เขาเอาไปขายต่อ หากตัดค่าหีบห่อออกไป เช่นนั้นก็ได้เงินถึงหกร้อยตำลึงเชียวนะ
การทำธุรกิจนี้โลภมากเกินไปแล้ว
ก่อนหน้านี้กวนซูเยวียนยังคิดว่าให้โจวอ้าวเสวียนมาทำธุรกิจนี้พวกนางติดหนี้บุญคุณเขามากเหลือเกิน ผู้ใดจะคาดคิด ตอนนี้กลับได้ยินว่าเขาเพียงนำมาขายต่อกลับได้กำไรมากกว่าพวกนางหนึ่งเท่าจะต้องรู้ว่าเงินสามร้อยหกสิบอีแปะของพวกนาง ยังต้องตัดต้นทุนที่สูงเกือบจะครึ่งหนึ่งเชียวนะ!
“ท่านป้า มันคือธุรกิจนะเ้าคะ” เฉินเนี้ยนหรานกลับมองออกแล้วปลอบใจนาง
เฉินจื่อิได้ยินความจริงเื่นี้แล้วก็เ็ป แต่เขาก็เป็พ่อค้าเล็กๆจึงเข้าใจเหตุผลตรงนี้ “ใช่ นี่คือธุรกิจ ตอนที่พวกเราไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงขอให้เขาหาเงินให้เงินค่าแรงที่พวกเราหาได้ ก็ถือว่าติดหนี้บุญคุณแล้ว ไม่ต้องคิดมากแล้วธุรกิจนี้หากเป็พวกเราทำออกไปขายเอง ผู้ใดจะรู้ว่ามันจะนำเื่ยากลำบากอะไรมาหรือไม่”
ด้วยคำพูดโน้มน้าวของทั้งสอง กวนซูเยวียนจึงสงบลงบ้าง แต่ความรู้สึกอยากจะซื้อของต่อไม่เหลือแล้ว
ระหว่างทางกลับโรงเตี๊ยม สตรีวัยกลางคนมากความสามารถคนนี้เอาแต่เงียบคำนวณเงินค่าขนมไหว้พระจันทร์ตลอดคำนวณกำไรที่โจวอ้าวเสวียนได้ไปจากแผนการนี้ สุดท้าย ยิ่งคิดยิ่งปวดใจยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ คิดไปคิดมา หลังจากเดินถึงโรงเตี๊ยม นางก็นอนหลับไปแต่โดยดี
เมื่อเห็นป้าสะใภ้หลับไปแล้ว เฉินเนี้ยนหรานถึงได้ถอนหายใจออกมาท่านป้าคนนี้ มีลูกมากถึงห้าคนแล้ว ทว่าบางครั้งการแสดงออกยังคงเหมือนเด็กคนหนึ่งแต่หากท่านป้าไม่ใช่คนเช่นนี้ เกรงว่าท่านลุงคงไม่ยอมลงให้นางเช่นนี้
และยอมให้นางเช่นนี้ไปนานๆ
ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างไร้คำพูด วันต่อมาทั้งสามคนตื่นสายเป็พิเศษเพิ่งจะลุกจากเตียงมาหาข้าวเช้ากินอย่างไม่เร่งรีบ
ไม่ใช่ว่าพวกเขายินดีที่ทำตัวเกียจคร้านเช่นนี้ แต่เื่การไปคิดบัญชีไม่สามารถรีบเร่งเกินไปได้อย่างไรเขาก็ทำธุรกิจ ซึ่งมีข้อห้ามข้อหนึ่งกล่าวไว้ว่า ในตอนเช้าตรู่ ที่ดีที่สุดคืออย่าเร่งไปเอาเงิน
อย่างเช่น ร้านค้าร้านหนึ่ง มีคนเข้ามาขอยืมเข้าห้องน้ำั้แ่เช้าตรู่เ้าของร้านมักจะดึงหน้าแล้วไล่ออกไป
หากไปเอาเงินั้แ่เช้าตรู่ จะทำให้คนมีความรู้สึกเหมือนกำลังถูกทวงหนี้หรือไม่มีมารยาทไม่ให้ความเคารพคนอื่นแต่หลังจากร้านเปิดแล้ว นั่นก็อีกเื่
ที่พวกเขาตื่นสายก็คือให้ร้านเปิดแล้ว จึงค่อยไปเอาเงินกับเ้าของร้าน
“แม่หนู พวกเราไปเอาเงิน พวกเขาจะไม่บ่ายเบี่ยงใช่หรือไม่ข้ากลัวเื่เช่นนี้อยู่สักหน่อย ได้ยินมามาก ไม่รู้ว่าร้านนั้นเป็ของคุณชายห้าจริงหรือไม่” ระหว่างทางไปร้าน เฉินจื่อิยังพูดความกังวลในใจออกมา
“ท่านลุง ข้าเชื่อว่าไม่มีทางเ้าค่ะ” เฉินเนี้ยนหรานรับคำหนักแน่น ร้านนั้น ถึงแม้เ้าของร้านจะเป็คนอื่น แต่จากความรู้สึกของนางเ้าของร้านตัวจริง เกรงว่าจะเป็โจวอ้าวเสวียน แน่นอน เหตุใดโจวอ้าวเสวียนไม่ยอมบอกว่าตนเป็เ้าของร้านนั่นก็เป็เื่ของเขาจากความยุ่งยากในจวนสกุลโจวแล้ว ตำแหน่งของเขาในจวนค่อนข้างซับซ้อน หากสามารถปิดบังความจริงเอาไว้ได้จึงจะเป็หนทางที่ดีที่สุด
“อืม หวังว่าจะเป็เช่นนั้นนะ” เฉินจื่อิร้องเหอะๆออกมาอย่างปากกับใจไม่ตรงกัน ก่อนที่ทั้งสามคนจะก้มหน้าเดินไปข้างหน้าต่อ
ทันทีที่มาถึงร้านคนใช้ในร้านกำลังยุ่งอยู่กับการส่งลูกค้าเฉินจื่อิมองลูกค้าถือขนมออกไป บนใบหน้ามีรอยยิ้ม ขอแค่ร้านเปิดแล้ว พวกเขามาเอาเงินก็จะราบรื่นหน่อย
ก่อนจะหันไปบอกกับสาวใช้ในร้าน ซึ่งสาวใช้คนนั้นก็พาพวกเขาไปที่ห้องรับแขกห้องอื่น“พวกท่านรอสักครู่นะเ้าคะ ข้าจะไปเรียกเ้าของร้านของพวกเรามาเ้าค่ะ”
สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินลงมาจากชั้นบน
เฉินเนี้ยนหรานที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เห็นพนักงานของร้านรีบออกไปด้านนอกออกไปตอนนี้?
นางมองไปทางประตูเงียบๆ คนที่มาคือเ้าของร้านร่างอวบที่เคยมารับรองพวกเขา
“พวกท่าน ทำให้พวกท่านรอแล้ว ไอ๊หยา ทำไมไม่เสิร์ฟชา เสี่ยวหนิวไปเอาชามาให้แขกสามที่”
เฉินจื่อิได้ยินก็รีบห้ามไว้ “ท่านเ้าของร้าน ไม่ต้องเกรงใจกันถึงเพียงนั้นพวกเรามาในครั้งนี้เพื่อมาคิดบัญชีค่าขนมแล้วก็ไปน่ะขอรับ เหอะๆ…”
เ้าของร้านจินลูบหนวดที่คาง “ได้อย่างไรกันเล่า ได้อย่างไรกันขนมไหว้พระจันทร์ของพวกท่านทำให้ยอดขายของพวกเราไม่เลวเลย เื่นี้ ปีหน้าพวกเราจะยังร่วมมือกันอีกดังนั้นชาจะต้องดื่มนะ ส่วนเื่บัญชี ข้าเองก็รอให้พวกท่านมาแล้วจ่ายทีเดียว เช่นนั้นพวกเรามาคิดบัญชีกันตอนนี้เลยดีหรือไม่?”
เ้าของร้านพูดคำนี้ สายตากลับกวาดตาไปทางเฉินเนี้ยนหราน
ทว่าสายตานั้นไม่ได้มีความจาบจ้วงล่วงเกินอะไร กลับกันยังมีความหมายโดยนัยเป็การพิจารณาค้นหา
เฉินเนี้ยนหรานทำเหมือนไม่รู้ แล้วนั่งนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น
“ฮ่าๆ ได้ ได้ ตามที่เ้าของร้านบอกเลย คิดบัญชีไวสักหน่อยก็ดีพูดกันอย่างไม่ปิดบังเลยนะ พวกเราเตรียมตัวกลับเรือนภายในวันนี้น่ะอย่างไรที่เรือนก็ยังมีเด็กอีกสองคนที่ต้องดูแล รู้สึกไม่วางใจน่ะ” แน่นอนความจริงแล้วต้าหลางสามารถดูแลร้านได้เพียงตัวคนเดียวมานานแล้ว คำพูดนี้แค่กล่าวอ้างเท่านั้น
“อืม ข้าทราบแล้ว ตอนนี้พวกเรามาคิดบัญชีกัน”
การคิดคำนวณใช้เวลาไม่นานนัก อย่างไรทุกครั้งที่ส่งของมาในมือของทุกคนต่างมีบันทึกจำนวนของอยู่
รวมสินค้าที่ส่งมาทั้งหมดห้ารอบ ทุกครั้งที่ส่งมาจำนวนไม่เท่ากัน
“จำนวนขนมไหว้พระจันทร์คือสองหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยห่อ คิดเป็เงินสดแล้วคือ…สองพันห้าร้อยสามสิบสองตำลึง”
“เ้าของร้านเฉินจื่อิ ตรวจดูว่าจำนวนนี้ถูกต้องหรือไม่?” เ้าของร้านส่งบัญชีที่คำนวณเสร็จแล้วมาให้ และคำนวณลูกคิดให้พวกเฉินจื่อิดูอีกครั้ง
ความจริงแล้ว ก่อนที่จะมา เฉินจื่อิได้คำนวณมาแล้วรอบหนึ่งแต่ว่าเมื่อจำนวนออกมาจากปากของเ้าของร้านจิน เขายังคงตกตะลึง
วินาทีนี้ แม้แต่พ่อค้าที่ขึ้นเหนือล่องใต้ยังทำตัวให้สงบนิ่งไม่ได้เขารีบพยักหน้ารับ “ถูกต้อง เ้าของร้านจินคำนวณได้ถูกต้อง เป็เช่นนั้นแหละ”
“ก่อนหน้านี้พวกเราได้จ่ายค่าจองสินค้าไปหนึ่งร้อยตำลึงตอนนี้ตัดออกหนึ่งร้อยตำลึง จำนวนเงินที่ข้าต้องให้พวกท่านจะพอดีที่สองพันสี่ร้อยสามสิบสองตำลึงเป็เช่นนี้แหละ พวกเรามาทำสัญญากันอีก สัญญานี้เป็การจองว่าปีหน้าพวกท่านจะส่งขนมไหว้พระจันทร์ให้กับพวกเราขายข้าจะเพิ่มเจ็ดสิบตำลึงให้เป็ตัวเลขมงคลพวกท่านว่าอย่างไร?”
เฉินจื่อิฝืนกัดลิ้นตัวเองถึงจะทำให้ตัวเองสงบลงมาได้
ขณะคุยธุรกิจ เขายังยากที่จะทำให้ตัวเองสงบใจลงมาได้หลังจากได้ยินเ้าของร้านจินพูดเช่นนี้ เขาจึงหันไปมองทางเฉินเนี้ยนหรานทันที
เ้าของร้านจินเห็นท่าทางของเขา จึงรู้ได้ทันทีว่า ในบรรดาพวกเขาเฉินเนี้ยนหรานเป็คนออกความคิด ดังนั้นเขาจึงหันไปยิ้มให้เฉินเนี้ยนหราน “แม่นางท่านดูสัญญาฉบับนี้...แล้วท่านก็ลงนามเถิด”
“เ้าของร้านจิน พวกเราทำสัญญานี้กันถือว่าเป็เื่ดี แต่ราคาต้องคงไว้ให้เหมือนกับปีนี้ไม่เปลี่ยนเ้าค่ะ”ธุรกิจในปีนี้ดี แต่ผู้ใดจะรู้ว่าปีหน้าจะมีคนทำของเลียนแบบออกมาหรือไม่ถึงแม้ของเลียนแบบจะไม่ได้ดีเท่ากับที่พวกเขาทำ แต่นางต้องป้องกันความเสี่ยงเอาไว้ก่อนนางดูแค่การขาย ส่วนเื่ความเสี่ยงก็ให้เ้าของร้านจินเป็คนคิดออกมา
เ้าของร้านจินเองก็เด็ดขาดมาก เขาหัวเราะออกมา “ได้ ได้ ราคาจะต้องเป็แบบปีนี้ไม่เปลี่ยนแม่นางทำธุรกิจได้รอบคอบมากเชียวนะ กลัวว่าปีหน้าจะมีของเลียนแบบออกมา ความกังวลนี้เป็เื่ที่จำเป็จริงๆแต่ข้าเชื่อว่าแม้จะมีจริง ก็เทียบกับขนมไหว้พระจันทร์ที่แม่นางขายให้พวกเราไม่ได้หรอกสำหรับเื่นี้ข้าเชื่อมั่นในตัวแม่นางมาก”
เฉินเนี้ยนหรานพยักหน้า และลงนามสัญญาในตอนนั้นถึงแม้เงินจำนวนมากจะเป็จือเว้ยไจ๋ได้ไป แต่พวกนางก็ได้เงินมาไม่น้อยเช่นกันแค่ครั้งเดียวก็ได้สองพันกว่าตำลึง ตัดต้นทุนออกไปก็ได้หนึ่งพันกว่าตำลึงแล้วว่าไปแล้ว ทำงานยุ่งวุ่นวายกันมายี่สิบกว่าวัน แต่กลับได้เงินมากเช่นนี้หากเอายุคปัจจุบันมาเทียบ ถือว่าได้เงินหลายแสนเชียวนะ ยี่สิบวันหาเงินได้สองแสน แม้จะทำธุรกิจในยุคปัจจุบันก็ต้องดูโอกาสด้วย
รายได้หนึ่งหมื่นต่อหนึ่งวัน…เฉินเนี้ยนหรานรู้สึกว่าได้เงินมากแล้วและนางก็รู้จักพอ
ส่วนกวนซูเยวียน แม้จะนั่งเงียบไม่พูดจาอยู่ด้านข้างแต่หลังจากที่นางได้ยินว่ามีรายได้สองพันกว่าตำลึง ตอนนี้จึงอยู่ในความว้าวุ่น
สองพันกว่าตำลึง จะต้องกองใหญ่เพียงใด?
ครอบครัวพวกนางทำธุรกิจมาจนถึงขั้นนี้ ยังไม่เคยเห็นเงินสองพันกว่าตำลึงว่าเป็อย่างไร
กวนซูเยวียนคำนวณเงียบๆ ในใจ เอางานทั้งหมดในครอบครัวตัวเองมาคำนวณแล้วก็ได้ไม่กี่ร้อยตำลึง แต่ทำธุรกิจขายขนมไหว้พระจันทร์ครั้งนี้กลับได้รายรับมาสองพันกว่าตำลึง
รวยแล้ว รวยแล้ว ในความคิดของกวนซูเยวียนมีแต่คำนี้
หลังจากลงนามทำสัญญาไปแล้ว เ้าของร้านก็ไม่ได้รีบร้อนส่งแขกและไม่ได้เอาเงินให้กับพวกเขา แต่กลับพูดคุยกับพวกเขาแทน
ถึงแม้คิดบัญชีเสร็จแล้วอยากจะรีบกลับไปเลยแต่ท่าทางพูดคุยสนุกสนานของเ้าของร้าน ทำให้เฉินจื่อิที่ถึงแม้จะรีบร้อนเพียงใดก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาว่าจะกลับแล้ว อีกทั้งหนี้นี้แค่คำนวณเท่านั้น เงินยังไม่มาถึงมือ!
ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งอยู่ที่นี่ มีอะไรก็ถาม มีอะไรเข้ามาก็ตอบจนกระทั่งพนักงานมาเติมน้ำชาหนึ่งครั้ง เ้าของร้านออกไปหนึ่งรอบก่อนจะกลับมาพร้อมขนมหีบห่อสวยงามวางไว้บนโต๊ะ “ทุกท่าน เงินนี่ให้ข้ามอบเงินสดแก่พวกท่านหรือจะเป็ตั๋วเงินดี?ข้าจำได้ว่าเขตปาเจียวของพวกเรามีที่แลกเงินอยู่ใช่หรือไม่ เฮ้อพูดไปแล้ว เขตธรรมดาไม่มีร้านรับแลกตั๋วเงินเช่นนี้อยู่หรอกแต่ว่าเขตปาเจียวเป็พื้นที่พิเศษ รอบด้านต่างแวดล้อมไปด้วยน้ำการเดินทางก็สะดวกสบาย พวกนักธุรกิจล้วนต้องเดินทางผ่านที่นี่มีที่แลกเงินก็ไม่แปลก”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ แน่นอนว่าเฉินเนี้ยนหรานเข้าใจว่าเ้าของร้านกำลังเตือนอะไรพวกเขาเงินเยอะเช่นนี้ ทางที่ดีที่สุดก็คือเก็บไว้ที่ร้านรับแลกตั๋วเงิน
ดังนั้นนางจึงทำการคำนวณเปรียบเทียบอยู่ในใจ
“เช่นนั้นรบกวนเ้าของร้านให้ตำลึงย่อยหนึ่งร้อยส่วนที่เหลือให้เก็บเอาไว้ที่ร้านแลกเงินที่สามารถแลกได้ตลอดแล้วกัน” มีร้านรับแลกตั๋วเงินไว้เก็บเงินก็สะดวกขึ้นมาก ก่อนหน้านี้นางไม่ได้นึกถึงร้านรับแลกตั๋วเงิน เพราะมีเงินน้อยเกินไปตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว มีเงินมากขึ้น ก็ไม่จำเป็ต้องเก็บเงินไว้ในเรือนอีก
แน่นอน ร้านรับแลกตั๋วเงินในยุคสมัยนี้ เปิดเพื่อเก็บกำไรที่จะได้
และค่าฝากเองก็ไม่น้อย
ฝากหนึ่งเก็บสอง
หรือจะพูดว่า เงินหนึ่งร้อยตำลึง หนึ่งปีจะต้องจ่ายค่าฝากสองตำลึง
ฝากเงินหนึ่งพันตำลึงไว้หนึ่งปีก็ต้องให้ยี่สิบตำลึงแก่ร้านรับแลกตั๋วเงินในยุคปัจจุบัน ฝากเงินเอาไว้ในธนาคาร ไม่เพียงไม่ต้องจ่ายเงินธนาคารกลับให้ดอกเบี้ยเรามาอีกด้วย