ดวงตาของซูจื่อเยี่ยฉายแววยิ้มแย้ม สาวน้อยที่เห็นเหมือนยายแก่ ทนการเย้าแหย่ไม่ได้จริงด้วย
ถ้าหลิวเต้าเซียงรู้ เขาจะต้องถูกด่าแน่นอน เย้าแหย่น้องเ้าสิ!
“มานี่ ข้าจะบอกความลับอะไรให้ ทว่า ถือว่าเ้าติดบุญคุณข้า”
“ความลับอะไร? อะไรนะ? บุญคุณอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของหลิวเต้าเซียงเป็เหมือนเครื่องสแกน มองเขาขึ้นและลง
พอมาคิดดู ตนเองติดหนี้บุญคุณเขา ถ้าเกิดคืนไม่ได้ นางก็แค่โกง!
อย่างไรก็ตาม นางเป็เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ หนึ่งคำหลุดจากปาก ม้าสี่ตัวก็ยากตามกลับคืน!
ดังนั้นเด็กสาวตัวน้อยจึงสามารถฏได้
หลังจากมีเหตุผลที่สมควรให้แก่ตนเอง หลิวเต้าเซียงก็ตอบรับอย่างไม่รู้สึกมีภาระ
“ที่ย่าเ้าจะแบ่งเงินสิบตำลึงให้เป็ค่าเล่าเรียนแก่ลูกพี่ลูกพี่น้องของเ้า ลุงรองเ้าน่ะไม่พอใจกับเื่นี้อย่างมาก!”
ซูจื่อเยี่ยใช้ประโยคที่เรียบง่ายเพื่อสรุปเื่ที่หลิวซุนซื่อบ่นอย่างไม่พอใจต่อเื่นี้
หลิวเต้าเซียงสบตากับเขา แล้วยิ้มจนตาโค้ง อืม เป็ความลับที่ดีจริงด้วย ข้อความในนี้มีเื่ราวให้ทำอีกแล้ว
หลังจากได้ยินข่าวนางก็ทิ้งซูจื่อเยี่ยไว้ แล้ววิ่งไปสืบเื่ราวกับหลิวชิวเซียง
เมื่อนางได้ยินว่าหลิวฉีซื่อจะไม่กลับมาทานอาหารกลางวัน ในใจของเด็กสาวจอมแก่นคนนี้ก็เริ่มมีแผนการชั่วร้ายอีกแล้ว จึงรีบต้มโจ๊กข้าวขาวหนึ่งหม้อใหญ่อย่างสบายใจเฉิบ ข้าวร่วนหากเอาไปหุงข้าวอาจจะไม่อร่อย แต่ไม่มีผลต่อการต้มโจ๊ก
หลังจากคิดดูก็ทำไข่ตุ๋นอีกหนึ่งอย่าง ขณะทำกับข้าว ก็หั่นกระเทียมกับถั่วไว้ส่วนหนึ่ง อาศัย่ที่คนไม่ทันสังเกตก็แบ่งบางส่วนจากด้านหลังห้องครัวไปที่ห้องปีกตะวันตก
จางกุ้ยฮัวจัดการสวนผักเสร็จเรียบร้อย ก็เอาเมล็ดพันธุ์ต่างๆ หว่านลงไป
เมื่อหลิวเต้าเซียงปรากฏตัวออกมาอีกที จางกุ้ยฮัวกำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้หลิวชุนเซียง เมื่อเห็นนางมาจึงเอ่ย “ลูกรัก ในบ้านมีข้าวร่วนมากนัก ครั้งหน้าเก็บไว้ต้มให้พ่อคนเดียวก็พอ”
หลังจากมองไปที่หลิวเต้าเซียงอีกครั้ง พอคิดดูก็รู้สึกว่า จะเหนื่อยยากอย่างไรก็ห้ามให้ลูกตนเองหิว “แล้วก็พวกเ้าสองพี่น้องด้วย”
หลิวเต้าเซียงวางชามในมือลง กอดขากางเกงของจางกุ้ยฮัว ทำหน้าไม่พอใจ “แม่จะให้ข้ากับพี่ใหญ่กินลงได้อย่างไร? อย่าว่าแต่พวกข้าพี่น้องเลย พ่อเองก็คงไม่พอใจ แม่ดูพ่อข้าออกไปทำงานหนักทุกวัน ไม่กินให้ดีหน่อย ร่างกายคงจะทรุดโทรมเป็แน่ อีกอย่าง แม่ แม่กินคนเดียวเลี้ยงได้ตั้งสองคน ยิ่งห้ามละเลยการดูแล ข้ากับพี่กำลังเจริญเติบโต ก็ต้องกินให้ดีหน่อย”
ดังนั้น ข้อเสนอของจางกุ้ยฮัวจึงถูกหลิวต้าเซียงดีดไปไกล!
จางกุ้ยฮัวคิดว่าข้าวร่วนในบ้านมีแค่นั้น ให้คนในบ้านกินอิ่มแล้วยังทำให้ปากท้องได้สุขสำราญเลยแล้วกัน แล้วก็คิดต่อว่าหากมีเวลาว่าง จะแบกบุตรสาวคนเล็กขึ้นหลังไปดูที่หลังเขาว่าพอจะหาเห็ดต่างๆ ได้บ้างหรือไม่
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ จึงเหยียดมือมาทุบหน้าอกตนเองเสียงดังตุบๆ “แม่ เื่ข้าวนี้แม่วางใจได้ เราไม่มีทางขาดแคลนหรอก”
อย่างไรก็ตามข้าวร่วนของเ้าสัตว์ปีศาจตัวน้อยนั้นราคาถูกมาก สารอาหารก็ครบครัน เพียงแต่เสียดายว่าหุงข้าว รสชาติจะไม่ดีนัก
นางยกกำปั้นขึ้น พยายามเข้า เพื่อข้าวเม็ดโต!
“แม่รู้ ลูกสาวของข้าเก่งมาก รีบกินข้าวเถิด รออีกเดี๋ยวพ่อกับปู่เ้าก็จะกลับมาแล้ว”
โชคดีที่หลิวเต้าเซียงขึ้นเขาไปเก็บฟืนทุกวัน หลังบ้านจึงมีกองฟืนไว้ใช้เผาในคั่ง มิเช่นนั้น ฟืนที่ใช้ในบ้านหมดไวมาก หลิวฉีซื่อจะสังเกตเห็น
ในใจของนางพะวงแต่เื่การยุแหย่ให้บ้านแตกเป็เื่สำคัญ จึงรีบกินโจ๊กให้หมดแล้วไปเปลี่ยนตัวกับหลิวชิวเซียง กลับมาจะแอบเพิ่มมื้ออาหาร
แต่เื่ดีๆ ต้องใช้เวลาในการขัดเกลา เื่ที่อยู่ในใจของนางไม่มีโอกาสได้เริ่มต้น พริบตาเดียวก็ถึงเวลาอาหารเที่ยง
ดวงตาของหลิวซุนซื่อนั้นกลอกไปมาอย่างไม่สงบสุข มองดูหลิวต้าฟู่วางตะเกียบกับชามแล้วดึงปล้องยาสูบออกมาจากเอว
จากนั้นนางก็เอ่ยปากว่า “ท่านพ่อ ข้าได้ยินว่าแม่จะเตรียมเงินสิบตำลึงให้เซิ่งเอ๋อร์ร่ำเรียนหรือ?”
หลิวต้าฟู่ไม่มีความเห็นต่อลูกสะใภ้คนนี้ หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ที่ตอนนั้นหลิวฉีซื่อเห็นหลิวซุนซื่อว่าเหมาะสม ก็เพราะในมือของนางมีสินเดิมเป็ที่ดินสี่แปลง เมื่อเื่ทุกอย่างจัดการเสร็จสิ้น ถึงจะบอกกล่าวกับหลิวต้าฟู่
“อา แม่เป็คนตัดสินใจน่ะ”
เมื่อรู้สึกว่าคำพูดของตนเองนั้นไม่ค่อยเหมาะสม จึงเอ่ยอีก “พี่ใหญ่เ้าอยู่ในเมืองหลวง ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ได้ยินว่าเซิ่งเอ๋อร์คือเด็กเรียนดี ได้รับการหมายตาของอาจารย์ คิดว่าหากเขาไม่ได้เรียน คงเป็ที่น่าเสียดาย”
เป็การอธิบายที่ได้ความ ว่าเหตุใดจึงต้องแบ่งเงินออกไปให้สิบตำลึง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ลำเอียงเช่นนี้ เหตุใดพ่อจึงไม่ตักเตือนหน่อย? จื้อเซิ่งเป็เด็กที่เรียนดี สอบเข้าชั้นประถมได้ก็ไม่เลว เพียงแต่จือเอ๋อร์ก็ยังเรียนเหมือนกันไม่ใช่หรือ? อาจารย์บอกว่า หากพ้นปีนี้ไปก็สามารถลงสนามสอบได้แล้ว ยิ่งกว่านั้น เป่าเอ๋อร์ของเราปีนี้ก็เข้าสถาบันแล้ว! บ้านพี่ใหญ่มีจื้อเซิ่งเรียนคนเดียว แต่บ้านเรามีเด็กเรียนตั้งสองคน
ใบหน้าของหลิวต้าฟู่ที่เคยสงบก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่วนลูกสะใภ้รองก็พูดอะไรบางอย่างที่สมเหตุสมผลเช่นกัน แม้ว่าครอบครัวของลูกชายคนโตจะเพิ่มจํานวนประชากร แต่ครอบครัวของลูกชายคนรอง หลานคนเล็กของเขาก็ได้เข้าโรงเรียนด้วย ซึ่งเป็ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่อีกประการหนึ่ง
หลิวซุนซื่อมองเขาอย่างมีนัยยะ แล้วเอ่ย “ท่านพ่อ ท่านก็รู้นี่ พี่ใหญ่กับเฉี่ยวเอ๋อร์ทำงานในจวน ทุกคนที่อยู่ในจวนต่างก็มีที่กินที่พัก แม้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะไม่ทำงาน แต่อาหารประจำวัน จวนตระกูลหวงที่ร่ำรวยเช่นนั้น คงไม่มีทางขาดแคลน”
หลิวต้าฟู่จําได้ หลิวฉีซื่อมักจะพูดถึงชีวิตที่มั่งมีของตนเองในอดีตต่อหน้าเขา เช่นการกิน การแต่งกาย ข้าวของเครื่องใช้ล้วนมีจวนคอยดูแลให้ แล้วยังได้รับรางวัลจากเหล่าเ้านายบ้าง
“แม่ของลูกก็แก่แล้ว คงลืมเื่นี้ไป”
เมื่อเห็นว่าเขายังยอมปริปาก หลิวซุนซื่อรู้ว่าหลิวต้าฟู่ไม่ยุ่งเื่ใดๆ นางแค่้าเอ่ยต่อหน้าเขาเท่านั้น ส่วน่บ่ายก็เตรียมตัวนอนสักหน่อย ตอนค่ำจะได้ลับฝีปากกับหลิวฉีซื่อได้
ให้ครอบครัวหลิวสี่กุ้ยได้เงินสิบตำลึงไปเปล่าๆ หลิวซุนซื่อจะกลืนความอัดอั้นนี้ไปได้อย่างไร
หลิวเต้าเซียงกินน้ำแกงใสชามหนึ่งแบบขอไปที เมื่อเห็นว่าหลิวซุนซื่อไม่พอใจจริง ถึงแกล้งทำเป็โน้มน้าว “ป้ารอง อย่าโกรธไปเลย คงเพราะชีวิตครอบครัวลุงใหญ่จะลำบากเกินไปจริงๆ ถึงได้เขียนจดหมายกลับมาบอกกับปู่ย่า”
คําพูด ‘ปลอบประโลม’ เหล่านี้เป็เหมือนการเพิ่มเชื้อเพลิงให้กับกองไฟ
“ยากลําบากอะไรกัน? ท่านพ่อ เื่นี้จะปล่อยให้เป็เช่นนี้ไม่ได้ ครอบครัวลุงใหญ่ลำบาก ครอบครัวฝั่งข้าไม่ลำบากหรือ? ลำพังเงินเดือนของเหรินกุ้ยจะพอไปทำอะไรได้? หากว่าจูเอ๋อร์กำลังจะต้องหมั้นหมาย จือเอ๋อร์ปีหน้าก็ต้องสอบ เป่าเอ๋อร์ก็เข้าเรียนที่สถาบัน พ่อ ท่านว่ามาสิ เื่อันใดที่ไม่ต้องใช้เงินบ้าง?”
คําพูดของหลิวซุนซื่อ พูดวกไปวนมาก็เหมือนกำลังเปรียบเทียบความยากลำบากของครอบครัวตนเองกับฝั่งหลิวสี่กุ้ยนั่นเอง
จางกุ้ยฮัวแอบเตะหลิวซานกุ้ยและส่งสายตาให้ นางกับบุตรสาวคนรองคุยปรึกษากันเรียบร้อย หรือไม่ก็ยั่วยุให้บ้านลุงใหญ่กับลุงรองทะเลาะกันจนขอแยกบ้าน
คำพูดของหลิวเต้าเซียงนี้ เป็การทำให้หลิวซุนซื่อไม่พอใจอย่างไม่ต้องสงสัย
หลิวซานกุ้ยแอบพยักหน้า เขาได้ใช้ชีวิตในการแอบกินโจ๊กข้าวขาวมา จึงไม่ค่อยแลอาหารในบ้าน และ้าได้กินโจ๊กข้าวขาวอย่างเปิดเผย
อืม สิ่งสำคัญนั้นบุตรสาวคนรองได้บอกแล้ว หลังจากแยกบ้านไม่ใช่แค่ได้กินโจ๊กข้าวขาว ทั้งยังโจ๊กไข่ใส่หมูสันใน โจ๊กปลา โจ๊กพุทราจีนน้ำตาลแดง โจ๊กซี่โครงหมูกุ้งต้มกับเมาอวี๋ และอื่นๆ
เมาอวี๋(แมวปลา)เป็ภาษาถิ่นของอำเภอถู่หนิว คือน้ำเต้าหู้ที่ออกเค็มและเผ็ด
เมื่อเริ่มคิดไปไกล เขาก็แอบกลืนน้ำลายแล้วรวบรวมสติ จากนั้นจึงเอ่ยกับหลิวต้าฟู่ “พ่อ บ้านพี่รองเองก็เหนื่อยยากเช่นกัน”
หลิวต้าฟู่ยังคิดไม่ออกว่าจะพูดอย่างไรดี หลิวซุนซื่อก็ดีดตัวออกมาพูดเสริมหลิวซานกุ้ย “นั่นสิ ท่านพ่อ ดูสิ อาสามเองก็เห็นทุกอย่าง”
หลิวซานกุ้ยคิดดูและพูดว่า “ท่านพ่อ เราจะแบ่งเงินสิบตำลึงไปจริงๆ หรือ?”
ไม่รู้ว่าเขานั้นตั้งใจหรือไม่ จากนั้นก็พึมพำว่า “ข้าแค่รู้สึกว่าพ่อเหนื่อยเกินไป เงินสิบตำลึง เทียบเท่ากับการที่พ่อต้องปลูกใยลินินถึงสิบแปลง แม่เองก็ซื้อไข่ได้ทั้งปี”
หลิวต้าฟู่มองเขาด้วยความประหลาดใจและรู้สึกว่าเหตุใดวันนี้หลิวซานกุ้ยจึงพูดอะไรที่มีเหตุผลเช่นนี้ออกมาได้
ยิ่งไปกว่านั้น มันฟังดูน่ารื่นหูมาก แต่ก็น่าเสียดาย…
น่าเสียดายเื่อะไร? นอกจากตัวหลิวต้าฟู่ หาได้มีใครล่วงรู้เหตุผล
“ใช่ เงินสิบตำลึงซื้อเครื่องประดับให้อาเล็กได้ตั้งมากมายเชียว” หลิวเต้าเซียงแอบสะกิดเพิ่มไปอีกหนึ่งแผล
หลิวเสี่ยวหลันเมื่อคืนหลับไประหว่างคุย ถึงเพิ่งรู้ว่าบ้านตนเองต้องเอาเงินสิบตำลึงให้บ้านพี่ใหญ่ แล้วพอฟังหลิวเต้าเซียงพูดเช่นนี้ ในใจก็ยิ่งเกิดความไม่พอใจ ที่ผ่านมามานางได้รับความรักและเอ็นดู พอไม่พอใจก็แสดงออกผ่านสีหน้าทันใด วางถ้วยลงแล้วเอ่ย “พ่อ ข้าทานไม่ลงแล้ว”
หลิวต้าฟู่เหลือบมองในถ้วยของนาง ในนั้นยังมีไส้อั่วกับเนื้อท้องปลาชิ้นใหญ่
ไส้อั่วนี้หลังจากหลิวเสี่ยวหลันกลับมา นางเข้าไปแอบหยิบจากห้องของหลิวฉีซื่อออกมาต้มเอง แน่นอนว่าต้มแค่ในส่วนของตัวเองคนเดียว
“เหตุใดจึงกินไม่ลง? ในนี้มีเนื้อไม่ใช่หรือ?” หลิวต้าฟู่ไม่รู้คิดอย่างไรจึงพูดออกมาตรงๆ บุตรสาวของตนหากไม่มีเนื้อก็จะไม่ชอบใจ
หลิวเต้าเซียงรู้สึกสาแก่ใจเงียบๆ ตอนที่อยู่ในห้องครัว หลิวเสี่ยวหลันยังลังเลว่าจะแบ่งให้พ่อของตนดีหรือไม่ แต่ก็ถูกหลิวเต้าเซียงที่อยู่ข้างๆ บอกว่าหากแบ่งให้ปู่ ก็ต้องแบ่งให้พ่อของนางบ้าง เพราะต้องใช้แรงงาน ต้องกินดีหน่อยถึงจะได้มีกำลัง
ภายในเสี้ยววินาทีที่หลิวเสี่ยวหลันตัดสินใจว่าจะไม่แบ่ง เพราะไปนึกถึงเ้าเป่าอ้วน หากเขารู้คงงอแงร้องไห้อีก นางต้องไม่ได้กินอิ่มแน่
ในเวลานี้หลิวต้าฟู่เห็นว่ามีเนื้ออยู่ในถ้วยของบุตรสาว แต่ก็ไม่อาจพูดออกมาว่าเหตุใดจึงไม่มีส่วนของเขา คำพูดเมื่อครู่จึงออกมา
“แม่ ข้าอยากกินเนื้อ” หลิวจือเป่าเกลียดการกินผักป่าที่สุด รสชาติทั้งฝาดทั้งเปรี้ยว
หลิวซุนซื่อไม่้าให้ทุกอย่างจบลงแบบนี้ จึงแอบถลึงตาใส่เขา จากนั้นกระซิบข้างหู หลิวจือเป่าจึงไม่งอแงอีก
หลิวเต้าเซียงชอบใจยิ่งนัก ไม่ต้องคิดเลยว่า หลิวซุนซื่อต้องรับปากว่าจะพาจือเป่าไปบ้านยายแน่นอน
เื่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่อึดใจ หลิวเสี่ยวหลันก็ทำปากบู้บี้แล้วเอ่ยถาม “พ่อ แม่ตกลงจะยกเงินสิบตำลึงให้บ้านพี่ใหญ่จริงหรือ?”
“หากเ้าสงสัย รอแม่กลับมาค่อยถามนาง” หลิวต้าฟู่เองไม่อยากสนใจเื่น่าปวดหัวเช่นนี้อีก
แต่อย่างไรก็ตาม คําพูดของหลิวซานกุ้ยได้เข้าหูของเขาไปเรียบร้อย
นั่นสิ ตนเองอายุก็ไม่น้อยแล้ว การทำงานทั้งปีนั้นไม่คุ้มเท่าใด
“ข้าจะพูดแน่ ของที่พี่ใหญ่เอากลับมาที่บ้านทั้งปี ยังไม่ถึงสิบตำลึงเลย” ขณะที่หลิวเสี่ยวหลันพูด ก็ยิ่งลืมไปว่าหลิวสี่กุ้ยส่งผ้าชั้นดีมาให้่เทศกาลตรุษจีน
นางจำไม่ได้ว่า ทุกครั้งที่นางไปที่เมืองหลวงและอาศัยอยู่ในบ้านของหลิวสี่กุ้ย พี่สะใภ้ที่อยากเอาใจหลิวฉีซื่อ ก็ได้ต้อนรับอาเล็กด้วยอาหารว่าง ของกินชั้นสูง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็สิ่งที่พี่สะใภ้นางแอบเอามาจากสำรับของเ้านาย
ส่วนบ้านหลิวนอกจากนาง ก็มีเพียงสองผัวเมียหลิวต้าฟู่ที่ตลอดทั้งปีไม่ต้องหาผ้า แล้วยังมีลูกชายสองคนคอยกตัญญู
-----