สองคนพี่น้องได้ยินเสียงจึงหันไปมอง เห็นเพียงเฟิ่งเฉี่ยนที่ปรากฏกายขึ้นด้านนอกศาลารับลมั้แ่เมื่อใดไม่มีใครรู้ นางกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา
“คุณชายมู่ คุณหนูมู่ ข้าคงไม่ได้มารบกวนพวกท่านกระมัง”
ทันทีที่มู่ชิงหว่านเห็นนางก็มีโทสะจนดวงตาแดงก่ำ “เ้ามาทำอันใด มาแสดงอำนาจต่อหน้าข้าเช่นนั้นหรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนตะลึงงัน “แสดงอำนาจ?แสดงอำนาจอันใดกัน”
นางยืดเอวแล้วพูดอย่างเกียจคร้านว่า “ข้าเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน จนปวดเอวไปหมดแล้ว เหนื่อยแทบตาย ไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงมาแสดงอำนาจกับเ้า”
มู่ชิงหว่านได้ยินเช่นนั้นพลันให้หน้าตาหูแดง นางพูดเสียงสั่นด้วยโทสะ “เ้า...เ้า...คำพูดเช่นนี้เ้าก็ยังพูดออกมาต่อหน้าผู้คนได้ เ้ามันช่างหน้าไม่อายนัก!”
พูดแล้วนางก็กระทืบเท้า วิ่งออกไป
เฟิ่งเฉี่ยนเต็มไปด้วยความงุนงง นางขมวดคิ้วมุ่นอย่างครุ่นคิด “ข้าพูดอะไรผิดใช่หรือไม่ เหตุใดนางจึงได้มีโทสะเช่นนี้”
หันมามองมู่ชิงเซียว พบว่าแก้มทั้งสองข้างของเขาออกจะแดงอยู่บ้าง สีหน้าเต็มไปด้วยท่าทีประดักประเดิด
"เ้าหน้าแดงอันใดกัน”
มู่ชิงเซียวกระแอมกระไอปิดบังท่าที “ไม่มีอันใด! อ้อ ถูกต้องแล้ว ยังมิได้ขอบคุณแม่นางเฟิง ในมี่สุดท่านปู่ก็กินข้าวได้แล้ว”
“ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนกล่าวขอบคุณข้า! ข้ายังหาสาเหตุของอาการเจ็บป่วยของไท่ฟู่ไม่พบ!” แม้จะอ่านตำราแพทย์มาแล้วทั้งวัน แต่เฟิ่งเฉี่ยนกลับหาวิธีรักษาไท่ฟู่ไม่ได้
ใบหน้าคมสันของมู่ชิงเซียวปรากฏให้เห็นความกังวล “ท่านปู่กลับมาจากเมืองหลวงครั้งนี้ เดิมทีได้รับปากกับฝ่าาว่าจะสอนไท่จื่อด้วยตัวเอง ใครเลยจะรู้ว่า...”
ที่แท้เซวียนหยวนเช่อได้เชิญไท่ฟู่มาทำหน้าที่สอนเย่เอ๋อร์หรือ ไท่ฟู่เป็อาจารย์ที่ไม่เลวคนหนึ่งทีเดียว เขาเป็คนถ่อมตน สง่า สุภาพและหนักแน่นมั่นคง ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาสามารถสอนเซวียนหยวนเช่อออกมาได้อย่างโดดเด่น ย่อมต้องเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะทำหน้าที่เป็คนสอนเย่เอ๋อร์!
เพื่อเย่เอ๋อร์ นางจะต้องรักษาเขาเต็มกำลังเพื่อให้เขาหายดีให้ได้!
“คุณชายมู่ ท่านรู้หรือไม่ว่าในแคว้นเป่ยเยียน นอกจากวังหลวงแล้ว ยังมีที่ไหนอีกบ้างที่มีตำราแพทย์ค่อนข้างครบถ้วน”
มู่ชิงเซียวครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ในแคว้นเป่ยเยียน ว่าด้วยเื่หอตำรา หากหอตำราของสำนักศึกษาเทียนหงถือเป็ที่สอง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเป็ที่หนึ่ง!”
“สำนักศึกษาเทียนหงหรือ” เฟิ่งเฉี่ยนตาเป็ประกาย “ข้าไปเยี่ยมชมหอตำราของสำนักศึกษาเทียนหงได้หรือไม่”
มู่ชิงเซียวประหลาดใจ “ท่าน้าไปหาตำราแพทย์หรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนพยักหน้า “ข้า้าอ่านตำราแพทย์ที่มีอยู่ทั้งหมดสักเที่ยวหนึ่ง บางทีอาจจะหาวิธีการรักษามู่ไท่ฟู่ได้”
ดวงตาของมู่ชิงเซียวทอประกายวาบก่อนจะหม่นลงในภายหลัง “ตำราแพทย์ในหอตำราอย่างน้อยๆ มีนับร้อยเล่ม กว่าจะอ่านพวกมันหมดคงต้องใช้เวลาหลายเดือนเป็อย่างน้อย”
เฟิ่งเฉี่ยนเข้าใจถึงความหนักใจของเขา แต่นางมีเครื่องมือศึกษาตำราแพทย์ เวลาเพียงชั่วคืนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว! แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้นางมิอาจบอกแก่เขาได้! ต่อให้นางบอกเขา เขาก็ไม่มีทางเชื่อ!
“ทุกเื่ขึ้นอยู่กับการกระทำของคน! หากไม่ลองดู จะรู้ได้อย่างไรเล่า”
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ มู่ชิงเซียวซาบซึ้งใจ สายตาที่มองนางจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ “หากแม่นางเฟิงรักษาอาการป่วยของท่านปู่ได้จริงๆ ข้าจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้แน่นอน!”
“สัญญา?” เฟิ่งเฉี่ยนจำไม่ได้นานแล้วว่าเขาเคยให้สัญญาอะไรไว้
มู่ชิงเซียวหัวเราะเบาๆ ปรากฏให้เห็นฟันขาวสะอาดเรียงเป็แถว รอยยิ้มนั้นอบอุ่นและสดใสผิดจากยามปกติ
เื้ัผ้าม่านสีเขียวที่อำพรางได้ดีในยามค่ำคืน ท่ามกลางดาวดาวที่ดารดาษอยู่เต็มท้องฟ้า รถม้าคันหนึ่งฉวยโอกาสยามราตรีวิ่งฝ่าความมืดมิดออกไปบนถนนสายเล็กมุ่งหน้าออกนอกเมือง
มู่ชิงเซียวเป็ผู้บังคับรถม้าคันนั้นด้วยตนเอง อาภรณ์สีเขียวและเส้นผมดำขลับของเขาปลิวไปกับสายลม
ผ้าม่านของรถม้าด้านหลังถูกเลิกขึ้นมุมหนึ่ง ปรากฏให้เห็นใบหน้างดงาม นางก็คือเฟิ่งเฉี่ยนนั่นเอง
“คุณชายมู่ พวกเรายังต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดจึงจะไปถึงสำนักศึกษาเทียนหง”
มู่ชิงเซียวหันกลับมาตอบว่า “อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกราวๆ ครึ่งชั่วยาม!”
เฟิ่งเฉี่ยนพยักหน้า “ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ยังต้องให้ท่านออกนอกเมืองเป็เพื่อนข้าอีก ข้ารู้สึกเกรงใจจริงๆ!”
มู่ชิงเซียวหัวเราะ “แม่นางเฟิงทำเพื่อรักษาอาการท่านปู่ของข้า ไม่ใส่ใจว่าเป็กลางวันหรือกลางคืน ลำบากหรือไม่ เป็ข้ามากกว่าที่ควรจะรู้สึกเกรงใจ”
เฟิ่งเฉี่ยนละอายแก่ใจ นางเลือกเวลากลางคืน ที่จริงเป็เพราะเซวียนหยวนเช่อมาพักในห้องของนาง กลางคืนนางไม่มีที่นอน จึงคิดว่าไปอ่านตำราแพทย์ที่สำนักศึกษาเทียนหงก็แล้วกัน
ครึ่งชั่วยามให้หลัง พวกเขามาถึงสำนักศึกษาเทียนหง
สำนักศึกษาเทียนหง สำนักศึกษาอันดับหนึ่งของแคว้นเป่ยเยียน!
ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองมูหยาง กินพื้นที่เทียบเท่ากับขนาดพื้นที่ของหัวเมืองหัวเมืองหนึ่ง อาณาเขตกว้างขวาง กฎระเบียบเข้มงวด หนึ่งร้อยปีก่อนสำนักศึกษาแห่งนี้เคยเป็สำนักศึกษาอันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของแคว้นต้าเยียน ต่อให้สำนักศึกษาทั้งหมดของหลิงอวิ๋นต้าลู่จะมีชื่อเสียง เป็เป้าหมายของจอมยุทธ์ในใต้หล้าล้วนใฝ่ฝันที่จะเข้าไปเป็ศิษย์ ทว่าชื่อเสียงของสำนักศึกษาค่อยๆ เสื่อมถอยลงตามกาลเวลา มาบัดนี้สำนักศึกษาเทียนหงอยู่ในอันดับสิบของสำนักศึกษาทั้งหมดของต้าเยียน
ทว่าหากมองจากภายนอกแล้วยังคงมองเห็นร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองในอดีต อาคารก่อสร้างหลังหนึ่งสูงเทียมเมฆ ให้ความรู้สึกโอ่อ่าไม่สามัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประตูใหญ่ของสำนักศึกษาที่สูงถึงสิบเมตร ต้องแหงนหน้าจนคอตั้งจึงจะมองเห็นตัวอักษรสี่ตัวที่เขียนว่า สำนักศึกษาเทียนหง บันไดหนึ่งร้อยขั้นตรงไปถึงอาคารหลักของสำนักศึกษา ทำให้จุดที่คนยืนอยู่รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กเหลือเกิน
ที่ทำให้เฟิ่งเฉี่ยนยิ่งประหลาดใจก็คือสำนักศึกษาเทียนหงมีูเาล้อมรอบถึงสามด้าน ูเาทุกลูกล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายเทพ เมื่ออยู่ท่ามกลางกลิ่นอายเทพที่รายล้อมอยู่รอบๆ ทำให้สำนักศึกษาเทียนหงกลายเป็ดินแดน์บนโลกมนุษย์ เป็สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติช่างเหมาะสมแก่การบำเพ็ญตน
กฎเกณฑ์ของสำนักศึกษาเทียนหงเข้มงวดกวดขัน หากว่ากันตามกฎระเบียบแล้วเฟิ่งเฉี่ยนที่ไม่ได้เป็อาจารย์หรือศิษย์ของสำนักศึกษาไม่อาจเข้าไปในสำนักศึกษาได้ ทว่ามู่ชิงเซียวมีสถานะพิเศษ ท่านปู่ของเขาเป็สหายคนสนิทของอาจารย์ใหญ่ในสำนักศึกษา บิดาของเขาเป็รองอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษา มารดาเป็อาจารย์ของสำนักศึกษา ส่วนเขาเป็นักเรียนรุ่นเยาว์ที่มีความโดดเด่นของสำนักศึกษา ได้ยินว่าเขามาด้วยสาเหตุการเจ็บป่วยของมู่ไท่ฟู่ อีกทั้งมู่ชิงเซียวมาด้วยตนเอง องครักษ์จึงปล่อยให้พวกเขาเข้ามาอย่างเกรงอกเกรงใจ!
ภายใต้การนำทางของมู่ชิงเซียว ทั้งสองจึงเข้ามาด้านในได้อย่างราบรื่น และมาถึงหอตำราอย่างรวดเร็ว
หอตำราตั้งอยู่ในตำแหน่งทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสำนักศึกษาเทียนหง อยู่ใกลู้เาและแม่น้ำ เมื่ออยู่ท่ามกลางราตรีอันมืดมิดจึงยิ่งเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่
ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว แสงจากโคมไฟในหอตำรายังคงสว่างอยู่ ได้ยินมู่ชิงเซียวแนะนำว่า สำนักศึกษาส่งเสริมให้ศิษย์ขยันหมั่นเพียรศึกษาหาความรู้ ดังนั้นหอตำราของสำนักศึกษาจึงแทบจะเปิดทั้งเวลากลางวันและกลางคืน เปิดประตูใหญ่ต้อนรับผู้ใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ
"ศิษย์พี่ชิงเซียว!”
“ศิษย์พี่ชิงเซียว เหตุใดวันนี้จึงกลับสำนักศึกษาเล่า”
“ศิษย์พี่ สุขภาพของไท่ฟู่ดีขึ้นบ้างหรือไม่”
“คารวะศิษย์พี่...”
ขณะที่เดินเข้าไปในหอตำรา มีคนเข้ามาทักทายมู่ชิงเซียวไม่หยุดหย่อนแสดงให้เห็นว่าเขาเป็ที่ชื่นชอบของคนทั่วไป มู่ชิงเซียวสนทนาตอบพวกเขาทีละคนด้วยท่าทีสุภาพและมีน้ำอดน้ำทน
เฟิ่งเฉี่ยนอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าว่า “คุณชายมู่ มีสตรีจำนวนไม่น้อยในสำนักศึกษาที่หมายปองท่านกระมัง”
มู่ชิงเซียวตะลึงงัน เห็นนางพยักเพยิดปลายคางขึ้นไปอีกด้านหนึ่ง ทางนั้นกำลังมีสตรีหลายคนรวมตัวกันอยู่ พวกนางกำลังสนทนา ลอบมองเขาและกล่าวถึงเขา เขาจึงอดที่จะหน้าแดงไม่ได้
“แม่นางเฟิงอย่าได้หัวเราะข้าเลย ข้าเป็คนน่าเบื่อหน่าย ไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้สตรีชมชอบได้!”
เฟิ่งเฉี่ยนยิ้มจนดวงตาโค้งลง “รอเมื่อท่านได้พบกับคนที่ท่านชอบจริงๆ ท่านก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง เมื่อรักคนๆ หนึ่ง ก็จะทุ่มเทจิตใจเพื่อคนๆ นั้นทั้งหมด ชิงชังเหลือเกินที่ไม่อาจควักหัวใจทั้งดวงออกมามอบให้เขา”
มู่ชิงเซียวสังเกตใบหน้างดงามของนาง สายตาพลันหม่นวูบลงเล็กน้อย “ท่านรู้สึกต่อฝ่าาเช่นนี้เหมือนกันใช่หรือไม่”
“ฝ่าาหรือ เื่อะไรจะมอบให้เขา ข้าไม่มีทางแบ่งปันความรักของข้ากับหญิงอื่นเด็ดขาด!” เฟิ่งเฉี่ยนพูดราวกับนางไร้เยื่อใย แล้วเดินไปข้างหน้า
มู่ชิงเซียวเดินตามนางอยู่ด้านหลัง แววตาเปล่งประกายขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ