หลังหลานหุ่ยเดินออกไป อูิโยวก็เอ่ยขึ้น
“เหตุใดเ้าไม่ถามให้ถี่ถ้วนล่ะ ว่าผู้นำตระกูลหลานเดินทางมาั้แ่เมื่อใด และมายังเมืองหลวงเฟิ่งเทียนพร้อมกับใคร”
หลิ่วไป๋เจ๋อจิบชาและเอ่ยตอบ
“คำพูดของหลานหุ่ยผู้นี้มีความจริงเพียงครึ่งหนึ่ง ถึงเอ่ยถามออกไปก็ใช่ว่าจะเชื่อได้ทั้งหมด เช่นนั้นจะถามไปทำไม”
“ตระกูลหลาน้าทำอะไรกันแน่”
ชาบนโต๊ะไม้จันทน์เย็นชืดแล้ว หลิ่วไป๋เจ๋อเองก็ยังไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเื่นี้ เขาส่ายหัวและเอ่ยขึ้น
“ไม่ว่าเื่อื่นจะจริงหรือไม่ แต่ที่หลานหุ่ยไม่สามารถติดต่อผู้นำตระกูลหลานได้นั้นไม่น่าจะโกหก มิฉะนั้นเขาคงไม่ยอมอยู่ในชิงหลิ่วถังง่ายๆ เช่นนี้ เพราะตระกูลหลานอยู่แบบสันโดษมาโดยตลอด ไม่เคยสุงสิงหรือสนิทสนมกับตระกูลใดเป็พิเศษ…”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ อูิโยวก็นึกบางอย่างได้ แล้วแทรกขึ้นมาว่า
“การที่หลานหุ่ยยังพักอยู่ที่นี่ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าตอนนี้ไม่มีคนสำคัญรออยู่เื้ั ผู้นำตระกูลหลานคงหายตัวไปจริงๆ!”
หลิ่วไป๋เจ๋อยืนขึ้นและเดินไปข้างหน้าต่าง แสงจากท้องฟ้าลาลับ ต้นหลิวในลานบ้านแกว่งไกวไปตามแรงลม กิ่งก้านที่เพิ่งแตกใบอ่อนส่งเสียงจากการเสียดสี
“หายตัวไปหรือ”
“ไม่น่าจะเป็เช่นนั้น”
บนโต๊ะมีจานของว่างประกอบไปด้วยขนมและผลไม้ อูิโยวหยิบเชอร์รี่แดงยัดเข้าปาก เคี้ยวๆ สองครั้งก่อนจะคายเมล็ดออกมา คิ้วพลันขมวดเข้าหากัน
“ไม่อร่อยเลย คราวหน้าข้าจะนำเชอร์รี่แดงจากหุบเขาไป่หลิงมาให้เ้ากิน ของที่นี่เปรี้ยวเกินไป”
หลิ่วไป๋เจ๋อเอ่ยกับคนรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอก
“เริ่มมืดแล้วเตรียมอาหารค่ำได้ เตรียมให้มากหน่อยเผื่อสำหรับแขกจากตระกูลหลานด้วย”
“ขอรับ”
่เช้าตรู่ที่ผืนฟ้ายังมืดครึ้ม อูิโยวที่ยังอยู่ในห้วงฝันถูกรบกวนด้วยเสียงเคาะประตูรัวเร็วแฝงแววกังวล สักพักก็รู้สึกได้ว่าคนที่อยู่เตียงข้างๆ ลุกออกไป หลังจากประตูเปิดเสียงนั้นก็หยุดลง หลิ่วไป๋เจ๋อลดระดับเสียงเพื่อพูดคุยกับคนข้างนอก
“เกิดเหตุใดขึ้น”
“เร็ว เร็วเข้า! คุณชายจิ่วฟางฟื้นแล้ว!”
ก่อนหน้านี้หลิ่วไป๋เจ๋อได้จัดแจงให้จิ่วฟางเทียนฉีพักผ่อนในห้องรับแขกของสวนหลังบ้าน แล้วขอให้หลิ่วเฉิงเฟิงดูแลเขา เดิมทีห้องนั้นเป็ห้องของอูิโยว แต่ตอนนี้ถูกจิ่วฟางเทียนฉียึดครองไปแล้ว เมื่อคืนอูิโยวก็เหน็ดเหนื่อยมากจนไม่อยากคัดค้านอะไร ดังนั้นจึงนอนในห้องของหลิ่วไป๋เจ๋อ การที่หลิ่วเฉิงเฟิงรีบร้อนมาพบั้แ่เช้าตรู่เช่นนี้ จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่
“ฟื้นแล้วก็ฟื้นสิ เ้าจะร้อนรนไปทำไม!” อูิโยวเดินเข้ามาด้วยใบหน้าบูดบึ้งเพราะถูกปลุก
“เสียงดังรบกวนหรือ เ้านอนต่อเถอะ เดี๋ยวข้าไปดูเอง”
อูิโยวโบกมือไปมา เขาหาวหวอดก่อนจะพูดว่า “เ้าไม่รู้วิธีการรักษา ให้ข้าไปดูเองดีกว่า!”
หลิ่วเฉิงเฟิงเอ่ยด้วยท่าทีกระวนกระวาย
“พวกเ้าทั้งสองเร็วเข้า เขาจะกลับเทือกเขาจู่เสียท่าเดียว ข้าห้ามเท่าไรก็ไม่ยอมฟัง!”
ทั้งสามตรงไปยังเรือนด้านหลัง บังเอิญชนกับจิ่วฟางเทียนฉีที่ลากร่างช้ำระบมออกมาพอดี ั้แ่เดินทางกลับก็ไม่รู้แล้วว่าหน้ากากครึ่งซีกหายไปไหน ปานดอกกล้วยไม้บานสะพรั่งที่หางตายิ่งทำให้ใบหน้าดูซีดเซียวกว่าเดิม
หลิ่วเฉิงเฟิงรีบก้าวเข้าไปพยุงเขา แล้วกล่าวตำหนิอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เ้าอยากตายนักใช่ไหม”
จิ่วฟางเทียนฉียังคงขืนตัวอยู่กับที่อย่างดื้อรั้น ไม่ยอมกลับเข้าห้องพัก
“ข้าต้องกลับไป อย่าห้ามข้า!”
อูิโยวส่งเสียงจิ๊ๆ ใช้นิ้วจิ้มร่างที่มีสภาพยับเยินและเอ่ยขึ้นว่า
“การเดินทางจากเฟิ่งเทียนไปยังเทือกเขาจู่เสียต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน แม้เ้าจะเร่งเดินทางทั้งกลางวัน กลางคืน ไม่กิน ไม่ดื่ม ก็ยังกินเวลาถึงสิบห้าวัน…”
จากนั้นก็จิ้มนิ้วไปที่าแ จิ่วฟางเทียนฉีกัดฟันและสูดหายใจลึก อูิโยวขยับยกมุมปากและจงใจเอ่ยต่อ
“ด้วยร่างกายของเ้าตอนนี้ เพียงเดินทางได้ครึ่งหนึ่งก็คงสิ้นใจอยู่บนหลังม้า คุณชายจิ่วฟางผู้สง่างามจะต้องมาตายเช่นนี้ ฮึ… หากข่าวแพร่ออกไปผู้คนคงได้หัวเราะเยาะ”
ฝีปากของอูิโยวทำให้จิ่วฟางเทียนฉีกัดฟันแน่น แต่ที่อีกฝ่ายพูดไม่ถือว่าผิด นึกแล้วก็เสียใจที่เมื่อหกปีก่อนเคยขโมยกินกระต่ายหิมะละลาย เพราะเ้าคนนี้คงจดจำฝังใจไปชั่วชีวิตเป็แน่
เมื่อเห็นว่าจิ่วฟางเทียนฉียอมถอยกลับ หลิ่วไป๋เจ๋อก็รีบเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์
“ถึงจะอยากกลับไปยังเทือกเขาจู่เสีย แต่ไม่ควรรีบร้อนขนาดนั้น พี่จิ่วฟาง เหตุใดไม่อยู่รักษาตัวที่นี่ก่อน อีกอย่างเ้าควรบอกพวกข้าก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เมื่อเห็นว่าทุกคนจ้องเขม็งมา จิ่วฟางเทียนฉีก็รู้ว่าตนยังไม่สามารถออกจากชิงหลิ่วถังได้ หลิ่วเฉิงเฟิงพาเขากลับเข้าห้องอย่างไม่เต็มใจนัก
อูิโยวก้าวเข้าไปตรวจอาการาเ็ ทำให้จิ่วฟางเทียนฉีต้องกัดฟันอีกครั้ง เ้าคนคนนี้ไม่ผ่อนน้ำหนักมือเลยสักนิด
“คุณชายรองอู ข้าขอโทษขอโพยเ้าไปตั้งขนาดนั้นยังไม่พออีกหรือ เ้าถึงได้ไม่เบามือเช่นนี้ ต่อให้วันนี้ข้าไม่ตายบนหลังม้าก็คงตายอยู่ที่นี่นั่นแหละ”
เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดพราย สุดท้ายอูิโยวก็ผ่อนแรงลงเล็กน้อย เพราะเขาจ้องหน้าอีกคนแต่แรกน่ะสิ อีกฝ่ายถึงรู้ความผิดของตน เขาทำเพียงแค่ถอนหายใจออกมา
หลิ่วไป๋เจ๋อยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร กระทั่งอูิโยวรักษาาแของจิ่วฟางเทียนฉีเสร็จจึงเอ่ยปาก
“พี่จิ่วฟาง าแจากแส้นี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน”
จิ่วฟางเทียนฉีไม่ปิดบัง เอ่ยเล่าทีละเหตุการณ์
หลังจากเข้าไปในป่าลึก เขาก็พบร่องรอยของอสูรร้าย จึงเดินตามไปเรื่อยๆ ใครจะคิดว่าจะพบกับฝูงเสือดาวลายเมฆ ทั้งยังเจอคนผู้หนึ่งถือแส้ยาวอยู่ในมือ
“คนคนนั้นเป็ใคร” หลิ่วเฉิงเฟิงแทรกขึ้น
จิ่วฟางเทียนฉีส่ายหัว “ข้าไม่รู้ คนผู้นั้นซ่อนร่างอยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำ ในป่าก็แสนมืด แม้แต่จะบอกว่าเป็หญิงหรือชายยังไม่สามารถบอกได้เลยด้วยซ้ำ เื่หน้าตายิ่งไม่ต้องพูดถึง”
จิ่วฟางเทียนฉีขมวดคิ้ว ใบหน้าซีดสง่างามดูกังวลยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่ายังกล่าวไม่หมด
“ทว่าจากบรรยากาศรอบกาย ทำให้ข้าพอจะแยกแยะได้ว่าเขาคนนั้นมาจากที่ใด”
“ที่ใดหรือ”
“ฮ่วนิหยวน!”
สีหน้าทุกคนพลันวิตกกังวล แม้แต่หลิ่วไป๋เจ๋อที่มักไม่แสดงอารมณ์ใดก็ยังขมวดคิ้วน้อยๆ
อูิโยวยกมือแตะหน้าผากของจิ่วฟางเทียนฉีและถามด้วยความฉงน “หน้าผากเ้าก็ไม่ร้อน ยังงัวเงียอยู่อีกหรือ”
จิ่วฟางเทียนฉีเผยยิ้มขมขื่น แต่เขาก็เข้าใจว่าทำไมอูิโยวถึงได้สงสัย ั้แ่สมัยก่อน พื้นที่ของฮ่วนิหยวนและดินแดนเจ๋อถูกแบ่งแยกออกจากกันด้วยลำธารลึกที่ไม่อาจหยั่งถึงก้นบึ้ง กว้างใหญ่จนมองไม่เห็นปลายฝั่ง ไร้ซึ่งจุดกำเนิดและจุดสิ้นสุด สิ่งเหล่านี้เป็ปราการธรรมชาติที่กั้นขวางระหว่างสองแผ่นดิน ที่เดียวที่เป็จุดเชื่อมคือป่าใต้พิภพอันไพศาล
ป่าใต้พิภพนั้นลึกล้ำและมีิญญาชั่วร้ายมากมายอาศัยอยู่ อย่างน้อยจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยมีใครเข้าไปข้างในได้มาก่อน ไม่ต้องพูดถึงการเดินผ่านป่าแห่งนี้เพื่อมุ่งไปยังฮ่วนิหยวนเลย
ปัจจุบันอยู่ใน่ปลายฤดูใบไม้ผลิบาน เป็เวลาที่กำแพงพิษก่อตัวหนาแน่น เหล่าิญญาร้ายถอยกลับสู่ฮ่วนิหยวน พวกมันไม่สามารถซ่อนตัวจากกำแพงพิษและไม่สามารถหลบหลีก ทำให้ข้ามไปยังดินแดนเจ๋อไม่ได้ ขณะเดียวกันพวกที่อยู่ทางฝั่งฮ่วนิหยวนก็ไม่สามารถข้ามมาฝั่งนี้ได้เช่นกัน เมื่อจิ่วฟางเทียนฉีบอกว่าคนคนนั้นมาจากฮ่วนิหยวน ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเชื่อคำพูดของเขาได้ง่ายๆ
“ข้าก็ไม่มั่นใจมากนัก แต่บรรยากาศรอบกายชายผู้นั้นเหมือนกับที่นั่นจริงๆ” จิ่วฟางเทียนฉีมีท่าทีลังเล
“หากเ้าคาดเดาได้ถูกต้องและเขามาจากฮ่วนิหยวนจริง บางทีอาจเดินทางมายังดินแดนเจ๋อั้แ่ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งมา”
ไม่มีใครเห็นแย้งการคาดเดาของอูิโยว
หลิ่วไป๋เจ๋อพลันกล่าวว่า
“ถึงจะเป็เช่นนั้น แต่การข้ามผ่านป่าใต้พิภพก็ไม่ใช่เื่ง่าย มิฉะนั้นดินแดนเจ๋อคงไม่สงบสุขเช่นนี้”
จิ่วฟางเทียนฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กลืนคำพูดกลับลงไป เขาไม่ได้ค้านการคะเนของอูิโยว แต่ก็ยังมีข้อสงสัย ก่อนมาถึงเมืองหลวงเฟิ่งเทียน เขาเห็นเงาดำในป่าใต้พิภพ ลักษณะคล้ายผู้ที่ถือแส้ผู้นั้นมาก ไม่ว่าในแง่ลมปราณหรือการเคลื่อนไหวก็ตาม
ไม่ใช่ไม่อยากบอกทุกคนตรงนี้ แต่ในใจยังคงมีคำถามมากมาย การทำอะไรหุนหันพลันแล่นไม่ใช่วิถีของเขา
เื่เก่ายังคั่งค้าง เื่ใหม่ก็แทรกขึ้นมา อูิโยวชำเลืองมองหลิ่วไป๋เจ๋อที่อยู่ข้างกาย แอบถอนหายใจภายใน อย่างที่เขาพูด ่ปลายฤดูกาลนี้เมืองหลวงเฟิ่งเทียนจะคึกคักเป็พิเศษ
แต่ก็ครึกครื้นเกินไป ผู้นำตระกูลหลานหายตัว ขบวนรถม้าก็ถูกอสูรโจมตี สัตว์ร้ายจากฮ่วนิหยวนตัวหนึ่งออกอาละวาดในเมืองหลวง สัตว์เลี้ยงทางตอนใต้ของเมืองก็ถูกโจมตีจากสิ่งนั้น ปลายฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ยังมาไม่ถึงดี แต่เมืองเฟิ่งเทียนก็คึกคักเต็มไปด้วยเื่น่าตื่นเต้นเสียแล้ว!
คนรับใช้นอกห้องก้าวเข้ามารายงานว่า อูิหลิง บุตรสาวคนโตตระกูลอูมาถึงแล้ว กำลังรออยู่ที่โถงใหญ่ อูิโยวมองไปยังหลิ่วไป๋เจ๋อ ผุดยิ้มขึ้นในใจ ในที่สุดพี่สาวของเขาก็มีพัฒนาการแล้ว เลิกท่าเยอะสักทีสินะ
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้ตอบสนองและยังนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน หน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ไม่ได้ยินเสียงคนรับใช้รายงานด้วยซ้ำ อูิโยวกระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยตอบเสียงดังว่า
“โอ้ ที่แท้พี่สาวของข้าเองหรือนี่ที่มา!”
หลิ่วไป๋เจ๋อถูกเสียงนี้ดึงออกจากห้วงความคิด พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“บอกให้แม่นางอูรอสักครู่”
คนรับใช้ถอยออกไป หลิ่วไป๋เจ๋อยังคงไม่ลุกขึ้น นั่งจิบชาที่คนรับใช้เพิ่งนำมาให้ ดูเหมือนเขาไม่ได้มีทีท่าจะออกไปเลยด้วยซ้ำ
อูิโยวก้าวไปข้างหน้าและเร่งเร้า
“ทำไมเ้ายังนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้”
“หือ” หลิ่วไป๋เจ๋อเงยหน้า หันไปเผชิญกับอูิโยวราวกับไม่รู้อะไร
อูิโยวแทบจะแดดิ้นเพราะความเฉยเมยของเขา
“พี่สาวข้ามาที่นี่ ทำไมเ้ายังไม่ไปหาอีก”
“แม่นางอูมาหาเ้า เหตุใดข้าต้องไป”
อูิโยวรู้สึกขัดใจ แทบจะขาดใจตายเสียให้ได้ ไม่พูดซ้ำเป็ครั้งที่สอง แต่ดึงหลิ่วไป๋เจ๋อออกไปข้างนอกทันที ก่อนออกไปยังะโใส่หลิ่วเฉิงเฟิงที่อยู่ข้างหลังไปทีหนึ่ง
“จับตาดูคุณชายจิ่วฟางด้วย หากเขาออกจากห้องนี้พวกเ้าทั้งคู่ได้นอนเป็ผักไปครึ่งเดือนไม่ฟื้นแน่นอน”
หลิ่วเฉิงเฟิงกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ “เ้ามีสิทธิ์อะไร!”
“สิทธิ์ที่เ้าเอาชนะไม่ได้!” อูิโยวโยนเถาวัลย์ไปยังหลิ่วเฉิงเฟิง มัดเท้าเขาไว้กับขาโต๊ะอย่างแ่า
“อูิโยว! เ้าคนขี้โกง ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เ้าแน่!”
ทั้งคู่หายออกไปจากห้องแล้ว จิ่วฟางเทียนฉีทำได้เพียงขยับยิ้มและถอนหายใจ
ทั้งคู่เร่งฝีเท้าไปที่ห้องโถงใหญ่ แต่กลับไม่พบอูิหลิง คนรับที่ตามมาข้างหลังรายงานว่าคุณหนูอูอยู่ที่สวนหลังเรือน
ปลายฤดูใบไม้ผลิกำลังใกล้เข้ามา แสงอาทิตย์อบอุ่น มวลผกาผลิบาน เมื่อไปถึงสวนหลังเรือนก็เห็นอูิหลิงยืนอยู่ริมสระน้ำใส กำลังเหม่อมองดอกบัวแดงที่บานสะพรั่ง
นางสวมชุดสีดอกอิง ยืนตระหง่านสง่างาม พิสุทธิ์ดึงดูดสายตายิ่งกว่าดอกบัวในสระเสียอีก
———————————————
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้