เมื่อไปถึงบ่อน้ำพุร้อนก็พบว่าบนพื้นได้วางน้ำแข็งเอาไว้มากมาย ความเย็นที่แผ่กระจายออกมาจากด้านในให้ความรู้สึกเย็นสบายกว่าความเย็นที่มาจากเครื่องปรับอากาศ สิ่งแวดล้อมในยุคสมัยโบราณไม่มีมลพิษ ดังนั้นจึงไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนฤดูร้อนในยุคสมัยปัจจุบัน เมื่อมีก้อนน้ำแข็งเหล่านี้ ต่อให้เป็การแช่น้ำพุร้อนก็ยังมีบรรยากาศสุนทรีดั่งศิลปะยิ่งนัก
หลี่ลั่วรีบถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ออกแล้วะโลงไปในบ่อน้ำพุร้อนทั้งตัว
“ระวัง” กู้จวิ้นเฉินร้อนใจ ความสูงของน้ำนั้นสูงกว่าความสูงของหลี่ลั่ว แต่เขากลับพบอย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่เขากังวลนั้นเป็เขาที่คิดมากเกินไป หลี่ลั่วที่อยู่ในน้ำนั้นเหมือนดั่งปลาคาร์พที่แคล่วคล่องว่องไวมีชีวิตชีวา การเคลื่อนไหวอย่างอิสระและท่าทางที่เขาว่ายน้ำนั้นช่างงดงามเหลือเกิน
กู้จวิ้นเฉินจึงวางใจที่จะให้เขาทำตามอำเภอใจ เขาถอดอาภรณ์ของตนออก ไล่จากอาภรณ์ชั้นนอกเรื่อยไปจนถึงอาภรณ์ตัวใน ร่างของเขาจึงเปลือยเปล่าอย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่เห็นว่าเด็กน้อยที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนเหมือนดั่งปลาคาร์พนั้นจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ส่องประกายวาววับ
การเจริญเติบโตของคนสมัยโบราณนั้นรวดเร็วกว่าคนในยุคปัจจุบัน กู้จวิ้นเฉินในวัยสิบสามปีมีพันธุกรรมที่ดีของเชื้อพระวงศ์ ยามนี้เขาสูงถึงร้อยเจ็ดสิบเิเ อาจจะเกี่ยวเนื่องกับการที่เขาฝึกยุทธ์มาเป็เวลายาวนาน กล้ามเนื้อบนร่างกายของเขานั้นจึงแข็งแรงยิ่ง ไม่มีไขมันแม้แต่น้อย ขาทั้งสองข้างทั้งยาวและเหยียดตรงราวกับพู่กัน ผิวของเขาอาจจะไม่ขาวเหมือนผิวของเด็ก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับชายหนุ่มโดยทั่วไปแล้วยังขาวกว่ามากนัก
ก้นนั้นงอนเด้งเป็อย่างยิ่ง นี่เป็ส่วนที่หลี่ลั่วให้ความสนใจมากที่สุด บางคนรู้สึกว่าเสน่ห์ของผู้ชายนั้นอยู่ที่ร่างกาย บางคนรู้สึกว่าเสน่ห์ของผู้ชายอยู่ที่ความยาวของขาทั้งคู่ มีบางคนรู้สึกว่าต้องเป็เอว เป็หน้าอก แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเสน่ห์ของผู้ชายจะอยู่ที่ความอึดในการสู้ศึกในสนามรัก แต่หลี่ลั่วกลับรู้สึกว่าเป็ ก้น
กู้จวิ้นเฉินหันกลับมาอย่างกะทันหัน สบตาเข้ากับสายตาแอบมองของเด็กน้อย จากนั้นนั้นจึงเดินลงไปในบ่อน้ำพุร้อน ถามเสียงต่ำว่า “น่าดูหรือไม่?”
“น่าดูพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วพยักหน้า “ท่านพี่ฉีอ๋อง ท่านไม่เพียงแต่หน้าดี รูปร่างก็ดี และก็ดีต่อข้าด้วย”
ทันใดนั้น กู้จวิ้นเฉินพลันรู้สึกว่าลำคอของตนนั้นแห้งผาก เขาถูกกระตุ้นด้วยคำพูดของหลี่ลั่ว “แล้วข้ายังเป็ผู้ชาย ดังนั้นจึงเหมาะสมกับเงื่อนไขของเ้ายิ่งนัก ใช่หรือไม่?”
หา? หลี่ลั่วเบิกตาโต หาได้ยากยิ่งนัก คนผู้นี้ก็เรียนรู้ที่จะมีอารมณ์ขันแล้ว แต่หลี่ลั่วกลับไม่กล้าพูดว่าใช่ “ท่านพี่ฉีอ๋องคือพี่ชาย ทั้งยังมีอายุมากกว่าข้าแปดปี ข้าย่อมไม่ชอบท่านพี่ฉีอ๋องหรอกขอรับ”
กู้จวิ้นเฉินส่งเสียงฮึขึ้นครั้งหนึ่ง หลับตาลงพักผ่อน ทว่าในใจกลับรู้สึกไม่มีความสุขนัก รู้สึกว่าคนสารเลวตัวน้อยรังเกียจที่เขาแก่ไป แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าคนสารเลวตัวน้อยเข้ามาใกล้ตน กู้จวิ้นเฉินจึงลืมตาขึ้น มองหลี่ลั่วที่ขึ้นมานั่งบนขาของเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง จากนั้นร่างของเขาทั้งร่างก็ฟุบลงบนร่างของกู้จวิ้นเฉิน “ท่านพี่ฉีอ๋อง คืนนี้ข้านอนกับท่านดีหรือไม่?”
“ไม่ดี”
“ร่างกายของท่านเย็นๆ น่าสบายเสียจริง ข้าขี้ร้อนเป็ที่สุด” หลี่ลั่วพูดเองเออเองเสร็จสรรพ
กู้จวิ้นเฉินยื่นมือออกไป หมายจะยกร่างของหลี่ลั่วออกจากร่างของตน แต่เด็กน้อยไม่ได้สวมเสื้อผ้า ร่างกายนั้นเปลือยเปล่า ไม่มีสิ่งใดที่จะจับยึดได้ เขาจึงได้แต่มองร่างเล็กๆ ของหลี่ลั่วที่ซุกอยู่บนร่างกายของตน กู้จวิ้นเฉินพบว่าเขากลับรู้สึกพออกพอใจ รู้สึกว่าใจของเขาได้ถูกเติมจนเต็ม มือของเขาจึงค่อยๆ ลดต่ำลงแล้ววางลงบนหัวไหล่ของหลี่ลั่ว ลูบไล้เพียงบางเบา “ไม่ต้องกลัว ขอเพียงเปิ่นหวางมีอายุเกินยี่สิบปี จะคุ้มครองให้เ้าเอาแต่ใจได้ตลอดชีวิต”
หลี่ลั่วฟังแล้วจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จากมุมของเขานั้นมองเห็นเพียงคางที่งดงามของกู้จวิ้นเฉิน จากนั้นเขาจึงก้มหน้าลง มือเล็กๆ โอบกอดเอวของกู้จวิ้นเฉินเอาไว้
อากาศใน่เดือนแปด เริ่มจากอากาศร้อนระอุค่อยๆ เปลี่ยนเข้าสู่อากาศเย็นสบาย และเป็เวลาที่นักศึกษาทั้งแคว้นต่างก็ตื่นเต้นและตึงเครียดเป็ที่สุด เนื่องด้วยเป็่เวลาของการสอบจอหงวนในรอบระดับมณฑล (ชิวเหว่ย หรือ เซียงซื่อ) ที่จะอยู่ใน่ฤดูใบไม้ร่วงได้มาถึงแล้ว ปีนี้ในจวนโหวมีผู้ที่ร่วมเข้าสอบรอบระดับมณฑลสองคน คนหนึ่งคือหลี่ฉือในวัยสิบแปดปี อีกคนคือหลี่โจวในวัยสิบสี่ปี
หลี่โจวเข้าร่วมการสอบรอบระดับมณฑลเป็ครั้งแรก แต่สำหรับหลี่ฉือนั้นเมื่อสามปีก่อนได้เข้าสอบมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงเป็ครั้งที่สอง จวนสกุลหลี่สอบเข้าจิ้นซื่อได้สองรุ่น อีกทั้งยังเป็เพราะความสัมพันธ์ของหลี่ซวี่ ชื่อเสียงที่เคยมีในเมืองหลวงซึ่งมีขุนนางและชนชั้นสูงอย่างดาษดื่นจึงถือได้ว่าเป็ครอบครัวที่มีชื่อเสียงครอบครัวหนึ่ง
น่าเสียดายที่ในรุ่นที่สามยังไม่มีผู้ใดสอบได้
คุณชายใหญ่หลี่เวินเป็จวี่เหรินคนหนึ่ง ปีนี้มีอายุยี่สิบสามปี ไม่มีความสามารถสอบเข้าในระดับจิ้นซื่อได้ จึงใช้เงินซื้อตำแหน่งขุนนางตำแหน่งหนึ่งแล้วออกไปอยู่ชานเมือง ในรัชสมัยปัจจุบันนี้หลังจากที่จวี่เหรินลงทะเบียนขึ้นกับกรมขุนนางแล้วจะได้รับอนุญาตให้ซื้อตำแหน่งได้
ในหลายวันมานี้ในจวนจงหย่งโหวเงียบสงบยิ่งนัก ในขณะที่เงียบสงบ เรือนใหญ่และเรือนสามต่างก็ตื่นเต้นยิ่งกว่า การสอบระดับมณฑลมีทั้งหมดสามรอบด้วยกัน แบ่งเป็เดือนแปดวันที่เก้า วันที่สิบสอง และวันที่สิบห้า ทั้งหมดสามรอบ ทุกรอบเป็เวลาสามวัน รอบแรกคือการสอบความเรียงแปดขา[1] รอบที่สองสอบการใช้ภาษาหนังสือราชการ[2] และรอบที่สามคือการสอบกลยุทธ์[3]
วันแรกของหลังการสอบระดับมณฑลคือฤดูใบไม้ร่วง
“การเดินหมากของน้องหกไม่เหมือนนิสัยของน้องหก” หลี่หงกล่าว หลี่หยางซื่อกลับมายังจวนโหวใน่ต้นเดือนเจ็ด หลี่เหล่าไท่ไท่ไม่ได้สำแดงเดชอันใดอีก ระยะนี้ในจวนโหวจึงสุขสบายเป็อย่างยิ่ง ยามนี้หลี่หงและหลี่ลั่วสองพี่น้องกำลังเล่นหมากล้อมด้วยกัน
“อ้อ?” หลี่ลั่วเลิกคิ้ว “วันนี้พี่ใหญ่ก็ไม่เหมือนยามปกติในทุกวันที่จะสุภาพอ่อนโยน ออกจะใจร้อนเล็กน้อยนะขอรับ” วันนี้หลี่หงเดินหมากอย่างใช้อำนาจบีบบังคับผู้คน นี่ไม่เหมือนนิสัยที่อ่อนโยนของเขาในยามปกติ
“จริงหรือ?”
“พี่ใหญ่กำลังหนักใจเกี่ยวกับเื่การสอบระดับมณฑลในปีนี้ใช่หรือไม่ขอรับ?” หลี่ลั่วถามยิ้มๆ “พี่ใหญ่วางใจเถิด หลี่ฉือกับหลี่โจว สองคนนี้ไม่มีอนาคตอันใดหรอกขอรับ ถ้าหากว่าพวกเขาทั้งสองคนสอบผ่าน ชื่อหลี่ลั่วของข้าสองคำนี้ก็เขียนกลับหัวได้เลย”
ตุบ...หมากในมือของหลี่หงตกลงมา หมากทั้งกระดานจึงถูกทำลายไปด้วย หลี่หงใ เขามองดูหลี่ลั่ว กลับเห็นเพียงหลี่ลั่วที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา “น้องหก ข้า...”
“พี่ใหญ่รอบรู้ มากด้วยความสามารถ ทว่าด้วยเหตุการณ์ตกม้าอย่างไม่คาดฝันจึงทำให้ไร้วาสนากับการสอบเคอจวี่ ความในใจของพี่ใหญ่นั้นข้ารู้ดี” หลี่ลั่วเอ่ยปาก
หลี่หงหลับตาลง เขาชอบการอ่านหนังสือมาั้แ่เด็ก ไม่กล้าพูดว่าดีเช่นที่น้องหกกล่าวมา แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหลี่ฉือและหลี่โจวแล้ว เขามีความมั่นใจในส่วนนี้ แต่ด้วยอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันในครั้งนั้น ทำให้เขาต้องเสียใจไปตลอดชีวิต หากพูดว่าไม่อิจฉาไม่ริษยา ล้วนแต่โกหกทั้งเพ หากคิดอย่างเห็นแก่ตัว เขาก็เคยแอบๆ คิดว่าสถานการณ์เช่นตน หลี่ฉือและหลี่โจวมีสิทธิ์อะไรเข้าสอบเคอจวี่ได้ คนน่ารังเกียจพรรค์นี้ หลี่หงรู้สึกอับอาย ทว่ากลับหยุดรั้งพวกเขาไม่ได้
คิดไม่ถึงว่าจะถูกน้องหกมองออก
ช่างน่าขายหน้าจริงๆ
“คนเรามีความรู้สึกทั้งเจ็ดความหวังทั้งหก หากไม่มีความคิดเห็นแก่ตัวแล้ว เช่นนั้นจะแตกต่างอันใดกับคนที่ตายไปแล้วกันเล่า?” หลี่ลั่วไม่คิดเช่นนั้น
“พี่ใหญ่อายุมากกว่าเ้าหนึ่งรอบ แต่กลับมองอะไรไม่ได้ละเอียดถี่ถ้วนเท่าเ้า ช่างน่าละอายยิ่งนัก” หลี่หงปรับอารมณ์ของตนเรียบร้อยดีแล้ว “พวกเรามาพนันกัน หากพวกเขาสอบได้ พี่ใหญ่เป็เ้ามือ ถ้าหากพวกเขาสอบไม่ได้ น้องหกเป็เ้ามือ”
“คำพูดของสุภาพบุรุษ”
“ไม่สามารถเรียกคืนได้”
ณ จวนองค์ชายใหญ่
องค์ชายใหญ่ในวัยยี่สิบปีมีพระชายาเอกหนึ่งคน พระชายารองหนึ่งคน แต่งเข้ามาเมื่อปีที่แล้ว ยังไม่มีบุตร มารดาของเขาคือฉินกุ้ยเฟย ท่านตาของเขาคือเสนาบดีกรมกลาโหม องค์ชายใหญ่เป็ตัวเลือกที่โดดเด่นสำหรับตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท (ไท่จื่อ) สกุลฉินมีอำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกรขึ้นมาได้ในมือของเสนาบดีฉิน บัดนี้แม้อำนาจและบารมีของเสนาบดีฉินในราชสำนักจะแข็งแกร่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงไม่มีความสำคัญเท่ากับครอบครัวตระกูลขุนนางขั้นหนึ่งอยู่ดี ดังนั้นจึงคัดเลือกชายาเอกที่มีชาติกำเนิดในครอบครัวตระกูลขุนนางให้แก่องค์ชายใหญ่
“ฝ่าา หูตาของเราที่อยู่ในจวนฉีอ๋องมารายงานว่าในระยะสองเดือนนี้ บ่าวไพร่ของจวนฉีอ๋องต่างกลับไปบ้านนอกออกทะเลเพื่อรวบรวมปลาปักเป้าสดๆ พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายทั้งสามของจ้าวหนิงฮ่องเต้ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็ท่านอ๋อง ดังนั้นจึงเรียกขานตามลำดับของพระโอรส จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่แต่งตั้งยศอ๋องแก่พระโอรสด้วยสืบเนื่องมาจากการก่อฏเมื่อหกปีก่อน การก่อฏครั้งนั้นสร้างปมในใจให้แก่จ้าวหนิงฮ่องเต้ หากพระราชทานยศให้แก่พระโอรส ย่อมต้องพระราชทานที่ดิน แม้ว่าพระโอรสจะสามารถมีที่ดินของตนได้ แต่เมื่อมีที่ดินแล้วย่อมต้องมีอำนาจบารมีและกำลังทหารของตน จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่อยากให้เหตุการณ์ก่อฏเช่นเมื่อหกปีก่อนเกิดขึ้นอีก ก่อนที่ตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทจะกำหนดแน่นอน เขาไม่้าให้องค์ชายทั้งหลายมีอำนาจในมือมากเกินไป
แต่ในสายตาของขุนนางในราชสำนักต่างคิดว่าจ้าวหนิงฮ่องเต้ยังไม่อยากปล่อยวางอำนาจในมือ
อย่างเช่นเื่งานฉลองวันราชสมภพของจ้าวหนิงฮ่องเต้ครั้งนี้ เขาให้องค์ชายทั้งสามร่วมมือปรึกษากัน ทว่ากลับไม่ได้มอบหมายให้ผู้ใดเป็การส่วนตัว ทั้งยังไม่ได้แบ่งกลุ่ม เขาให้พระโอรสไปดำเนินการ เมื่อทำสำเร็จก็มีรางวัล แต่ไม่มีอำนาจ
“ปลาปักเป้ารึ? ไปรวบรวมปลาปักเป้าเป็เวลากว่าสองเดือน คนของจวนฉีอ๋องอยากจะวางยาพิษตัวเองจนตายหรืออย่างไร?” องค์ชายใหญ่หัวเราะเสียงเย็นขึ้นครั้งหนึ่ง ทว่าเขาก็รู้ดีว่านี่เป็ไปไม่ได้ “รวบรวมปลาปักเป้าไปใช้เพื่อการอันใด?”
“องครักษ์ในจวนฉีอ๋องเข้มงวดยิ่งนัก นอกจากประตูที่สองแล้วส่งหูตาของเราเข้าไปไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ หูตาที่ประตูที่สามที่ไปสืบข่าวก็ทำได้อย่างยากลำบากยิ่ง แต่ในระยะเวลาสองเดือนมานี้หมอเทวดาเมิ่งเต๋อหลางอยู่ในจวนฉีอ๋องตลอด และการรวบรวมปลาปักเป้าได้เริ่มขึ้นหลังการมาของเมิ่งเต๋อหลาง ดังนั้น...”
องค์ชายใหญ่เข้าใจแล้ว “ดังนั้นการรวบรวมปลาปักเป้าจึงเป็ความคิดของเมิ่งเต๋อหลาง หากว่าเมิ่งเต๋อหลางอยากกินปลาปักเป้า ครั้งสองครั้งก็น่าจะพอแล้ว รวบรวมปลาปักเป้าเป็ระยะเวลาติดต่อกันถึงสองเดือนกว่าย่อมมีจุดประสงค์อื่นแน่นอน”
“เช่นนั้นความหมายขององค์ชายคือ?” คนสนิทข้างกายถาม
องค์ชายใหญ่มองที่ปรึกษาของตน “เ้ามีความเห็นอย่างไร?”
ที่ปรึกษาผู้นั้นตอบ “ฉีอ๋องต้องพิษมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี ทุกคนต่างก็รู้ว่าปลาปักเป้านั้นมีพิษ และที่เมิ่งเต๋อหลางพักอยู่ในจวนฉีอ๋องถึงสองเดือนย่อมต้องเกี่ยวพันกับเื่ปลาปักเป้า ทั้งสามอย่างนี้เมื่อเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ความคิดเพียงอย่างเดียวของบ่าวก็คือต้องเกี่ยวพันกับพิษของฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายใหญ่ครุ่นคิด “ความหมายของเ้าก็คือพิษของกู้จวิ้นเฉินอาจจะมีความหวังแล้ว”
“ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีความหวัง อำนาจของฉีอ๋องก็แข็งแกร่งเกินไป หากองค์ชายใหญ่ไม่สามารถดึงฉีอ๋องมาเข้าร่วมได้ ต่อไปจะเป็ภัยที่ซ่อนเร้นได้พ่ะย่ะค่ะ” ที่ปรึกษาตอบ
“ความหมายของเ้าก็คือต้องจัดการกู้จวิ้นเฉินก่อนรึ?” องค์ชายใหญ่มีความลังเลใจเล็กน้อย
“บ่าวเพียงแต่เสนอความเห็น ทุกอย่างล้วนฟังการตัดสินใจของฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ” ที่ปรึกษาตอบ “อำนาจขององค์ชายรองและองค์ชายสามไม่น่าเกรงกลัว ที่น่ากลัวก็คือองค์ชายรองจะดึงฉีอ๋องให้เข้าร่วมกับเขาพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้ข้าคิดดูอีกที”
ณ วังหลวง
ทันทีที่องค์ชายใหญ่เข้าวังหลวง ก็ได้นำเื่ของกู้จวิ้นเฉินบอกกล่าวแก่ฉินกุ้ยเฟย
ฉินกุ้ยเฟยกำลังทาเล็บอยู่ แม้จะมีตำแหน่งสูงส่งเป็ถึงกุ้ยเฟย แต่ไม่สามารถสวมใส่อาภรณ์สีแดงสดได้ เล็บเป็ที่เดียวที่นางจะทาสีแดงสดได้ ฉินกุ้ยเฟยมิใช่สตรีที่มีหน้าตาถึงขั้นงดงาม รูปโฉมของนางพูดได้เพียงว่าสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลา แต่การดำเนินชีวิตเยี่ยงกุ้ยเฟยมาเป็ระยะเวลาหกปี ทำให้บุตรีอนุที่เคยอยู่ในจวนเลขาธิการเสนาบดีผู้นี้กลายเป็สตรีที่สง่างามและสูงส่ง บุตรีอนุที่ต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้มารดาใหญ่ั้แ่ยังเล็กนั้น ทำให้สติปัญญาของฉินกุ้ยเฟยฉลาดเฉลียว
เสื้อคลุมของกุ้ยเฟยเป็สีม่วงทั้งชุด ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีรูปโฉมงดงาม แต่เมื่อแต่งหน้าในโทนสีเข้มกลับทำให้น่าดูชมขึ้นมา ผิวของฉินกุ้ยเฟยขาวเนียนราวกับหยกขาว การแต่งหน้าเข้มนั้นเหมาะสมกับนางเป็อย่างยิ่ง
“เสด็จแม่ ลูกช่วยท่านทานะพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่คุกเข่าลงเบื้องหน้าฉินกุ้ยเฟย
“ไปไกลๆ ทางนั้นเลย” ฉินกุ้ยเฟยพูดด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ “เ้าเข้าวังในเวลานี้มีธุระอันใดกัน?”
“เสด็จแม่ทรงปราดเปรื่องนัก” องค์ชายใหญ่ยิ้มแล้วนั่งลงอีกด้านหนึ่ง
ฉินกุ้ยเฟยมองเขาแวบหนึ่ง “ท้องของพระชายายังไม่มีข่าวคราวอีกหรือ?” พวกเ้าแต่งงานกันมาสิบเดือนแล้ว”
“ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่ตอบ “มิสู้หยุดน้ำแกงห้ามครรภ์ของพระชายารอง”
“ไม่ได้” น้ำเสียงของฉินกุ้ยเฟยฟังแล้วนุ่มนวลอ่อนโยน ทว่าในน้ำเสียงนั้นกลับมีอำนาจเด็ดขาดยิ่งนัก “เสด็จพ่อของเ้าให้ความสำคัญกับตี๋ซู่ยิ่งนัก”
“เสด็จแม่กล่าวเช่นนี้มิใช่เป็การตบหน้าลูกหรือ?” องค์ชายใหญ่เอ่ยขึ้น
[1] ความเรียงแปดขา (八股文) หรือ “ปากู่เหวิน” คือรูปแบบการเขียนตอบข้อสอบในการสอบเข้ารับราชการหรือเคอจวี่ โดยแบ่งเป็ตอนๆ ทั้งหมดแปดตอน กำหนดจำนวนตัวอักษรไม่เกิน 800 คำ ซึ่งการตอบจะต้องสามารถอ้างอิงและเชื่อมโยงกับเนื้อหา “ซื่อซูอู่จิง” (สี่ตำราห้าคัมภีร์) แต่เน้นหนักในการใช้ภาษาให้สละสลวย
[2] การใช้ภาษาหนังสือในงานราชการ เป็การสอบการใช้ภาษาของหนังสือในงานราชการ แบ่งประเภทและการอ้างถึงเอกสารที่ใช้ในการอ้างอิง รวมไปถึงการตัดสินของคดีความต่างๆ
[3] การสอบกลยุทธ์ คือการสอบการวางแผนกลยุทธ์ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับราษฎร มีเงื่อนไขให้ผู้เข้าสอบเสนอวิธีการแก้ปัญหาและนโยบายต่างๆ