เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าฉินเห็นองค์หญิงทรงช่วยเป็พยานให้โม่เสวี่ยถงก็รู้แจ้งทันใด ว่ายามนี้จำเป็ต้องตัดสินไปตามนี้ หาไม่แล้วก็ถือเป็การล่วงเกินองค์หญิงด้วย
จึงหันไปมองอวี้ซือหรงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กระทุ้งไม้เท้าหนักๆ ครั้งหนึ่งก่อนถลึงตาใส่และลั่นวาจาตำหนิอย่างเกรี้ยวกราด “คุณหนูอวี้ บ้านสกุลฉินดีต่อเ้าไม่น้อย แต่ไหนแต่ไรมาถงเอ๋อร์ก็มีความจริงใจเห็นเ้าเป็พี่สาวคนหนึ่ง ไฉนเ้าจึงเอ่ยวาจาเหลวไหลเช่นนี้ ตนเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็คนชน กลับเพียรแต่กล่าวหาว่าแม่หนูถงเป็คนทำ หรือเ้าคิดจะจัดการแม่หนูถงให้ถึงตายจริงๆ นี่คงคิดว่าไม่มีใครกล้าออกหน้ามาช่วยนางแล้วใช่หรือไม่ ในเมื่อวันนี้เ้าเผยธาตุแท้ที่โหดร้ายออกมาแล้ว ต่อไปสกุลอวี้กับสกุลฉินก็ไม่ต้องไปมาหาสู่กันอีก”
ท่าทีของนางแสดงให้เห็นว่ายืนอยู่ข้างโม่เสวี่ยถง
หลังจากกล่าวจบ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นมองไปที่โม่เสวี่ยถงซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง แม้จะขบริมฝีปากอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ก็ไม่ร้องไห้โวยวายที่ได้รับความไม่เป็ธรรม ในทางกลับกันนางยังดูสงบเสงี่ยมเจียมตัว ภายในใจจึงรู้สึกสำนึกว่าตนเองผิดต่อเด็กคนนี้อย่างแท้จริง จากนั้นก็เดินไปหาโม่เสวี่ยถงที่มือและเท้าสั่นเล็กน้อย เห็นชัดว่าเด็กสาวผู้นั้นแม้จะเสียใจเพียงใดก็ยังหยัดยืนอยู่ตรงนั้นอย่างอดทน
นางเอื้อมมือไปสวมกอดแล้วกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “แม่หนูถง ทำให้เ้าลำบากแล้วจริงๆ เป็เพราะยายไม่ดีเองที่ไม่สืบสาวราวเื่ให้ชัดเจน เกือบจะทำร้ายเ้าแล้ว คนพวกนี้จิตใจต่ำช้าสามานย์นัก คิดสร้างเื่แบบนี้กับเ้าได้ โชคดีที่แม่หนูถงชะตาแข็ง คนจิตใจเลวทรามเ่าั้จึงแพ้ภัยตนเอง”
พูดจบก็ปวดแปลบในหัวใจ น้ำตาไหลริน
คำพูดที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวขึ้นก่อนหน้าทำให้อวี้ซื่อสีหน้าแตกตื่น หากให้เลิกคบค้ากับสกุลอวี้เท่ากับนางต้องตัดขาดกับบ้านมารดา แล้วจะมิให้รู้สึกร้อนใจได้อย่างไร ขณะที่คิดจะก้าวเข้าไปช่วยพูดให้อวี้ซือหรง แต่ถูกแม่นมซึ่งอยู่ด้านข้างดึงไว้ ก่อนจะบอกใบ้ให้ผู้เป็นายรู้ด้วยการส่งสายตามององค์หญิงพระขนิษฐาด้วยความเคารพ อวี้ซื่อจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอดทนสงวนวาจาไว้
นางไม่เพียงแต่เป็บุตรสาวของสกุลอวี้ แต่ยังเป็สะใภ้ของสกุลฉินด้วย
ยามนี้อวี้ซือหรงไม่มีหน้าพบใครได้อีกแล้ว นางทนความอัปยศไม่ไหวถึงกับเป็ลมล้มพับไป เหล่าสาวใช้สกุลอวี้ต่างร้องเสียงหลงวุ่นวายไปหมด
เฉินซื่อไหนเลยจะกล้ามากวาจา พาบ่าวไพร่ของตนถวายคำนับต่อองค์หญิงแล้วถอยออกไป
แเื่ที่มาไหว้พระก็ใช่ว่าจะไร้สายตามองไม่ออก ต่างค่อยๆ แยกย้ายกันออกไป แม้บางเื่พวกเขาจะรู้อยู่แก่ใจ แต่เมื่อองค์หญิงไม่มีพระดำรัส พวกเขาก็แค่แกล้งทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นเสีย
ขณะที่องค์หญิงกำลังจะเสด็จกลับก็หันมามองโม่เสวี่ยถงด้วยแววตาลึกซึ้ง รอยยิ้มที่ริมฝีปากผลิเผยความนัยบางอย่าง หลังจากนั้นก็หมุนตัวพาคนเดินจากไป
…
ภายในห้องพักพิเศษขององค์หญิงที่เรือนอักษร ‘เทียน’
เฟิงเจวี๋ยหร่านนั่งเอกเขนกอยู่ที่นั่น ใบหน้าหล่อร้ายสะกดิญญาแขวนริมฝีปากที่ดูคล้ายรอยยิ้มแต่หากพินิจให้ดีแล้วกลับไม่ใช่ แม้ว่าท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้ไม้หนานมู่ตัวใหญ่จะดูเหมือนคนเกียจคร้านเอ้อระเหย แต่กลับมิได้ทำให้ร่างสูงผึ่งผายลดทอนความสง่างามลงเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติดประหนึ่งงานแกะสลักอันวิจิตร คิ้วเข้มพาดเฉียงขึ้นถึงไรผม จมูกโด่งเป็สัน ริมฝีปากบางแดงระเรื่อ แสงทองสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทาบไล้บนใบหน้าดั่งสุรารสเลิศ เพียงมองปราดเดียวก็อาจทำให้จ่อมจมอยู่ในความมึนเมา
อาภรณ์ไหมสีม่วงขับราศีให้ร่างสูงดูมีเสน่ห์เย้ายวน สายลมโชยเบาไล้ปอยผมพลิ้วลิ่ว ดั่งมนตร์สะกดที่ชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงอยู่ในวังวนเสน่หา
“เ้าแปด ที่ครั้งนี้รีบร้อนกระวนกระวายไปตามข้ามาก็เพื่อนางนี่นะ” องค์หญิงผลักประตูเข้ามาถึงก็หัวเราะเอ่ยถาม
ชายหนุ่มเ้าเสน่ห์หันศีรษะกลับไป ดวงตาเ้าชู้ทอประกายวิบวับ เพียงมองครั้งเดียวก็สามารถสะกดให้คนไม่อาจขัดขืน ยอมคล้อยตามทุกอย่างด้วยความสมัครใจ
“เสด็จอาเป็ผู้รักความเที่ยงธรรมเป็ที่สุด เมื่อพบเื่ประเภทนี้ แม้หลานไม่เอ่ยถึง เสด็จอาก็ย่อมช่วยเหลืออยู่แล้ว” ดวงตาของเฟิงเจวี๋ยหร่านอาบย้อมไปด้วยรอยยิ้มพร่างพราย
“ดังนั้นเ้าจึงวางแผนให้อาของตนเองเสร็จสรรพ” องค์หญิงแค่นเสียงเย็น แม้จะกล่าวเสียงเข้ม แต่หางตากลับฉายแววยิ้มขัน ไหนเลยจะมีความเข้มงวดดุดันสักครึ่งส่วน
“ได้ยินมาว่าเสด็จอากับมารดาของนางเคยสนิทสนมกันมาก่อน ก็คงไม่อาจทนเห็นนางถูกคนเอาเปรียบกระมัง เสด็จอาว่าจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ...” เฟิงเจวี๋ยหร่านกลอกตาและพูดเฉไฉไปเื่อื่น
“เ้าเด็กคนนี้นี่!” องค์หญิงทั้งไม่พอใจและขบขัน ตบศีรษะสั่งสอนเฟิงเจวี๋ยหร่านไปหนึ่งที จากนั้นก็ไปนั่งที่เก้าอี้อีกด้าน รับชาจากนางกำนัลมาจิบได้สองสามคำก็วางลงพลางเอ่ยวาจา “หากเสด็จพ่อของเ้ารู้ว่าเ้าแอบหนีออกมา จะต้องกริ้วอีกแน่ๆ”
“ข้าก็มีเสด็จอาอยู่ทั้งคนนี่นา ขอแค่ท่านช่วยพูดเกลี้ยกล่อมสักสองสามประโยค เท่านี้เสด็จพ่อก็ไม่มาจู้จี้กับข้าแล้วว่าไปทำอะไรบ้าง รับรองไม่มีโผล่มาให้จับได้” เฟิงเจวี๋ยหร่านกระดกคิ้วยิ้มอย่างเริงใจ
“เ้าทำเยี่ยงนี้ก็ไม่ถูก ่นี้อย่างไรก็ต้องระวังหน่อย เกิดเื่ไม่ชอบมาพากลขึ้นกับจวนิกั๋วกง เกรงว่าเมืองหลวงใน่เวลานี้จะไม่สงบสุขสักเท่าไร” องค์หญิงกล่าวอย่างวิตกกังวล
โจรร้ายไม่เพียงแต่บุกเข้าถึงเรือนชั้นใน แม้แต่คุณหนูในห้องหอก็ยังถูกคนพาไป นี่มิใช่เื่เล็กๆ ยังมีเื่ราวอีกมากมายที่ะเิออกมาพร้อมกัน สถานการณ์ในเมืองหลวง่นี้ค่อนข้างตึงเครียด
“เสด็จอาโปรดวางพระทัย หลานจะระวังตัวพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงเจวี๋ยหร่านพูดจบก็ยืนขึ้น เอื้อมมือไปผลักบานหน้าต่าง ทำท่าจะะโออกไปด้านนอก
“ดูสิ โตป่านนี้แล้วยังชอบทำตัวเป็เด็กๆ จะไปจะมาเข้าออกทางประตูอย่างคนปรกติก็ทำไม่ได้” องค์หญิงแสร้งตำหนิ แต่ริมฝีปากยังทอยิ้ม
“เสด็จอา หลานแอบหนีออกมาไม่อาจให้ใครรู้ มิเช่นนั้นต้องถูกเสด็จพ่อลงโทษอีกแน่ๆ” หลังกล่าวจบก็หัวเราะแล้วพลิ้วกายหายไปจากหน้าต่าง
องค์หญิงิจูมองไปยังทิศทางที่เฟิงเจวี๋ยหร่านหายตัวไป แล้วถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง สีหน้าพลันสงบนิ่งลง
...
“เพล้ง!” แจกันลายครามอีกใบหนึ่งถูกขว้างตกลงมาแตกเป็เสี่ยงๆ เศษกระเบื้องกระเด็นขึ้นมาบาดขาของสาวใช้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่นั้น โลหิตไหลเปรอะเปื้อนกระโปรงสีเขียวแกมน้ำเงินจนเป็ด่างดวง สาวใช้ตัวสั่นงันงก ไม่กล้าเอ่ยวาจาแก้ตัวแม้แต่คำเดียว
ผ้าที่พันอยู่เต็มศีรษะถูกแกะออกไปแล้ว เหลือเพียงรอยแผลลึกจนเืซึมบนใบหน้าด้านซ้ายที่ยังคงถูกห่อหุ่มเอาไว้ ใบหน้าที่อ่อนโยนในยามปรกติบัดนี้เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดและดุร้าย สตรีที่กำลังโกรธจัดสะบัดมือไปยังกกหูของสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น แผดเสียงด่าอย่างฉุนเฉียว
“นังขี้ข้าสารเลว นังแพศยานั่นให้อะไรกับเ้า ไหนบอกว่านางไม่รู้อะไรสักอย่าง ไฉนจึงปลีกตัวหลบว่องไวปานนั้น เ้าสมคบกับนังนั่นทำร้ายข้าใช่หรือไม่ ข้าจะตีเ้าให้ตายเลยคอยดู”
นางสะบัดมือตบซ้ายตบขวาไม่ยั้ง สาวใช้ถูกตบตีจนไม่อาจคุกเข่าอยู่ได้ จนล้มลงไปด้านข้างในที่สุด ปากก็พร่ำร้องะโเพียงว่า “คุณหนูโปรดไว้ชีวิตด้วย คุณหนูโปรดไว้ชีวิตด้วย” แต่กลับไม่อาจแก้ตัวอย่างอื่นได้เลย
“วันนี้ข้าจะต้องเอาชีวิตขี้ข้าชั้นต่ำอย่างเ้าให้ได้” อวี้ซือหรงมองไปด้านข้างด้วยสายตาอำมหิต ฉวยกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะหมายจะทุ่มลงบนศีรษะของสาวใช้เพื่อระบายอารมณ์ นางจะยอมได้อย่างไร แผนการที่วางไว้อย่างดีพังทลายจนหมดสิ้น ไม่เพียงแต่แผนถูกทำลาย แม้แต่ใบหน้าของนางก็ถูกทำลายจนเสียโฉมไปด้วย จากหางตายาวลงมาถึงริมฝีปากเป็รอยแผลบากลึกถึงสองรอย ทำให้ใบหน้าที่เคยงดงามเปลี่ยนเป็อัปลักษณ์อย่างร้ายกาจ แล้วจะให้นางทนได้อย่างไร
“ซือหรง สองวันนี้เ้ายังมองไม่ออกอีกหรือว่าโม่เสวี่ยถงไม่ใช่โม่เสวี่ยถงคนเดิมอีกแล้ว วันนี้นางสามารถชี้ความผิดเ้าต่อหน้าธารกำนัล ทั้งที่นางมีหลักฐานอยู่ในมือแท้ๆ แต่เพียรทำให้พวกเราเข้าใจว่านางไม่มีหลักฐาน ล่อลวงให้เ้าเอ่ยวาจาร้ายกาจแบบนั้นออกมาได้ นังเด็กนั่นดูเหมือนคนโง่งมตรงไหน เห็นชัดว่าเ้าเล่ห์ร้ายกาจ วางแผนตะล่อมพวกเราทุกขั้นตอน เ้าฟังแม่... ตอนนี้อย่าเต้นผางไปตามการยั่วยุของนาง ายังไม่จบ ใครจะแพ้หรือชนะก็ยังไม่อาจรู้ได้” เฉินซื่อเข้ามาในห้องกล่าวเสียงเย็นะเื นางยั้งมือของอวี้ซือหรง กดกาน้ำชาวางลงไปที่เดิม แล้วดึงบุตรสาวกลับไปนั่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นโบกให้สัญญาณกับสาวใช้ประจำตัว
สาวใช้ประจำตัวของเฉินซื่อรีบพาตัวสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ออกไป แล้วพาบ่าวคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องออกไปด้วย หลังจากนั้นจึงค่อยปิดประตูลง
“ท่านแม่ ข้าจะแก้แค้น ข้าอยากฆ่านังแพศยานั่นให้ตาย” รอจนทุกคนออกไปหมดแล้ว อวี้ซือหรงก็เอ่ยขึ้นด้วยความเคียดแค้น ดวงตาลุกวาวดั่งเปลวไฟ สีหน้าเ็าอำมหิต “ข้าจะให้มันตาย ตายอย่างเวทนาแสนสาหัส”
“ซือหรง เ้าอย่าใจร้อน แม่จะแก้แค้นให้เ้าแน่ นังแพศยานั่นมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานหรอก เพียงแต่สองวันนี้ให้อยู่เฉยๆ ไว้ก่อน อย่าไปก่อเื่อะไรอีก วันนี้สกุลอวี้ของพวกเราอยู่ในกำมือของนาง แต่คราวหน้าแม่จะทำให้นางต้องพ่ายแพ้ย่อยยับ” สีหน้าของเฉินซื่อภายใต้แสงตะเกียงสลัวดูน่ากลัวราวกับผีร้าย
“ท่านแม่ คนผู้นั้นจะใช้การได้จริงๆ หรือ อย่าให้ถึงเวลาก็คว้าน้ำเหลวอีกเล่า ครั้งนี้ข้า้าให้นางตายอย่างอัปยศย่อยยับอับจนอย่างที่สุด” อวี้ซือหรงกดเสียงต่ำกล่าวอย่างเข่นเขี้ยว เมื่อนึกถึงใบหน้าของตนเองที่เคยงดงามอ่อนหวานยามที่อยู่ต่อหน้าพี่ชายเซวียน บัดนี้กลับถูกทำลายจนเสียโฉม รู้สึกอึดอัดคับแค้นใจอยากเข้าไปฉีกทำลายใบหน้าของโม่เสวี่ยถงจนแทบคลั่ง
“ครั้งนี้ไม่พลาดแน่ นี่เป็แผนสำรองของอาหญิงรองของเ้า นางรู้ว่านังแพศยานั่นไม่ใช่คนที่จะรับมือได้โดยง่าย” เฉินซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
อาหญิงรองที่ว่าก็คือฟางอี๋เหนียงนั่นเอง
“ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าก็อยากไปด้วย” อวี้ซือหรงกล่าว แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะเป็วันที่โม่เสวี่ยถงต้องสูญสิ้นชื่อเสียง ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มร้ายกาจออกมา นางต้องได้เห็นโม่เสวี่ยถงพ่ายแพ้ ชื่อเสียงย่อยยับจนไม่มีหน้าจะยืนอยู่ในโลกนี้ต่อไปด้วยตาของตนเอง
“ได้ พรุ่งนี้แม่จะพาเ้าไปด้วย แต่อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่นเหมือนเมื่อก่อนอีกเล่า”
“ท่านแม่ ครั้งนี้ข้าจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามอีกแล้ว ข้าจะคอยดูเวลาที่นังนั่นชื่อเสียงเหม็นเน่าฉาวโฉ่ไปทั่วอยู่เงียบๆ” อวี้ซือหรงกล่าวอย่างมาดร้าย แค่คิดว่าพรุ่งนี้โม่เสวี่ยถงจะต้องเกิดเื่งามหน้ายิ่งกว่าตัวเองหลายเท่า ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องไปดูให้ได้
...
รุ่งอรุณวันต่อมา
เนื่องจากเมื่อคืนนอนดึก ยามที่โม่เสวี่ยถงไปหาฮูหยินผู้เฒ่าฉินก็ไม่นับว่าเช้าแล้ว เวลานั้นฮูหยินผู้เฒ่ากำลังรับประทานอาหารและสนทนากับอวี้ซื่ออยู่ ส่วนสีหน้าที่เคยสดใสมีชีวิตชีวาของฉินอวี้เซวียนซึ่งยืนอยู่ด้านข้างบัดนี้กลับนิ่งขรึมจมอยู่ในภวังค์ เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงจึงค่อยรู้สึกตัวคืนสติกลับมา ริมฝีปากพลันทอยิ้มเป็ประกายอีกครั้ง
“แม่หนูถง มาหายายตรงนี้สิ เ้าช่วยยายดูหน่อยเถิดว่าดอกไม้แจกันนี้งดงามหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าฉินคลี่ยิ้มเอ่ยเรียกยามเห็นโม่เสวี่ยถงเดินเข้ามา
โม่หลันถอยออกไปยืนด้านข้าง วันนี้นางสวมชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนทั้งตัว เนื้อผ้าไม่เลว เนื่องจากนางมีบุคลิกแตกต่างจากสาวใช้ธรรมดาทั่วไป จึงดูคล้ายกับธิดาน้อยที่เป็แก้วตาดวงใจของครอบครัวเล็กๆ แต่อวี้ซื่อกลับจำได้ว่าชุดที่นางสวมอยู่เป็อาภรณ์ที่โม่เสวี่ยถงเคยสวมใส่ในอดีต คิดว่าคงมอบให้เป็รางวัล จึงมิได้นำพา
โม่เสวี่ยถงทอยิ้มอ่อนโยนอย่างไม่ถือสาแล้วคารวะาุโทีละคน ก่อนจะมองไปยังบุปผาสองสามช่อที่เพิ่งเปลี่ยนเข้ามาใหม่ในแจกันซึ่งวางอยู่อีกด้านหนึ่ง ดอกเหมยยังมีหิมะเกาะพราวส่งกลิ่นหอมเย็นรวยรื่น กระตุ้นให้รู้สึกมีชีวิตชีวาและเกิดความชื่นชมโดยไม่มีสาเหตุ ดอกเหมยของวัดชิงเหลียงขึ้นชื่อเป็ที่รู้จักโดยทั่วไป แต่เคยได้ยินมาว่าปรกติแล้วจะไม่ให้ใครเด็ดโดยมิได้รับอนุญาต
อวี้ซื่อยิ้มหน้าระรื่นกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่า “ดอกเหมยแจกันนี้ ลูกสะใภ้ให้คนไปเก็บมาแต่เช้า ดอกเหมยของวัดชิงเหลียงงดงามยิ่งนัก ที่เคยเห็นมาเมื่อก่อนยังไม่สดใสสวยงามเท่าของที่นี่เลย อาจเป็เพราะอยู่ในบารมีธรรมของพระพุทธองค์กระมัง เมื่อครู่ท่านเ้าอาวาสยังกล่าวว่าวันนี้ดอกเหมยผลิบาน สามารถเข้าไปชมความงดงามได้”
ป่าเหมยอยู่ภายใต้การดูแลของวัดชิงเหลียง พระลูกวัดต่างช่วยกันทำนุบำรุงอย่างพิถีพิถัน กล่าวกันว่ามีครบถ้วนทุกสายพันธุ์ แม้จะอลังการสู้ป่าเหมยที่จวนจิ้นอ๋องไม่ได้ แต่ก็ไม่แพ้ทั้งด้านความแปลก กลิ่นหอม สีสัน อีกทั้งมีคนคอยดูแลตัดแต่งอยู่เสมอ จึงให้อรรถรสในการชมที่แตกต่าง ดึงความแปลกที่มีเอกลักษณ์ให้กลายเป็ความงามที่โดดเด่น อีกทั้งยังได้หลวงจีนชั้นสูงที่มีฝีมือด้านการวาดรูปถ่ายทอดความงามของป่าเหมยออกมาเป็ภาพวาด ดังนั้นจึงทำให้ที่นี่มีชื่อเสียงขึ้นมา
แต่การทำนุบำรุงป่าเหมยให้คงสภาพความสูงส่งงดงามมิใช่เื่ง่าย ป่าเหมยแห่งนั้นจึงมิได้เปิดให้เข้าชมทุกวัน มีเพียงบางวันเท่านั้นที่เปิดเป็กรณีพิเศษ เช่นวันนี้
“ถงเอ๋อร์ก็ไปด้วยกันสิ เด็กสาวแรกรุ่นต่างก็ชอบชมดอกเหมยกันทั้งนั้น” อวี้ซื่อกล่าวจบก็หันมาพูดกับโม่เสวี่ยถงด้วยรอยยิ้ม
“ขอบพระคุณท่านป้าสะใภ้เ้าค่ะ ถงเอ๋อร์ก็อยากไปชมป่าเหมยอยู่เหมือนกัน” โม่เสวี่ยถงตอบรับอย่างว่าง่าย
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็พาอวี้ซื่อและโม่เสวี่ยถงไปยังหุบเขาด้านหลังด้วยกัน ป่าเหมยที่กล่าวถึงตั้งอยู่ที่นั่น
เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงตามออกไปโดยมิได้เคลือบแคลง อวี้ซื่อจึงค่อยคลายใจ นางประคองฮูหยินผู้เฒ่าอยู่อีกด้านหนึ่งพลางชวนพูดคุยหยอกเย้า สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวานประหนึ่งถูกโละทิ้งไปจากสมองนานแล้ว
เมื่อมาถึงที่หมายจึงพบว่ามีผู้มาเที่ยวชมป่าเหมยไม่น้อย คนส่วนใหญ่ล้วนขึ้นเขามาเพื่อชมป่าเหมยโดยเฉพาะ
เนื่องจากป่าเหมยอยู่ภายในเขตเรือนพักชั้นในของสตรี พระผู้เฝ้าสถานที่จึงเป็หลวงจีนน้อยอายุเจ็ดแปดขวบ ทั้งดูร่าเริงสดใสและไม่ผิดจารีตประเพณี