“หืม เ้าหาได้มากมายเช่นนี้เลยหรือ?” หลิวซานกุ้ยนึกว่าบุตรสาวตนเองเพียงแค่ทำเล่นๆ ในระยะเวลาหนึ่งเดือนคงหาได้มากสุดแค่เงินหนึ่งพวงเท่านั้น
หลิวเต้าเซียงยิ้มและตอบว่า “แค่เก็บไข่คงไม่สามารถหาเงินได้มากมายเช่นนี้ แต่ในเดือนสิบและสิบเอ็ด ลูกไม่เพียงแค่ตระเวนรับไข่ ยังรับไก่หลายร้อยตัวไปขาย แม้ว่าไก่หนึ่งตัวจะได้เงินเพียงเล็กน้อย แต่พอรวมๆ กันก็ได้มาก”
เจ็ดสิบตำลึงยังพอเชื่อมโยงได้ แต่หากเอาเงินออกมาสองร้อยตำลึง ไม่ว่านางจะพูดอย่างไรหลิวซานกุ้ยก็คงไม่เชื่อ
ไก่ตัวหนึ่งหาได้ห้าถึงหกอีแปะก็พอมีความเป็ไปได้
หลิวซานกุ้ยพินิจและคำนวณในใจ จึงเชื่อคำพูดของบุตรสาวคนรอง
หลิวเต้าเซียงกระซิบอีกครั้ง “ท่านพ่อ ประเดี๋ยวข้าจะเอาเงินให้ท่าน ท่านไปซื้อเนินเขาเล็กนั่นที่บ้านหลี่เจิ้งให้เรียบร้อย ที่เหลือเอาไปซื้ออาหารหมูกับรำข้าว หากว่าหลี่เจิ้งถาม ท่านก็บอกว่าไปยืมมาจากคนอื่น”
หลิวซานกุ้ยมองลงมาที่สัญญาในมือพร้อมกับถอนหายใจ คนวัยหนุ่มสาวช่างไม่คิดมากเสียจริง บุตรสาวของตนพริบตาเดียวก็ทำกิจการใหญ่โตเช่นนี้ ผู้เป็พ่อถึงอย่างไรก็ต้องกัดฟันสู้มิใช่หรือ?!
“ลูกวางใจเถิด ในเมื่อเ้าอยากเลี้ยง ถึงต้องทุบหม้อข้าว พ่อก็จะช่วยเ้าจัดการเื่นี้ให้ได้ ลั่นวาจาไปแล้วก็ต้องทำให้ได้”
“ท่านพ่อ ไม่ต้องกังวล อย่างมากข้าก็แค่ไปทำการค้าขายเพิ่มไม่กี่เดือน ประจวบเหมาะกับบ้านเรายังต้องต่อเติมอีกหนึ่งถึงสองเดือน ข้าจะหาโอกาสไปเก็บของขายอีก”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ ดวงตาของหลิวเต้าเซียงก็เป็ประกาย นางหาข้ออ้างนี้ไว้เพื่อจะได้เข้าไปในห้วงมิติเพื่อนำไข่ไปแลกลูกไก่มาวันละเล็กละน้อย หากเวลาไม่พอก็ค่อยเอาเงินออกมาซื้อลูกไก่เพิ่ม
นางเพิ่งเห็นถึงข้อดีของความแตกต่างเื่เวลา และการใช้เวลาเพื่อแลกเป็เงิน
หนึ่งเดือนกว่านี้ หลิวซานกุ้ยงานยุ่งจนไม่มีเวลาสังเกตการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของบุตรสาวคนรอง จางกุ้ยฮัวเองก็ยุ่งอยู่กับการดูแลอาหาร ส่วนหลิวชิวเซียงก็รับหน้าที่ดูแลเด็กทารกหลิวชุนเซียงให้ดี
กระนั้นจึงเหลือเพียงหลิวเต้าเซียงที่ไม่ได้ทำอะไร
นางหันหลังแล้วแอบยิ้มราวกับแมวที่แอบขโมยกินปลาอย่างไรอย่างนั้น ชีวิตของครอบครัวนางกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เื่การขอซื้อพื้นที่บนเนินเขาเล็กก็สร้างความประหลาดใจให้กับหลี่เจิ้ง หลิวซานกุ้ยนําโฉนดที่ดินใหม่กลับมาอย่างมีความสุข ถึงอย่างไรหลี่เจิ้งก็เป็คนในหมู่บ้านสามสิบลี้ ว่าด้วยเื่การซื้อที่ดินเขาจึงแอบลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแค่วงในส่วนเนินเขาเล็กเข้าไป ทั้งยังวงที่ดินรกร้างข้างเนินเขาอีกฝั่งเป็พื้นที่สิบกว่าไร่เข้าไปด้วย หากใช้คำพูดที่เขากล่าวก็คือ น้ำที่อุดมสมบูรณ์ย่อมไม่ไหลเข้าที่นาผู้อื่น
ด้วยวิธีนี้ ที่ดินสามสิบไร่ที่หลิวซานกุ้ยตั้งใจซื้อ ความเป็จริงได้กลายเป็ห้าสิบไร่ แม้ว่าในโฉนดจะระบุไว้แค่สามสิบไร่ แต่ก็ระบุชัดเจนว่าั้แ่จุดไหนถึงจุดไหน ซึ่งมันคือห้าสิบไร่อย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้จางกุ้ยฮัวจึงเตรียมซองแดงใส่เงินห้าตำลึง อาศัย่ที่ฟ้ามืดแล้วให้หลิวซานกุ้ยแอบเอาไปให้หลี่เจิ้ง
ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงดูเหมือนเปลี่ยนไปทุกวัน ผนังกำแพงบ้านก็ขยายขอบเขตออกไปด้านนอกทุกวัน
อินทรีบินโฉบทุ่งหญ้าสูงในเดือนสอง ราวกับต้นหยางหลิวที่เคลิ้มกับกลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิ
ชั่วพริบตา กำแพงบ้านของครอบครัวหลิวซานกุ้ยก็สร้างเสร็จได้ครึ่งหนึ่ง ตอนนี้คือ่กลางเดือนกุมภาพันธ์
ท้องฟ้าวันนี้มีฝนโปรยปรายเล็กน้อย หลิวเต้าเซียงถูกขังอยู่ในบ้านห้ามออกไป ‘เก็บไข่’!
ขณะนั้นหลิวชิวเซียงและหลี่ชุ่ยฮัวต่างก็ถือสะดึงไว้เย็บปัก
หลี่ชุ่ยฮัวเหลือบเห็นหลิวเต้าเซียงนอนทิ้งตัวอยู่บนคั่ง ปล่อยให้หลิวชุนเซียงคลานข้ามตัวนางไปมา
“เต้าเซียง รีบมาดูเร็ว ข้าฝึกปักลายดอกไม้แบบใหม่ ได้ยินแม่ข้าบอกว่า นี่คือดอกเหมย เป็เช่นไร สวยหรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงเบื่อและง่วงนอน เมื่อได้ยินหลี่ชุ่ยฮัวเรียกนาง จึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองไปตามทิศทางของเสียง
“ใช้ได้เลย ใช่สิ ชุ่ยฮัว ไก่ของบ้านเ้ากำลังฟักไข่หรือยัง?”
“ฟักแล้วๆ แม่ข้าบอกว่า บ้านเราจะเลี้ยงแค่สี่สิบกว่าตัว ที่เหลือจะเก็บไว้ให้เ้า” พูดถึงตรงนี้นางก็ถอนหายใจ “ได้ยินแม่ข้าบอกว่า หากไก่ได้วางไข่ครั้งแล้วครั้งเล่า จำนวนที่สามารถฟักออกมาเป็ลูกไก่ก็น้อยลงเรื่อยๆ”
สมองของหลิวเต้าเซียงมีเสียงของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดดังขึ้น
“พล่ามไปเรื่อย!” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดที่กำลังฟังอยู่ดูถูกสิ่งที่หลี่ชุ่ยฮัวพูดออกมาอย่างมาก
“คนโบราณมักจะมีความรู้น้อย!”
“นายว่าใครความรู้น้อย?” น้ำเสียงของหลิวเต้าเซียงเ็าเล็กน้อย
“เซียงเซียงที่รัก คุณมาจากโลกยุคปัจจุบัน ไม่ใช่คนท้องถิ่นที่นี่!!”
คําพูดของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดไม่ได้ทำให้หลิวเต้าเซียงโมโห แต่ก็ปล่อยวางไม่ลงเช่นกัน
สุดท้ายหลิวเต้าเซียงเลือกที่จะไม่สนใจเ้าซื่อบื้อตัวนี้
จากนั้นหันไปบอกกับหลี่ชุ่ยฮัวว่า “ข้าว่าเ้าเย็บปักได้ดีกว่าปีที่แล้วเยอะเลย”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ หลี่ชุ่ยฮัวก็มีใบหน้าที่ขมขื่น “อย่าพูดถึงเื่นี้ ข้ารู้สึกว่ากำลังเอาก้อนหินทุบใส่เท้าตัวเอง”
“หา? เ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลิวเต้าเซียงกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“แม่ของข้าบอกว่า นางจะเลี้ยงไก่ให้โตสักหน่อย ขอเพียงข้ายอมเย็บปักอยู่ที่บ้านทุกวัน แล้วให้ข้าให้อาหารไก่ก็พอ ส่วนเื่ขึ้นเขาไปเกี่ยวหญ้านั้น นางบอกว่าปล่อยให้เป็หน้าที่ของนาง!”
“ฮ่าฮ่า...”
หลิวเต้าเซียงหัวเราะอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเอง นี่มันความดีงามสูงขึ้นหนึ่งไม้บรรทัด แต่ความชั่วร้ายกลับสูงขึ้นสิบเท่าชัดๆ
หลี่ชุ่ยฮัวถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่อาจปะทะฝ่ามือกับป้าหลี่ได้!
“มีใครอยู่บ้านหรือไม่?”
ขณะนั้นมีเสียงของชายแปลกหน้าดังขึ้นมาจากทางเข้าลานบ้าน
สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงและหลี่ชุ่ยฮัวมองหน้ากัน
“ข้าจะไปดูว่าใครมา?”
ครอบครัวที่ยากจนในชนบทไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากมาย ดังนั้นหลิวชิวเซียงจึงวางงานปักในมือลงและลุกไปดูที่ประตูลานบ้าน
แต่ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงที่ละเอียดอ่อนและนุ่มนวล ทำให้เด็กสาวตัวเล็กๆ สามคนในห้องขนลุก
“ท่านกำลังหาใครหรือเ้าคะ?”
ไม่ต้องถามก็รู้ว่านี่ต้องเป็เสียงของชุ่ยหลิวที่ปรนนิบัติรับใช้หลิวฉีซื่ออย่างแน่นอน
ชุ่ยหลิวอยู่ แสดงว่าหลิวฉีซื่อก็อยู่ที่นั่นด้วย
“ท่านย่าเรากลับมาั้แ่เมื่อไร?” หลิวเต้าเซียงนึกสงสัย
หลี่ชุ่ยฮัวพยักหน้าและตอบว่า “ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย”
“ไปดูกันดีกว่า!” หลิวชิวเซียงคิดว่าตนเองได้วางงานเย็บปักถักร้อย ยอมเดินสักหน่อยคงไม่เป็อะไร
หลิวเต้าเซียงกลิ้งตัวลงมาจากคั่งและเอื้อมมือไปอุ้มหลิวชุนเซียงที่มีฟันงอกขึ้นมาสองซี่แล้ว “น้องสาม เราไปดูความคึกคักด้วยดีกว่า”
เมื่อทั้งสามพี่น้องออกมาก็เห็นชุ่ยหลิวกำลังตอบว่า นางไม่รู้
หลิวชิวเซียงถามว่า “ชุ่ยหลิว นี่เขากำลังหาใครหรือ?”
ั้แ่แยกครอบครัว สองพี่น้องก็ไม่เคยเรียกชุ่ยหลิวว่าน้าหลิวเลย
ดวงตาคู่สวยของชุ่ยหลิวหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อมองมายังเด็กๆ นางตัวดีทั้งหลาย แค่เห็นก็รำคาญสายตา มิน่าฮูหยินของตนจึงไม่ชอบพวกนาง
ชุ่ยหลิวคือต้นฉบับของคนที่ชอบเหยียบย่ำคนที่อยู่ต่ำกว่า และเชิดชูคนที่อยู่สูงกว่า
ครอบครัวของหลิวซานกุ้ยถูกแยกออกมา ส่วนแบ่งที่เขาได้รับนั้นอนาถาที่สุด ในสายตาของนาง เขาคือครอบครัวคนยากจน ยังเทียบกับนางที่เป็คนรับใช้ที่ถูกดันขึ้นมาให้เป็น้าสะใภ้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ก็แค่คนถามทาง พวกเ้าอยู่ในห้องไม่ใช่หรือ วิ่งออกมาทำอะไร?” ชุ่ยหลิวเอ่ยถาม
หลิวเต้าเซียงไม่ชอบน้ำเสียงของนาง ทำราวกับว่าตัวเองเป็เ้านาย ดังนั้นจึงตอบไปว่า “พวกข้าจะออกมาทำอะไรแล้วเกี่ยวอะไรกับเ้า เ้าก็แค่คนใช้ที่มีสัญญาเป็ทาส”
ชายผู้มาเยือนไม่ได้ถอยกลับเพียงเพราะชุ่ยหลิวตอบว่าไม่รู้
เมื่อเห็นว่ามีคนออกมาจากในห้องอีก จึงไม่ได้สนใจว่าคนทั้งสองจะโต้เถียงกัน เขาเอ่ยปากถามอีกครั้ง “มิทราบว่า หลิวซานกุ้ย นายท่านหลิวอาศัยอยู่ที่นี่หรือไม่?”
กําลังตามหาท่านพ่อหรือ?
หลิวเต้าเซียงจ้องมองชุ่ยหลิวอย่างเ็า ตอนนี้ยังมีแขกอยู่ นางจึงจัดการไม่ได้
“ท่านพ่อของข้าเอง ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
นางถามในขณะที่มองดูบุคคลนั้นอย่างระมัดระวัง เขาสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีฟ้าบางๆ โดยมีปิ่นปักผมเงินรวบเก็บผมไว้ หลิวเต้าเซียงไม่ค่อยได้เห็นคนสูงศักดิ์เท่าไร จึงไม่รู้ว่าผู้มาเยือนมีสถานะอะไร
เพียงแค่มองเขาด้วยใบหน้าเคลือบแคลงสงสัย
“โอ้ ข้าน้อยแซ่ซู เป็พ่อบ้านของสหายของนายท่านจาง จางอวี้เต๋อ ซึ่งได้เดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้พอดี จึงได้รับไหว้วานจากนายท่านให้มาเยี่ยมเยียนบ้านของนายท่านหลิว”
จางอวี้เต๋อ?
นั่นคือน้องชายแท้ๆ ของท่านแม่ไม่ใช่หรือ
“รีบเข้ามานั่งก่อน ท่านพี่ รีบไปเรียกท่านพ่อกับท่านแม่กลับมา น้าชายของเราวานคนส่งข่าวกลับมา”
หลิวเต้าเซียงอุ้มหลิวชุนเซียงเข้าไปในบ้านก่อน
หลี่ชุ่ยฮัวเห็นว่าสองพี่น้องมีธุระ จึงหยิบตะกร้าไม้ไผ่ที่ใส่งานปักไว้ แล้วลาจากกับหลิวเต้าเซียง
เมื่อหลี่ชุ่ยฮัวมาถึงประตูบ้าน นางเห็นว่าชุ่ยหลิวแอบด้อมๆ มองๆ ไปที่ห้องปีกตะวันตกจากลานบ้าน นางจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นี่ เ้าคือชุ่ยหลิวสินะ คือคนรับใช้ข้างกายท่านย่าหลิวหรือ?”
ชุ่ยหลิวไม่รู้ว่านาง้าจะพูดอะไร แต่นางดูแคลนทุกคนที่เกิดมาในสถานะเท้าเปื้อนโคลน ด้วยเหตุนี้จึงเชิดปลายจมูกชี้ขึ้นฟ้าแล้วตอบ “นางหนูชนบท เ้าเรียกใครกัน ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ พ่อแม่เ้าไม่เคยสั่งสอนหรือ?”
“ฮึ เ้าคิดว่าตนเองเป็ใครกัน ก็แค่ชนชั้นต่ำ กล้ามาด่าข้าเช่นนี้ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะไปฟ้องเ้าที่จวนขุนนาง ก็แค่ของเล่นที่ใครก็ซื้อขายได้ ยังทำเป็อวดดี ยิ่งไปกว่านั้น เต้าเซียงเป็ชนชั้นดี สูงกว่าชนชั้นต่ำอย่างเ้าหนึ่งขั้น เ้ายังชอบมาทำชี้นิ้วสั่งนางอีก ข้าไม่ชอบหน้าเ้ามานานแล้ว”
สาวน้อยหลี่ชุ่ยฮัวชอบฟังการเล่าเื่ราวและเลื่อมใสบรรดาจอมยุทธ์หญิงที่เก่งกาจ นางรู้สึกว่าระหว่างสหายต้องมีความซื่อสัตย์ภักดีต่อกัน
ชุ่ยหลิวไม่คาดคิดว่าหลี่ชุ่ยฮัวจะพูดเช่นนี้ ใบหน้าของนางเป็สีแดงสลับขาว
หลี่ชุ่ยฮัวเห็นว่าเล่นงานนางได้เต็มเปา จึงเชิดหน้าขึ้นสูงเหมือนกับไก่ตัวผู้ที่ได้ใจแล้วเดินผ่านชุ่ยหลิวไป
เพื่อแสดงทัศนคติของตน ขณะที่เดินผ่านก็ส่งเสียงฮึ่มออกมาอย่างดุเดือด
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก ในเวลานี้นางเทน้ำผสมน้ำตาลหนึ่งถ้วยและนำมันเทศทอดออกมาให้ผู้มาเยือน
ในสมัยโบราณ นี่เป็มาตรฐานสูงสุดของการต้อนรับในชนบท
หากใช้คำพูดปัจจุบันก็คงเป็ บุฟเฟต์สุดหรูหรา!
“ท่านน้าของข้าสบายดีหรือ? ตอนนี้เขามีครอบครัวแล้วหรือไม่? มีน้องสาวน้องชายให้ข้าหรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงมีความสงสัยต่อน้าชายที่ไม่เคยเห็นตัวมาก่อน
เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบเอ็ดสิบสองปีก็เข้าสู่ยุทธภพอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว หากเปลี่ยนเป็หลิวเต้าเซียง นางคงไม่มีความกล้าเช่นนี้
สมัยโบราณไม่เหมือนสมัยปัจจุบัน ทุกคนเป็อารยชน สมัยโบราณเอะอะก็ใช้กระบี่และดาบคุยกัน หากไม่ระวังก็อาจจะเอาชีวิตไปทิ้งโดยเสียเปล่า
“นายท่านจางสบายดีขอรับ กำลังยุ่งอยู่และยังไม่ได้มีภรรยา เพียงแต่ว่าฤดูหนาวปีที่แล้วมีอาการป่วยจากความหนาวเย็น และด้วยความที่งานยุ่งตลอดจึงยิ่งทำให้ไม่ทันได้รักษา ดังนั้นตอนนี้จึงนอนพักรักษาตัวอยู่ คุณหนูวางใจได้ นายท่านจางร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด ครั้งนี้เนื่องจากงานจึงทำให้การรักษาล่าช้าไปหน่อย หากพักฟื้นสัก่คงดีขึ้นขอรับ”
หลิวเต้าเซียงคำนวณในใจคร่าวๆ ตอนนั้นจางอวี้เต๋อจากบ้านไปในวัยสิบเอ็ดถึงสิบสองปี ตอนนี้ผ่านไปสิบเอ็ดปี จางอวี้เต๋อคงอยู่ในวัยหนุ่มใหญ่เต็มตัว
พ่อบ้านซูได้ถามไถ่เกี่ยวกับเื่ของเฉินซื่อด้วย หลิวเต้าเซียงจึงบอกเล่าให้ฟังทุกอย่าง
“ลูกรัก แขกอยู่ที่ใดหรือ?”
จางกุ้ยฮัวถามในขณะที่หายใจหอบ เห็นได้ชัดว่าเมื่อนางได้รับข่าวก็รีบวิ่งกลับมาทันที
-----
