คนที่มากลับเป็จ้านอู๋มิ่ง เ้าคนที่พอปรากฏตัวก็จะต้องทำให้ผู้อื่นใจนกรามล่างตกลงทันที
ภายในห้องโถงใหญ่นี้มีคนที่รู้จักจ้านอู๋มิ่งไม่น้อยเลยจริงๆ ผู้คนส่วนหนึ่งเคยเห็นฤทธิ์เดชของจ้านอู๋มิ่งในน่านน้ำมหาสมุทรวันสิ้นโลกมาก่อนแล้ว เวลานี้สายตาที่มองจ้านอู๋มิ่งเปี่ยมด้วยความเคารพและชื่นชม
นี่ก็คือคนที่กล้าหาญชาญชัยและเอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้หนึ่ง ก่อนหน้านี้ไอ้หนูนี่ยังเป็ปรมาจารย์นักยุทธ์เล็กๆ ก็หาญกล้าด่าตัวประหลาดเฒ่าจักรพรรดิาแล้ว เวลานี้ฐานบ่มเพาะก็ยังเป็ปรมาจารย์นักยุทธ์เช่นเดิม กลับสามารถสังหารคนในสิบราชัน ยามนี้ถึงกับกล้าชี้จมูกตำหนิบรรพบุรุษผู้เฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองวันสิ้นโลกเลยทีเดียว!
“อู๋มิ่ง!” เยว่หลิงซานเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
เขากังวลถึงความปลอดภัยของจ้านอู๋มิ่งตลอดเวลา ทั้งยังให้เลวี่ยเหวินซิวไปค้นหาในน่านน้ำมหาสมุทรวันสิ้นโลก คิดไม่ถึงว่าจ้านอู๋มิ่งกลับรุดเดินทางมาถึงจวนเ้าเมืองวันสิ้นโลกแล้ว
พอปรากฏตัวก็หยิ่งผยองถึงเพียงนี้ทันที ศีรษะเขาพองโตขึ้นมาในทันใด ไอ้หนูนี่เป็บ้าอะไรขึ้นมากันแน่ ไม่ทราบหรือว่าคนที่เขาสนทนาด้วยนั้นเป็จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์? แม้แต่เขาเองยามเผชิญหน้ากับจู้ว่านเหนียนและจู้เชียนชิวก็ยังต้องสุภาพเกรงอกเกรงใจเช่นกัน ถึงแม้ฐานบ่มเพาะของทั้งสองจะต่ำกว่าเขาอยู่บ้างเล็กน้อย แต่กล่าวถึงที่สุดแล้วก็เป็จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ
จ้านอู๋มิ่งแกล้งทำเป็ไม่เห็นเยว่หลิงซาน ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาคิดอะไรอยู่ จ้านอู๋มิ่งมุ่งตรงมาถึงเบื้องหน้าจู้เชียนเชียน รวบมือของจู้เชียนเชียนขึ้นมากุม ไม่สนใจจู้เชียนชิวและจู้ว่านเหนียนแม้แต่น้อย ถามอย่างอ่อนโยนว่า “เชียนเชียน เ้ายินดีเป็สตรีของข้าหรือไม่?”
ทันทีที่จ้านอู๋มิ่งพูดคำพูดนี้ออกมา ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่เงียบสนิทโดยสิ้นเชิง แม้แต่อัจฉริยะของสำนักนิกายต่างๆ ที่ส่งเสียงโห่ร้องเมื่อครู่นี้ก็ล้วนตกตะลึงแล้วเช่นกัน นี่คือจังหวะหรือเื่ราวใดกัน? พี่ชายผู้นี้เก่งกาจไร้เทียมทานแล้วจริงๆ หรือ? ต่อหน้าเหล่าบรรดาตัวประหลาดเฒ่าตระกูลจู้กลุ่มหนึ่ง ไม่พูดถึงจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์เ่าั้ แค่มหาจักรพรรดิาก็มีสี่ห้าคนแล้ว จักรพรรดิามีมากยิ่งกว่า แล้ว…เ้าหมอนี่กำลังจะย้อนทวนฝืนฟ้าหรือไร?
ในใจศิษย์แต่ละสำนักนิกายมีความคิดเพียงหนึ่งเดียว หมอนี่คือก็คนบ้าคลั่งผู้ไร้เทียมทานคนนั้น ผู้ใดจะสามารถแย่งชิงสมบัติวิเศษกับเขา? ผู้ใดจะสามารถแย่งชิงสตรีกับเขา? หมอนี่คือคนที่ไม่กลัวตายจริงๆ คนผู้นี้คือคนที่กำเนิดมาก็ไร้ขื่อไร้แปโดยธรรมชาติอยู่แล้ว!
ศิษย์ของสำนักบริบาลเดรัจฉานก็ปากอ้าตาค้างแล้วเช่นกัน จ้านอู๋มิ่งบรรเลงบทเพลงใดกัน มีเพียงต้วนหลิวฉางที่ตอนแรกมึนงงวูบหนึ่ง หลังจากนั้นพลันน้ำตานองหน้าทันใด กล่าวว่า “ช่างองอาจกล้าหาญยิ่งนัก เป็ความรักที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง เป็บุรุษสมชาติชายชาตรีอย่างแท้จริง…อ๊า!”
ประโยคสุดท้ายเขายังพูดมิทันจบ ก็ถูกฉินจงตบเข้าให้คราหนึ่ง
“จะทำอะไร นี่เ้าจะทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องสะอิดสะเอียนจนเสียชีวิตหรือไร?” ฉินจงด่าอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
ต้วนหลิวฉางหดศีรษะ สีหน้าขุ่นข้องหงุดหงิด เขาก็คิดจะแสดงความรักอย่างกล้าหาญเหมือนจ้านอู๋มิ่งเช่นกัน แต่นอกจากจ้านอู๋มิ่งแล้ว ผู้ใดจะขวัญกล้าเช่นนี้บ้างเล่า?
จู้เชียนชิวและจู้ว่านเหนียนโกรธเคืองจนสีหน้าซีดขาว พวกเขาทราบว่าจ้านอู๋มิ่งเป็ศิษย์ของสำนักบริบาลเดรัจฉาน หากเปลี่ยนเป็ผู้อื่น เกรงว่าทันทีที่เข้าห้องโถงใหญ่ พวกเขาก็ลงมือสังหารไปแล้ว ผู้ใดกล้าสบประมาทดูแคลนเมืองวันสิ้นโลกจะต้องชดใช้ แต่ว่าจ้านอู๋มิ่งเป็ศิษย์อัจฉริยะของสำนักบริบาลเดรัจฉาน ได้ยินว่าได้รับความโปรดปรานชื่นชมจากเยว่หลิงซานและเทียนฉานจื่อเป็อย่างยิ่ง เหตุผลที่สองตัวประหลาดเฒ่านี้ยังคงรั้งอยู่ในเมืองวันสิ้นโลก ก็เพื่อรอคอยลูกศิษย์คนนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาพูดออกมาแล้วว่าผู้ใดที่ระดับขอบเขตสูงกว่ากล้าลงมือต่อจ้านอู๋มิ่ง พวกเขาก็จะลงมือโดยไม่คำนึงถึงสถานะใดๆ อย่างแน่นอน
ดังนั้น จ้านอู๋มิ่งจึงมีโอกาสมาถึงเบื้องหน้าจู้เชียนเชียน แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อจ้านอู๋มิ่งมาถึงเบื้องหน้าจู้เชียนเชียนแล้ว กลับถามคำถามประโยคเช่นนี้ออกมา ไม่เห็นตระกูลจู้และตระกูลโหยวอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“จ้านอู๋มิ่ง เ้าทำเกินเลยไปแล้ว! ต่อให้เ้าเป็ศิษย์อัจฉริยะของสำนักบริบาลเดรัจฉาน เราผู้ชราก็้าทำให้เ้าทราบว่าตนเองมีจุดยืนตรงไหน” จู้เชียนชิวด่าอย่างโกรธเคือง
ทันใดนั้น จิตสังหารอันรุนแรงสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่จ้านอู๋มิ่ง
“ตูมมม…” เจตนาฆ่าของจู้เชียนชิวถูกสกัดกลางอากาศ ผู้ที่ลงมือคือเยว่หลิงซาน
ถึงแม้การแสดงฉากนี้ของจ้านอู๋มิ่งจะทำให้เขาพูดไม่ออก แต่กล่าวถึงที่สุดแล้วนี่คือสมบัติวิเศษ เป็ดุจดั่งกล่องดวงใจของสำนัก จะปล่อยให้ตระกูลจู้สังหารอย่างง่ายดายได้อย่างไร
“เฒ่าเชียนชิว เขาเป็เพียงแค่เด็กคนหนึ่ง ไยต้องโมโหโกรธาขนาดนี้ด้วย?” เยว่หลิงซานลุกขึ้นยืน
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะต้องปกป้องจ้านอู๋มิ่งให้ได้ ต่อให้ต้องผิดใจ เป็ศัตรูกับเมืองวันสิ้นโลกก็ช่วยไม่ได้
“อีกสักครู่หากมีการเปลี่ยนแปลง ฉินจง เ้าจงพาศิษย์ทั้งหมดออกจากเมืองวันสิ้นโลกไปโดยเร็ว อย่าได้รั้งรอ!” ขณะเยว่หลิงซานลุกขึ้น บรรพบุรุษผู้เฒ่าเทียนฉานด้านข้างส่งเสียงทางลมปราณให้คนทั้งสำนักบริบาลเดรัจฉานได้ยินทั้งหมด
“ศิษย์เข้าใจแล้ว!” ฉินจงตอบอย่างอับจนปัญญา
สุดยอดศิษย์หลานคนโปรดผู้นี้ นี่คือลีลาย้อนทวนฝืนฟ้า หากเปลี่ยนให้ตนเองเป็ตระกูลจู้และตระกูลโหยว เกรงว่าก็จะต้องลงมือด้วยความโกรธเคืองคั่งแค้นเช่นกัน นี่มิใช่แค่เพียงตบหน้าเท่านั้น นี่คือการเหยียบหน้า ทั้งยังติดตามเหยียบย่ำไม่ยอมปล่อยอีกด้วย ใครเขาจะไปทนไหวเล่า
“เยว่หลิงซานแห่งสำนักบริบาลเดรัจฉาน พวกเ้าหมายความเช่นไร? ศิษย์ปรมาจารย์นักยุทธ์น้อยๆ คนหนึ่ง มาก่อกวนสร้างปัญหาเช่นนี้ในเมืองวันสิ้นโลกของข้า สำนักบริบาลเดรัจฉานพวกเ้าเห็นว่าเมืองวันสิ้นโลกของข้าข่มเหงกลั่นแกล้งง่ายเป็พิเศษใช่หรือไม่” จู้เชียนชิวจ้องตาอย่างโกรธเคือง
จู้เชียนชิวบันดาลโทสะแล้วจริงๆ งานหมั้นในวันนี้ถูกรบกวนครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ยังไม่จบไม่สิ้นอีก ที่ยิ่งเลยเถิดไปกันใหญ่ก็คือ สุดยอดผู้ล้ำเลิศคนนี้โผล่ออกมาจากที่ไหนก็ไม่ทราบ พอมาถึงก็ะโด่าเกรี้ยวกราดดังลั่นไปรอบหนึ่ง กลับมาแย่งตัวเ้าสาวต่อหน้าตระกูลจู้และตระกูลโหยวทั้งสองตระกูลอีก
“อู๋มิ่ง มิอาจก่อกวนเหลวไหล ยังไม่ขออภัยต่อบรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลจู้อีก” เยว่หลิงซานกล่าวตำหนิคำหนึ่ง แล้วส่งสัญญาณทางสายตาต่อจ้านอู๋มิ่งหลายครั้ง
กล่าวถึงที่สุดแล้วที่นี่คือเมืองวันสิ้นโลก ถ้าเกิดขัดแย้งกันขึ้นมาจริงๆ ต่อให้สามารถปกป้องจ้านอู๋มิ่งไว้ได้ ศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักบริบาลเดรัจฉานจะต้องรับเคราะห์อย่างแน่นอน นั่นมิใช่สิ่งที่เขา้าเห็น เขาหวังว่าจ้านอู๋มิ่งจะสามารถให้ตระกูลจู้ได้มีบันไดให้ก้าวลง
ดูเหมือนว่าจ้านอู๋มิ่งจะไม่เห็นสายตาของเยว่หลิงซาน สายตาจ้องมองไปทางจู้เชียนเชียน
จู้เชียนเชียนมองสีหน้าจ้านอู๋มิ่งที่กล้าหาญเต็มไปด้วยความคาดหวังแล้ว พลันรู้สึกว่าระยะเวลายาวนานหลายเดือนที่ตนเองอุตส่าห์เฝ้ารอคอยนั้นล้วนคุ้มค่าแล้ว ใบหน้าสวยงดงามของนางขวยเขินจนแดงระเรื่อ มิสนใจสีหน้าของจู้เชียนชิวและจู้ว่านเหนียน ผงกศีรษะตอบว่า “ข้ายินดี!”
“อา…”
“ว้าว…”
ในห้องโถงใหญ่วุ่นวายโกลาหลขึ้นมา ทุกคนคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง จู้เชียนเชียนกลับตอบตกลงรับคำต่อหน้าผู้คนจำนวนมากมายเช่นนี้ คราวนี้ไม่เพียงแต่ตระกูลจู้เท่านั้นที่คลั่งขึ้นมาแล้ว คนทั้งหมดของตระกูลโหยวก็พากันลุกพรวดขึ้นมาเช่นกัน รังสีฆ่าฟันแผ่ขยายจนทั่วภายในห้องโถงใหญ่ มรสุมพายุใหญ่ฝนฟ้าคะนองกำลังจะมาเยือน
“ไอ้หนูที่ไร้ยางอาย กลับใช้วิธีการเลวทรามต่ำช้ามาหลอกลวงหญิงสาวอ่อนแอผู้หนึ่ง…” จู้ว่านเหนียนเกิดไหวพริบขึ้นมายามฉุกเฉิน ตวาดลั่นคำหนึ่ง มุ่งตะปบไปทางจ้านอู๋มิ่งในทันใด
“นี่คือการตัดสินใจของสาวน้อยตัวเล็กๆ เ้าที่อายุสูงวัยขนาดนี้แล้ว ไฉนยังปลงไม่ตกอีกเล่า!” เยว่หลิงซานลงมืออีกครั้ง
“เฒ่าเยว่ ผู้อื่นเกรงกลัวเ้า ข้าจู้เชียนชิวหาได้กลัวเ้าไม่!” จู้เชียนชิวขัดขวางเยว่หลิงซานเอาไว้ในบัดดล
“จู้ว่านเหนียน เราผู้เฒ่าไม่ได้ลงมือมานานปีแล้ว ้าใครสักคนมาฝึกซ้อมยิ่งนัก ไม่ทราบเช่นกันว่าเ้าฝีมือถดถอยลงแล้วหรือไม่” บรรพบุรุษผู้เฒ่าเทียนฉานพุ่งกายออกราวสายฟ้า
“เทียนฉาน ในเมื่อเ้าคันไม้คันมือขนาดนี้ มิสู้พวกเรามาแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันหน่อยเถิด” คนที่ลงมือคือโหยวหรูซี่ บรรพบุรุษผู้เฒ่าของตระกูลโหยว
ในห้องโถงใหญ่ ห้าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ลงมือพร้อมกัน พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้กระเพื่อมปั่นป่วนจนแขกรอบๆ บริเวณทนทานแทบมิได้ เฉกเช่นเรือลำน้อยท่ามกลางคลื่นพายุโหมซัดกระหน่ำ มีโอกาสจะพลิกคว่ำได้ตลอดเวลา
บรรพบุรุษผู้เฒ่าของสำนักนิกายอื่นๆ รีบเร่งเปิดเขตแดนออกทันที ปกป้องลูกศิษย์ของสำนักเอาไว้ บรรยากาศของงานใหญ่พิธีหมั้นนี้แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดก็ตกตะลึงเช่นกัน เดิมเขาคิดช่วยหลานชายของตนสอดเท้าเข้าไป คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลจู้กับผู้เฒ่าของสำนักบริบาลเดรัจฉานประมือกันแล้ว สิ่งนี้ทำให้เขาทั้งประหลาดใจ ทั้งลิงโลดยินดี
ที่ยินดีก็คือเห็นจ้านอู๋มิ่งกำลังจะตายตกด้วยน้ำมือจู้ว่านเหนียน สิ่งนี้ทำให้สำนักกระบี่ิญญารู้สึกได้รับการปลอบประโลมใจยิ่งนัก คนผู้นี้ไม่เพียงทำให้สำนักกระบี่ิญญาเสียหน้าหมดสิ้น อีกทั้งยังทำให้ราชันกระบี่เฝิงอู๋เซวี่ยดับสูญในน่านน้ำมหาสมุทรวันสิ้นโลก ทำให้สำนักกระบี่ิญญาสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ผู้คนทั่วทั้งสำนักล้วนเกลียดชังจ้านอู๋มิ่งจนฝังใจลึกเข้ากระดูก
ที่ประหลาดใจคือ เมืองวันสิ้นโลกแห่งนี้กลับกล้าลงมืออย่างเด็ดขาดโดยไม่ไว้หน้าสำนักบริบาลเดรัจฉานจริงๆ ดูเหมือนว่ามรสุมใหญ่เริ่มจะตั้งเค้าก่อหวอดแล้ว สำนักกระบี่ิญญายังคงต้องรีบกลับไปเตรียมการให้พร้อมแต่เนิ่นๆ
ทุกคนในห้องโถงทอดถอนใจออกมา จ้านอู๋มิ่งอัจฉริยะที่ไร้ผู้เทียมทาน วันนี้กำลังจะต้องดับสูญในเมืองวันสิ้นโลกแล้ว ช่างน่าเสียดายเกินไปแล้วจริงๆ คิดถึงความองอาจกล้าหาญของพี่ชายผู้สุดยอดล้ำเลิศในน่านน้ำมหาสมุทรวันสิ้นโลก งามสง่ามากมายเพียงใด ถือโอกาสปล้นชิงทรัพย์สักครั้ง นั่นช่างเก่งกาจไร้เทียมทาน กลายเป็ความศรัทธาและหัวข้อสนทนายอดนิยมของเหล่ามิจฉาชีพในโลกหล้าไปแล้ว
แม้แต่ศิษย์ฝ่ายธรรมะจำนวนมากก็เพราะคำว่า "ถือโอกาสปล้นชิงทรัพย์สักครั้ง เข้าแถวมอบแหวนออกมา" มิอาจไม่ยอมศิโรราบเช่นกัน ไม่ว่าคนที่เคยถูกปล้นหรือไม่เคยถูกปล้น ล้วนแต่รู้สึกว่าคำพูดนี้ช่างคมคายเลิศล้ำยิ่งนัก น่าเสียดายนัก อัจฉริยะเช่นนี้กลับอายุไม่ยืนยาว ปรมาจารย์นักยุทธ์ผู้หนึ่งเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างบันดาลโทสะของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนล้วนทราบผลลัพธ์ที่ตามมาอยู่แล้ว
“ตูมมม ตูมมม…” เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นหลายครั้ง ห้องโถงหลักจวนเ้าเมืองวันสิ้นโลกสั่นไหวพักหนึ่ง
พลังความแข็งแกร่งของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ควบคุมได้ดียิ่ง ไม่ปล่อยให้พลังแผ่ขยายกระจายไปทั่ว ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ห้องโถงหลักจะสั่นะเืแต่ก็ไม่พังทลาย
จ้านอู๋มิ่งไม่ได้เสียชีวิต ท่านกลางฝุ่นละออง จ้านอู๋มิ่งสวมกอดจู้เชียนเชียนในอ้อมอกอย่างแแ่ บนใบหน้ามีรอยยิ้มภาคภูมิใจชนิดหนึ่ง คล้ายดั่งว่าเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจู้ว่านเหนียนเพิ่งจะโจมตีใส่เขา
จ้านอู๋มิ่งไม่เสียชีวิต มีทั้งคนที่ผิดหวังและคนที่ลิงโลดยินดียิ่ง ท่ามกลางฝุ่นผงธุลีฟุ้งกระจาย ห้องโถงหลักมีคนเพิ่มขึ้นอีกสองคน
“เหยียนเต้าจื่อ!” มีตัวประหลาดเฒ่าของสำนักอุทานขึ้นมา
ทุกคนตะลึงงันยิ่งนัก ผู้ที่มากลับเป็บรรพบุรุษผู้เฒ่าเหยียนเต้าจื่อและมหาจักรพรรดิาจ้งเหยียนแห่งสำนักิญญา์
กลับเป็เหยียนเต้าจื่อที่ลงมือช่วยจ้านอู๋มิ่งเอาไว้ และจ้งเหยียนก็พยายามช่วยป้องกันอย่างเต็มที่ ปกป้องอยู่ด้านข้างจ้านอู๋มิ่งและจู้เชียนเชียน ใช้เขตแดนปกคลุมทั้งสองเอาไว้ เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากสภาวะพลังของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก
เยว่หลิงซานและเทียนฉานจื่อแห่งสำนักบริบาลเดรัจฉานก็ตกตะลึงแล้วเช่นกัน คนสำนักิญญา์นี้ดีเช่นนี้ต่อคนของสำนักบริบาลเดรัจฉานั้แ่เมื่อไหร่ ยังต้องถึงมือเหยียนเต้าจื่อลงมือช่วยเหลือด้วยตนเอง
ไม่ว่าพวกเขาจะช่วยจ้านอู๋มิ่งด้วยเหตุผลอะไร สำนักบริบาลเดรัจฉานล้วนรู้สึกขอบคุณเหยียนเต้าจื่ออย่างยิ่ง เมื่อครู่นี้พวกเขาก็คิดว่าจ้านอู๋มิ่งต้องตายแน่นอนแล้วเช่นกัน กล่าวถึงที่สุดแล้วจำนวนจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายมากกว่าตน สถานที่นี้เป็ถิ่นของผู้อื่น ถ้าไม่มีเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมาย จ้านอู๋มิ่งต้องตายอย่างมิต้องสงสัย นี่ทำให้เจตนาสังหารของพวกเขาพุ่งพรวดขึ้น เกือบจะอาละวาดขนานใหญ่ในเมืองวันสิ้นโลกแล้ว
เวลานี้เห็นจ้านอู๋มิ่งไร้เื่ราวใด คนของสำนักบริบาลเดรัจฉานล้วนถอนหายใจโล่งอก รีบมายืนเบื้องหน้าจ้านอู๋มิ่ง เกรงว่าตระกูลจู้จะลงมืออีกครั้งอย่างไม่ไว้หน้า
“ขอบคุณผู้เฒ่า คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าเ้าจะเปี่ยมคุณธรรมเยี่ยงนี้ ผู้แซ่เยว่ขอจดจำไว้ในใจแล้ว” เยว่หลิงซานปกป้องจ้านอู๋มิ่งไว้ด้านหลัง ยิ้มกล่าวขอบคุณเหยียนเต้าจื่อ
“มิต้องเกรงใจ” เหยียนเต้าจื่อยิ้มแห้งๆ กล่าวคำหนึ่ง มิพูดอะไรมาก
“บรรพบุรุษผู้เฒ่าเหยียนเต้า นี่เ้าหมายความเช่นไร? หรือว่าสำนักิญญา์ของเ้าก็จะสอดมือยุ่งเกี่ยวเื่ของเมืองวันสิ้นโลกเรา” จู้ว่านเหนียนโกรธจัด
ศักดิ์ฐานะของเหยียนเต้าจื่อนั้นไม่เหมือนกัน หากเฉพาะสำนักบริบาลเดรัจฉานสำนักเดียว เมืองวันสิ้นโลกของเขาไม่ครั่นคร้าม แต่หากเพิ่มสำนักิญญา์มาอีกสำนักหนึ่ง นั่นก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแล้ว ดังนั้นจู้ว่านเหนียนจึงกังวลบ้างแล้ว
“เ้าตาเฒ่าที่ไม่รู้เื่อะไร ความตายมาเยือนถึงศีรษะแล้วยังไม่รู้จักยางอาย ยังอวดโอ่เพราะาุโกว่าอยู่อีก!” พลันจ้านอู๋มิ่งเอ่ยปากด่ากราดขนานใหญ่ ไม่เห็นแก่หน้าของบรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลจู้โดยสิ้นเชิง
เยว่หลิงซานจ้องจ้านอู๋มิ่งด้วยความโกรธคราหนึ่ง ตำหนิว่า “อู๋มิ่ง เ้าพูดจาให้น้อยลงหน่อย”
จ้านอู๋มิ่งเห็นเยว่หลิงซานคอยปกป้องตนหลายครั้ง ในใจรู้สึกซาบซึ้งอยู่ไม่น้อย เฉพาะเมื่อครู่นี้ที่เยว่หลิงซานและเทียนฉานจื่อปกป้องเขาไว้อย่างไม่ลังเล ตลอดจนเพื่อเขาแล้วไม่ลังเลที่จะแตกหักกับเมืองวันสิ้นโลก ทำให้เขามีความรู้สึกที่ใกล้ชิดกับตัวประหลาดเฒ่าหลายคนนี้เพิ่มขึ้นหลายส่วน
จ้านอู๋มิ่งยิ้มๆ พูดว่า “ท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่า โปรดเชื่อมั่นในตัวข้า อู๋มิ่งไม่ได้กำลังก่อกวนสร้างปัญหา งานชุมนุมในวันนี้ความจริงแล้วคือหลุมพรางกับดักอย่างหนึ่ง มีคน้ากวาดล้างเหล่าวีรบุรุษของโลกหล้าทั้งหมดในคราวเดียว นี่จึงได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อรวบรวมบรรพบุรุษเฒ่าของแต่ละสำนักนิกายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่”
คำพูดของจ้านอู๋มิ่งกล่าวได้ว่าเป็หินก้อนเดียวทว่าก่อเกิดระลอกคลื่นนับพัน เหล่าวีรบุรุษในห้องโถงใหญ่วุ่นวายโกลาหลขึ้นมาทันใด สายตาทั้งหมดล้วนหันจ้องมาทางตระกูลจู้และตระกูลโหยว
บรรยากาศของจวนเ้าเมืองเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ดั่งพายุฝนฟ้าคะนองกำลังจะมาเยือนทั่วทั้งจวน
