๆ อยู่นาน ก็มิอาจพูดคำว่าเย่จื่อมู่ออกมาได้หมด
เย่จื่อมู่กลั้นรอยยิ้มเอาไว้ เขาถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย แสร้งพูดอย่างปวดใจ “โถ่ ในเมื่อเถ้าแก่มู่ไม่รู้จักข้าน้อยแล้ว ข้าก็ขออนุญาตแนะนำตัวใหม่อีกรอบ”
พูดจบก็กำมือป้องปากกระแอมเสียงเบาเสียสองที พูดออกมาทีละคำ “อะแฮ่มๆ คราวนี้เถ้าแก่มู่ต้องฟังให้ดี ข้าน้อย เย่ จื่อ มู่”
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็ะโลงจากเตียง ถลาเข้าไปใกล้เขาราวกับบิน ดวงหน้าเล็กๆ ของนางแนบเข้ากับลู่กรงไม้ด้วยเกรงว่าจะมองได้ไม่ชัดเจน
“เย่จื่อมู่! ท่านคือเย่จื่อมู่จริงๆ?” ครานี้ในที่สุดมู่จื่อหลิงก็เรียกออกมาอย่างครบถ้วน ท่าทางเช่นนั้นดูไม่ออกว่าเป็ตื่นตะลึงหรือตื่นกลัว
เย่จื่อมู่มือหนึ่งพาดท้อง หน้าเชิดอกตึง ใบหน้าทระนงจริงจัง “เดินไม่แก้ชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ ข้าน้อยก็คือเย่จื่อมู่ เย่จื่อมู่ก็คือข้าน้อย”
มู่จื่อหลิงเหลือบมองเขาอย่างอารมณ์เสีย คนโง่งม ตานางมิได้บอด หูไม่ได้หนวก และมิใช่ไม่รู้ว่าเขาคือเย่จื่อมู่ จำเป็ต้องย้ำเตือนไปมาอยู่ตลอดหรือ
“ท่านมาได้อย่างไร? เข้ามาได้อย่างไร? ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่? เหตุใดท่าน...” มู่จื่อหลิงโยนคำถามถามปังปังต่อเนื่องกันออกมาหลายข้อ
เย่จื่อมู่ขัดจังหวะมู่จื่อหลิงที่โยนคำถามออกมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลังเล
“เถ้าแก่ชื่อเสียงกึกก้องดั่งเสียงกัมปนาท อยากรู้ว่าท่านอยู่ที่ใดมีอะไรยากเย็นกัน ข้าน้อยเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย ยามเข้ามาเบื่อหน่ายจึงมาสนทนากับเถ้าแก่มู่”
เขายื่นมือไปแคะหูอย่างหมดความอดทน แม้ท่าทางจะไร้ซึ่งความอดทน ทว่าน้ำเสียงมิได้ติดรำคาญแม้แต่น้อย ตอบคำถามมู่จื่อหลิงทีละข้อ
เพียงแต่คำตอบนี้กวนประสาทและไม่น่าเชื่อถือจนเกินไป
อันใดคือนางชื่อเสียงกึกก้องดั่งเสียงกัมปนาท? นางนอบน้อมถ่อมตนมาโดยตลอด เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย? คิดว่าบ้านเขาเปิดคุกหลวงแห่งนี้ขึ้นหรือ คิดจะมาก็มา แล้วยังเบื่อหน่ายจึงมาหานางที่คุกหลวงเพื่อสนทนา? พูดให้ผีฟัง ผียังไม่เชื่อ
แต่ว่ายามนี้มู่จื่อหลิงก็หมดใจจะถามเย่จื่อมู่ต่อว่ามาได้อย่างไร มาเพราะเหตุใดจมูกประสาทไวของมู่จื่อหลิงได้กลิ่นไก่ย่าง ทั้งยังเป็กลิ่นไก่ย่างรสเลิศของหอเยวี่ยอวี่
ท้องนภากว้างใหญ่พื้นพิภพไพศาล เติมท้องให้อิ่มสำคัญที่สุด มิอาจท้องอิ่ม ได้กลิ่นก็ยังดี!
นางสูดดมตามทิศทางของกลิ่นด้วยใบหน้ามีความสุข จมูกและตาหยุดชะงักอยู่ที่มุมแขนเสื้อของเย่จื่อมู่พร้อมกัน สัญชาตญาณบอกนางว่าไก่ย่างอยู่ภายใต้แขนเสื้อกว้างใหญ่ของเย่จื่อมู่
เย่จื่อมู่เห็นการกระทำอันไม่เป็สุขของมู่จื่อหลิง มุมปากก็กระตุก ไม่วายพูดหยอกล้อ “เถ้าแก่มู่ แขนเสื้อข้าน้อยมีความผิดปกติอันใดหรือ? เหตุใดท่านจึงจดจ้องเช่นนี้?”
มู่จื่อหลิงไม่ใยดีเขา สูดลมหายใจเข้าลึกด้วยใบหน้าชวนน้ำลายสอ พูดพึมพำกับตนเอง “เป็กลิ่นไก่ย่างเลิศรสจริงๆ หอมนัก”
“จมูกเถ้าแก่มู่ฉับไวเสียยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก รู้ว่าข้าน้อยเพิ่งกินไก่ย่างมาจากหอเยวี่ยอวี่ยังมิได้ล้างมือ มือจึงเต็มไปด้วยกลิ่นของไก่ย่าง” สีหน้าเย่จื่อมู่กลั้นขำพลางกล่าววาจาที่ไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของเขาโดยสิ้นเชิง
แต่คำพูดนี้ของเขาก็เหมือนน้ำเย็นหนึ่งอ่าง สาดใส่มู่จื่อหลิงจนใจเย็นเยียบ
มู่จื่อหลิงจึงได้ค้นพบว่าตนเองขายหน้าไปจนบ้านคุณยายเสียแล้ว นางลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน เวลานี้เองท้องไม่รักดีก็ยังให้ความร่วมมือโดยร้องโครกครากขึ้นมาเสียสองครั้ง
“พรืด ฮ่าๆ” ในที่สุดเย่จื่อมู่ก็อดต่อไปไม่ไหวหัวเราะออกมา
มู่จื่อหลิงพลันมีโทสะขึ้นมา ถลึงตาใส่เขาอย่างดุดัน มือข้างหนึ่งเท้าเอว แค่นเสียงเย้ยหยัน “พ่อค้าหน้าเืชั่วช้า กู่ไหน่ไน [1] เช่นข้ามิสนว่าเ้ามาหาถึงที่นี่ได้อย่างไร เมื่อครู่เข้ามาเช่นใด ยามนี้ก็ออกไปเช่นนั้น ทางเดินอยู่ตรงนั้น เดินดีๆ ไม่ส่ง”
เขามันโง่เง่า พ่อค้าหน้าเืผู้นี้ต้องมาเพื่อปั่นหัวนางเป็แน่ ไม่กลัวตายกล้าบุกคุกหลวง นี่ต้องเป็สิ่งที่ไม่มีมาก่อนในประวัติศาสตร์แน่
มู่จื่อหลิงพูดพลางยื่นนิ้วชี้ที่ถูกนางห่อไว้เหมือนบ๊ะจ่างไปอย่างลวกๆ ชี้ไปยังทิศทางที่เย่จื่อมู่เดินเข้ามา
เย่จื่อมู่ไม่สนใจคำพูดของมู่จื่อหลิง แต่เหลือบมองนิ้วชี้ที่ถูกนางห่อไว้เหมือนบ๊ะจ่าง ั์ตาก็ทอประกายรักและเอ็นดูก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็ครึ่งใบหน้าที่ล่อลวงใจ มุมปากโค้งขึ้นอย่างทรงเสน่ห์
เขายื่นมือข้างที่มู่จื่อหลิงเพิ่งจดจ้องไปออกมาจากแขนเสื้อ มือข้างนั้นหิ้วสิ่งของไว้ห่อหนึ่ง แล้วยังอาบไปด้วยน้ำมันที่ยั่วยวนผู้คนนัก
เย่จื่อมู่ชูสิ่งนั้นขึ้นไปสูงแล้วยื่นเข้าไปในห้องขัง กวัดแกว่งอยู่ตรงหน้ามู่จื่อหลิงช้าๆ อย่างพิจารณา
เดี๋ยวก็ผงกศีรษะเดี๋ยวก็ส่ายศีรษะ แล้วก็ทำสีหน้ารังเกียจ “อืม พ่อค้าหน้าเืชั่วช้า? คำเรียกขานนี้ข้าน้อยชื่นชอบและก็เหมาะสมกับฐานะของข้าน้อย แต่กู่ไหน่ไนคำเรียกขานนี้ ข้าน้อยไม่ชมชอบแล้ว ไม่เหมาะกับเถ้าแก่มู่เลยแม้แต่น้อย”
ยามนี้มู่จื่อหลิงไหนเลยจะฟังว่าเย่จื่อมู่กล่าวอันใด หลังจากสายตานางแกว่งตามมือของเย่จื่อมู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็อดมิได้ที่จะกลืนน้ำลายลงไป ะโขึ้นแย่งชิงสิ่งของห่อนั้นมาจากมือของเย่จื่อมู่
นางยกนิ้วชี้ที่าเ็ขึ้นแกะห่อผ้าออกจากกันอย่างทนรอไม่ไหว ตอนนี้นางหาได้ไปสนใจภาพลักษณ์สูงศักดิ์ของฉีหวางเฟยอันใดนั่นไม่ ไม่กินหนึ่งมื้อก็หิวจนตัวสั่นได้ นางไม่สนใจภาพลักษณ์ก้มหน้ากัดคำใหญ่
เป็เพราะมู่จื่อหลิงก้มหน้ากินอย่างมูมมาม และไม่เห็นว่าเย่จื่อมู่ในยามนี้กำลังมองนางด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความพะเน้าพะนอ ราวกับกำลังมองสมบัติล้ำค่า
ทว่ามองก็คือมอง เวลานี้เองเขาก็พูดหยอกล้อทำลายบรรยากาศ “เถ้าแก่มู่ทนรอไม่ไหวเริ่มกินเช่นนี้ ไม่กลัวว่าผู้น้อยจะใส่ยาพิษ?”
“ใส่ก็ใส่เถิด เป็ผีที่ท้องอิ่ม ย่อมดีกว่าเป็ผีที่หิวจนตาย” แม้แต่ศีรษะมู่จื่อหลิงก็ยังคร้านจะยกขึ้นมาพูดอย่างอู้อี้
นางไม่เชื่อว่าพ่อค้าหน้าเืผู้นี้จะตั้งใจมาวางยาพิษนางถึงในวัง นางกับเขาไม่มีบุญคุณความแค้น และหากเป็พิษจริง ระบบซิงเฉินต้องแสดงขึ้นมาแล้ว
มู่จื่อหลิงกินอย่างเอร็ดอร่อย ต่อมาเย่จื่อมู่ก็ถามไร้สาระขึ้นมาอีกกองใหญ่ แต่ว่ามู่จื่อหลิงกำลังกิน จึงมิสนใจมาก ทั้งยังตอบคำถามไร้สาระของเย่จื่อมู่อย่างอารมณ์ดี
“เถ้าแก่มู่ มือมิได้เป็อะไรใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็อันใด เพียงถูกสุนัขแก่ตัวเมียกัดเท่านั้น
“เจ็บหรือไม่?”
“ฉีดยากันพิษสุนัขบ้าแล้ว ไม่เจ็บแล้ว”
“สิ่งใดคือยากันพิษสุนัขบ้า?”
“ก็คือฆ่าเชื้อ”
“กินช้าลงหน่อย ไม่มีคนแย่งท่านกินหรอก”
......
ในสามวันต่อมา มู่จื่อหลิงอยู่ในคุกหลวงมาอย่างสงบสุขโดยตลอด ทุกวันตอนกลางดึกเย่จื่อมู่จะนำของกินกองใหญ่มาให้มู่จื่อหลิง พูดสิ่งจำพวกไร้สาระไร้มูลความจริง
จนสามารถเรียกว่าคุยกันได้ทุกเื่ แต่เป็มู่จื่อหลิงที่คุยกับเย่จื่อมู่ได้ทุกเื่ นางเล่าว่าเหตุใดครานี้ตนจึงต้องเข้าตารางออกมาั้แ่ต้นจนจบ
แม้สถานะลึกลับยากคาดเดาของเย่จื่อมู่จะทำให้คนเดาไม่ออก แต่ระยะนี้เมื่อมู่จื่อหลิงอยู่กับเขาก็มักจะมีความรู้สึกใกล้ชิดยิ่งนัก ราวกับเป็สหายที่รู้จักกันมานาน
มู่จื่อหลิงไหว้วานให้เย่จื่อมู่ไปจวนฉีอ๋องส่งข่าวให้เสี่ยวหานว่าตนเองปลอดภัย มิให้เสี่ยวหานต้องเป็ห่วงนาง สำหรับทางหลงเซี่ยวอวี่นั้นก็ไร้ข่าวคราวมาโดยตลอด มู่จื่อหลิงคาดการณ์ว่าเขาคงยังไม่กลับมาที่เมือง ย่อมไม่รู้ว่านางอยู่ในคุก
เย่จื่อมู่ยังอุตส่าห์หวังดีไปแอบฟังเบาะแสที่สามตุลาการสืบหา เป็ดังที่มู่จื่อหลิงคาดเอาไว้ ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง เบาะแสแม้แต่นิดเดียวก็หาออกมาไม่ได้
และหมอหลวงในวังนอกจากหมอหลวงหลินที่รู้ว่าหลงเซี่ยวหนานโดนพิษกู่ หมอหลวงคนอื่นก็ตรวจหาออกมาไม่ได้เลย
สำหรับพวกนี้มู่จื่อหลิงเพียงยิ้มให้ผ่านไป ชัดเจนนัก ฮองเฮาสมรู้ร่วมคิดกับหมอหลวงหลินไว้แล้ว นี่นางคาดเดาไว้ไม่ผิดจริงๆ ด้วย
---------------------------------
เชิงอรรถ
[1] กู่ไหน่ไน คือคำที่ครอบครัวทางแม่ใช้เรียกลูกสาวที่แต่งออกไปแล้ว