เล่มที่ 9 บทที่ 248 รวดเร็วมาก
“เหลือเวลาไม่มากแล้ว...” เฉิงหัวเงยหน้ามองไปยังศาสตราวุธทั้งสี่บนหัว ทั้งระฆังดำ กระถางทอง ขวานแดง และร่มสีเทาต่างก็มีลำแสงเรืองรองออกมา แถมไอปีศาจรอบด้านก็แพร่กระจายปกคลุมไปทั่วรัศมีร้อยจ้างราวกับตาข่ายั์ ไม่ง่ายเลยที่จะหนีออกไป...
ภายใต้การกดข่มของอาวุธหยางฝูทั้งสี่ ทำให้ลำแสงของยันต์จิงกังไร้พ่ายเริ่มอับแสงลง เฉิงหัวเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่าตนเองเหลือเวลาไม่มากแล้ว เกรงว่าอีกไม่ถึงหนึ่งเค่อ พลังปราณของตนเองก็จะแห้งเหือดลง ถึงตอนนั้นต่อให้ปีศาจเยาเจี้ยงทั้งสี่ไม่ลงมือก็ตาม สุดท้ายก็ต้องถูกเจินหลิงของอาวุธทั้งสี่กลืนกินลงไปอยู่ดี
“ช้าก่อน...” ทว่าขณะที่เฉิงหัวกำลังเตรียมรับชะตากรรมนั้น จู่ๆก็พบว่าได้มีผู้บำเพ็ญหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา เมื่อกวาดตามองไปก็พบว่าอีกฝ่ายอายุประมาณยี่สิบกว่าปี อยู่ในอาภรณ์สีเขียว แถมยังมีลำตัวสูงโปร่ง กำลังค่อยๆมุ่งหน้ามาด้วยรอยยิ้ม ทุกก้าวเดินนั้นทั้งเบาและเอื่อยเฉื่อยราวกับชมทิวทัศน์ก็มิปาน...
หลังจากเดินมาถึง ผู้มาใหม่ก็มองเฉิงหัวที่อยู่ในค่ายกล จากนั้นก็ยกมือคารวะด้วยรอยยิ้มเป็การทักทาย ทว่าเฉิงหัวยังไม่ทันจะเอ่ยปาก ผู้บำเพ็ญหนุ่มคนนั้นก็เดินมาหยุดที่เบื้องหน้าของปีศาจเยาเจี้ยงตนหนึ่ง...
ปีศาจเยาเจี้ยงตนนั้นมีร่างเดิมเป็พยัคฆ์ ทำให้มีลำตัวสูงเกือบสิบจ้าง ทั้งตัวของมันเต็มไปด้วยรอยบากลายเสือ ชั่วขณะที่มันอ้าปากก็มีกลิ่นคาวเืคละคลุ้งออกมา แค่ดูก็รู้ว่าจะต้องกลืนกินสิ่งมีชีวิตเข้าไปไม่น้อย บัดนี้เ้าปีศาจสามารถกดข่มอาการาเ็ได้แล้ว แม้าแจะยังมีเืไหลซึม แต่ก็ไม่ถือว่าเป็อันตรายถึงชีวิต ขณะที่มันคิดจะบุกเข้าค่ายกลเพื่อกลืนกินผู้บำเพ็ญสักสองคนเพื่อบำรุงร่างกาย ก็พบว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา...
“ฮ่าๆ ถือว่าเ้ารนหาที่ตายเองนะ!” เ้าปีศาจตาเป็ประกายทันที ขณะที่มองผู้บำเพ็ญหนุ่ม มันก็แลบลิ้นออกมาเลียปาก จากนั้นก็คำรามเสียงดังและพุ่งตัวเข้าขย้ำทันที...
“ก็ไม่ได้มีอะไรหรอก ข้าแค่มายืมอะไรบางอย่าง...”
ผู้บำเพ็ญหนุ่มหัวเราะออกมาน้อยๆ จากนั้นก็มีกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งออกมา...
‘เร็วมาก!’
กระบี่เล่มนี้รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ
แม้แต่เฉิงหัวก็ยังตั้งสติไม่ทัน เพียงพริบตาเดียวกระบี่ก็วนรอบปีศาจเยาเจี้ยงแล้ว ก่อนจะมีเสียงของหนักร่วงหล่นลงมา บัดนี้หัวของเ้าปีศาจ ก็ได้กลิ้งตกลงมาเสียแล้ว...
“รวดเร็วอะไรเช่นนี้...”
หลังจากสังหารปีศาจเยาเจี้ยงได้แล้ว ผู้บำเพ็ญหนุ่มคนนั้นก็ยังคงเดินเอื่อยเฉื่อยราวกับชมนกชมไม้เช่นเดิม ก่อนจะมาหยุดบริเวณค่ายกลสี่อสูร จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบระฆังสีดำลงมา เมื่อค่ายกลสี่อสูรขาดไปส่วนหนึ่ง ทันใดนั้นเฉิงหัวก็รู้สึกได้ว่าแรงกดดันได้ขาดห้วงไปชั่วขณะ ยันต์จิงกังไร้พ่ายที่อับแสงก็พลันเรืองรองขึ้นอีกครั้ง...
หลังจากผู้บำเพ็ญหนุ่มได้ฉวยเอาระฆังดำไปแล้ว ก็ยังไม่ช่วยพวกเฉิงหัวแต่อย่างใด เขากลับเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าปีศาจเยาเจี้ยงตนที่สอง ทว่าหลังจากเห็นเพื่อนพ้องตนเองตายอย่างอนาถ เ้าปีศาจจึงยังอยู่ในอาการตกตะลึง เมื่อเห็นผู้บำเพ็ญหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้ๆ จึงพลันสะดุ้งและก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว
“จะ...จะทำอะไรน่ะ!”
“ไม่มีอะไร ไม่ต้องกลัว...”
“ข้าไม่ได้กลัว!” ปีศาจเยาเจี้ยงตนที่สองสวนกลับทันที เดิมทีคิดจะปลุกแรงใจให้ฮึกเหิมเสียหน่อย แต่ว่าน่าเสียดาย เมื่อเห็นผู้บำเพ็ญหนุ่มเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แรงใจที่เพิ่งลุกฮือขึ้นมาไม่นานก็พลันมอดดับลงอีก จากนั้นมันก็ก้าวถอยหลังด้วยความหวาดกลัว
“ช้าก่อน เ้าอยากได้อาวุธวิเศษใช่ไหมล่ะ อย่าเข้ามานะ อยากได้อะไรก็บอกมา ข้าจะให้ทุกอย่างเลย!”
“เช่นนั้นก็ถือเป็พระคุณมากแล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้บำเพ็ญหนุ่มก็ชะงักฝีก้าวลง
บัดนี้สายตาของปีศาจเยาเจี้ยงตนที่สองก็มีประกายแห่งความยินดีฉายชัดขึ้นมา จึงรีบโคจรไอปีศาจเพื่อบงการให้กระถางทองลอยกลับมา ก่อนจะประเคนกระถางทองให้ผู้บำเพ็ญหนุ่มทันที ส่วนตนเองกลับกลอกตาเล็กน้อยและก้าวถอยหลังไป ตอนแรกคิดแค่ว่าจะบงการกระถางทองให้ดูดกลืนผู้บำเพ็ญหนุ่มเข้าไป แต่จู่ๆก็มีลำแสงกระบี่พาดผ่านขึ้นมา...
“ตุ้บ!”
พริบตาถัดมาหัวของเ้าปีศาจก็ร่วงหล่นลงมา...
หลังจากที่สังหารปีศาจเยาเจี้ยงตนที่สองได้แล้ว ผู้บำเพ็ญหนุ่มก็โคจรพลังปราณเพื่อลบตราประทับเ้าของคนก่อนซึ่งอยู่บนกระถางทองออก จากนั้นก็เหลือบตามองไปยังหัวปีศาจที่อยู่ในสภาพตาเบิกโพลง ก่อนจะเอ่ยออกมา
“แค่อาวุธหยางฝูชิ้นเดียว ก็คิดจะลงมือกับข้าแล้วหรือ?”
เพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อผู้บำเพ็ญหนุ่มก็สังหารปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหกไปถึงสองตน ทันใดนั้นทั่วทั้งหุบเขาก็พลันเงียบสงัดลงทันที บัดนี้เหลือปีศาจเยาเจี้ยงอีกสองตนและศิษย์สำนักกระบี่หลี่ซานอีกนับสิบชีวิตเท่านั้น บัดนี้ทุกคนกำลังจ้องมองมายังผู้บำเพ็ญหนุ่มด้วยอาการตกตะลึง...
ผู้บำเพ็ญหนุ่มกำลังจดจ้องไปยังปีศาจเยาเจี้ยงสองตนที่เหลือ...
สายตาที่มองมาไม่เหมือนกับสายตาที่มองปีศาจเลยสักนิด ทว่ากลับเหมือนกำลังเลือกหมูเลือกไก่ในตลาด ตัวนี้อ้วนหน่อยเนื้อคงนุ่ม ส่วนตัวนั้นผอมหน่อยเนื้อคงแน่น...
สายตาคู่นั้นที่จ้องมองมา ทำให้ปีศาจทั้งสองแทบบ้า พวกมันพากันะโกู่ก้อง จากนั้นก็พุ่งตัวมาทางผู้บำเพ็ญหนุ่ม...
ทว่าสิ่งที่รอพวกมันอยู่ กลับเป็ปราณกระบี่สายหนึ่ง...
ทันใดนั้นก็มีลำแสงสีทองสายหนึ่งสาดทะลุออกมา ถัดมาร่างปีศาจทั้งสองก็หงายหลังล้มลงทันที บัดนี้ทั่วทั้งหุบเขาเงียบสงบ โดยไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย ผู้บำเพ็ญหนุ่มเหลือบตาดูเพียงครู่เดียว ก็เดินตรงไปยังค่ายกลสี่อสูรที่เหลือเพียงขวานแดงและร่มสีเทาเท่านั้น...
“ข้าชื่อเฉิงหัวเป็ศิษย์สำนักกระบี่หลีซาน ไม่รู้ว่าศิษย์น้องมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรงั้นหรือ?” หลังจากที่ไร้ซึ่งขวานและร่ม ค่ายกลสี่อสูรก็ถือว่าไร้อาวุธหยางฝูค้ำชูอีกต่อไป เพียงเฉิงหัวบงการลำแสงกระบี่สะบั้นออกไป ก็สามารถหลุดรอดออกจากพันธนาคารค่ายกลได้อย่างง่ายดายแล้ว
“ข้าชื่อเวินโหวมาจากหุบเขาหมื่นอสูร...” คนที่เอาคนอื่นมาแอบอ้างได้หน้าตาเฉยเช่นนี้ คงมีแค่หลินเฟยคนเดียวเท่านั้น...
“ขอบคุณศิษย์น้องเวินมากที่ช่วยเหลือข้า บุญคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่อาจทดแทนด้วยคำพูดได้ หากวันหน้ามีเื่อะไรที่ข้าพอจะช่วยได้ ข้าเฉิงหัวคนนี้ย่อมช่วยเต็มที่!” เมื่อสิ้นเสียงเฉิงหัว เขาก็ยกมือคารวะหลินเฟย
“เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย” หลินเฟยหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเสริมออกมา
“ข้ามีเื่จะรบกวนศิษย์พี่เฉิงพอดี”
“หืม?” เฉิงหัวได้ยินดังนั้นก็ชะงักชั่วครู่ ก่อนจะระบายยิ้มออกมา
“ไม่มีปัญหา ศิษย์น้องเวินมีเื่อะไรก็พูดมาได้เลย หากข้าช่วยได้ย่อมช่วยเต็มที่อยู่แล้ว!”
“ดีเลย เช่นนั้นรบกวนศิษย์พี่เฉิงมอบกระเป๋าเฉียนคุนออกมาหน่อย ไม่ต้องห่วง ข้าขอแค่สมุนไพรอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนอาวุธคู่กายและยันต์จิงกังไร้พ่ายของศิษย์พี่ ข้าจะไม่แตะเลยแม้แต่น้อย”
“ว่าไงนะ!” เฉิงหัวได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็มืดครึ้มลงทันที
“ศิษย์น้องเวินหมายความว่าอย่างไร?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่มาปล้นเท่านั้น...”
“นี่ เ้า…” เฉิงหัวตกตะลึงจนตาค้าง เป็เวลานานกว่าจะได้สติ ‘ตอนแรกยังคิดว่าศิษย์น้องเวินมาช่วยเสียอีก ที่ไหนได้…’
‘จะทำอย่างไรดีล่ะ?…’
แม้ทุกคนจะหนีออกจากค่ายกลสี่อสูรได้แล้ว แต่หากพูดถึงความสามารถละก็ เกรงว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้เพียงสองในสิบเท่านั้น ถ้าจะรับมือกับผู้บำเพ็ญทั่วๆไปก็ยังพอไหวอยู่ แต่เวินโหวจากหุบเขาหมื่นอสูรผู้นี้ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญธรรมดาทั่วไป ถึงกับสังหารปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหกสี่ตนได้ง่ายๆเช่นนี้ ต่อให้เล่นทีเผลอก็ตาม ก็ต้องยอมรับอยู่ดีว่าอีกฝ่ายมีพลังแข็งแกร่งเกินกว่าผู้บำเพ็ญทั่วไป
หากไม่ตกลงละก็ เกรงว่าตนเองและเหล่าศิษย์น้องทั้งหลาย คงจะมีจุดจบเช่นเดียวกับปีศาจเยาเจี้ยงสี่ตนนั้นที่ได้เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่หุบเขาแห่งนี้…
หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดเฉิงหัวก็ล้วงเอากระเป๋าเฉียนคุนออกและโยนให้กับหลินเฟย ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ
“ข้าจำเื่ในวันนี้ไว้แล้ว หากวันหน้าโอกาส ข้าจะต้องไปทวงคำอธิบายที่หุบเขาหมื่นอสูรด้วยตนเองให้ได้…”
“ย่อมได้…”
หลินเฟยหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเปิดกระเป๋าเฉียนคุนของเฉินหัวออกมาสำรวจดู และก็เป็อย่างที่คิดไว้ ข้างในมีสมุนไพรล้ำค่าจำนวนมาก หลินเฟยไม่คิดจะเลือกแม้แต่น้อย เขาเททุกอย่างเข้าไปในคัมภีร์โครงกระดูกทันที จากนั้นก็โยนกระเป๋ากลับคืนให้เฉิงหัว
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------