เล่มที่ 3 บทที่ 71
หมอเทวดาคำรามอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จวบจนกระทั่งจ้าวจื่อซินเดินจากไป ถึงกระนั้นเขาก็ยังลุกลี้ลุกลนไม่หยุด "โธ่! โธ่! โธ่! จะตายแล้ว ตอนนี้แม้กระทั่งข้าก็ไม่สามารถช่วยได้แล้ว เ้าจะต้องจากไปก่อนสามีที่อายุสั้นของเ้าแล้ว"
ขณะเดินวนไปวนมา หมอเทวดากลับไม่ลืมที่จะสวมถุงมือสีดำ
มู่หรงฉิงมองตามการเคลื่อนไหวของหมอเทวดาอย่างงุนงง นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
นางยังมีชีวิตอยู่และสบายดีโดยไม่ได้เ็ปหรือมีโรคภัยไข้เจ็บ ในตอนนี้แม้กระทั่งยาพิษที่นางเคยได้รับก็คลี่คลายไปแล้ว ฉะนั้นทำไมนางถึงต้องตายล่ะ?
แม้ว่านางจะโกรธจนเกิดอาการเืลมโจมตีเข้าที่หัวใจ แต่เนื่องจากยาของหมอเทวดากอปรกับกำลังภายในของเขา มู่หรงฉิงจึงสบายดี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ตอนนี้ผิวหน้าของนางแดงก่ำและฉ่ำวาว ดูอย่างไรก็มองออกว่าสุขภาพดี
หลังจากหมอเทวดากระวนกระวายไปได้สักพักหนึ่ง เขาถึงได้พบว่าผิวหน้าของมู่หรงฉิงเป็สีแดงและมองตัวเองด้วยสีหน้าแปลกๆ ทันใดนั้น เขาใ "อะไรกัน! ทำไมเ้าถึงดูสวยสดใสเช่นนี้?"
ด้วยเหตุนั้นชายชราจึงเดินไปหามู่หรงฉิงอย่างสงสัย จากนั้นยกมือขึ้นจับััใบหน้าสวยสดใสของนางโดยไม่มีการกล่าวบอกใดๆ
“นี่ ไม่มีวี่แววว่าจะต้องพิษเลย มันยังนุ่มอยู่เลย”
พูดพึมพำพลางจับมือของมู่หรงฉิง เขาหรี่ตาและตรวจชีพจร
มู่หรงฉิงไม่รู้ว่าหมอเทวดา้าทำอะไร แต่เมื่อเห็นเขาจริงจังถึงเพียงนั้น นางย่อมไม่ได้รบกวนเขา แค่รอให้เขาตรวจชีพจรอย่างเงียบๆ คอยดูว่าเขาจะสรุปออกมาอย่างไร?
ระหว่างรอ มู่หรงฉิงพลอยนึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อนได้คร่าวๆ คราวที่แล้วองค์หญิงองค์นั้นบอกว่า ทุกส่วนของร่างกายของหมอเทวดามีพิษทั้งหมด ถ้าพลาดพลั้งัักับร่างกายของเขาจะทำให้ตายได้ ดังนั้นเวลาที่หมอเทวดาอยู่กับองค์หญิง เขาจะสวมถุงมือตลอดเวลา แต่ครู่ก่อนหมอเทวดาจับมือของนางโดยไม่สวมถุงมือ และนางก็ไม่เป็อะไรเลยแม้แต่น้อย
คิดได้ดังนั้น มู่หรงฉิงถึงกับรู้สึกเบิกบานในใจ นางจึงนั่งลงเพื่อยืนยันคำพูดของหมอเทวดา
หลังจากทานยาเมื่อครั้งนั้นแล้ว ร่างกายของนางก็สามารถต้านทานยาพิษและสิ่งมีพิษทั้งหลายได้ทุกชนิด
“ฮึ่ย! สาวน้อยคนนี้ช่างมีวาสนากับหมอผู้ให้การรักษาจริงๆ”
เขาปรบมือเสียงดัง ใบหน้าของหมอเทวดาเปี่ยมไปด้วยความสุขโดยไม่ปิดบังแต่อย่างใด ฝ่ายมู่หรงฉิงเองก็มีความสุขเช่นเดียวกัน ก่อนจะได้ยินหมอเทวดาพูดขึ้นว่า "สาวน้อยรีบโขกศีรษะให้ข้า ข้าจะเป็อาจารย์ของเ้า และเ้าก็ต้องเป็ศิษย์ของข้า"
ด้วยประโยคหนึ่ง ‘ข้าจะเป็อาจารย์ของเ้าและเ้าก็ต้องเป็ศิษย์ของข้า’ มู่หรงฉิงถึงกับตกตะลึง แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ใบหน้าของนางก็ฉายชัดว่ามีความสุข นางคุกเข่าลงต่อหน้าหมอเทวดา "ท่านอาจารย์ที่เคารพ ได้โปรดรับการคารวะจากศิษย์ด้วยเถอะ"
การได้เป็ศิษย์ของหมอเทวดา นับได้ว่าเป็กำไรที่ได้มาโดยคาดไม่ถึง
"อืม ดีมาก ดีมาก อาจารย์เองก็ไม่ตระหนี่ ตำราแพทย์นี้ถือว่าเป็ของขวัญชิ้นแรกที่ข้าจะมอบให้เ้า จากนี้ต่อไปเ้าจะเป็ศิษย์ของข้าผู้เป็หมอเทวดา"
หมอเทวดาหัวเราะฮ่าๆ ดังลั่นพร้อมช่วยประคองมู่หรงฉิงขึ้นมา และในเวลาเดียวกันเขาก็หยิบหนังสือเล่มหนาออกมา ยื่นมันใส่มือของมู่หรงฉิง "ตำราแพทย์นี้เป็บันทึกในชีวิตของข้า นี่เป็ของดี ดูเ้าเป็คนฉลาดเฉลียว ถ้าเ้าเข้าใจสาระสำคัญในตำราแพทย์ เ้าก็จะเป็หมอเทวดาครึ่งหนึ่งแล้ว"
คำพูดนั้นทำให้มู่หรงฉิงใจเต้นตุบๆ และรีบเก็บหนังสืออย่างว่องไว
“อ้อ เมื่อหลายอึดใจก่อนเ้าจะพูดอะไร?” หลังจากรับเป็ศิษย์ หมอเทวดาดูมีความสุขเป็อย่างมาก เขายกมือขึ้นลูบหนวดขาวซ้ำๆ พร้อมเอ่ยถามมู่หรงฉิงด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยเมตตาและมีอัธยาศัย
“อ๊ะ?” หลังจากหยุดจังหวะชั่วคราว มู่หรงฉิงก็พูดว่า “ศิษย์้าขอท่านอาจารย์เก็บเื่ในวันนี้ไว้เป็ความลับ ศิษย์หวังว่าท่านอาจารย์จะยังไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นรับรู้ ไม่เพียงแต่เื่ที่ศิษย์รู้เื่ผลโยิ แต่ขอท่านอาจารย์ได้โปรดอย่าบอกใครทั้งสิ้นว่า ยอมรับฉิงเอ๋อร์เป็ศิษย์"
“สิ่งนี้หรือ สิ่งนี้พูดง่าย ข้าไม่มีอะไรดีเลย แต่ปากของข้านั้นปิดสนิท” หมอเทวดาหัวเราะฮ่าๆ เดินออกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอารมณ์ดี
อืม... จะต้องกลับไปบอกเ้าเด็กเป้ยหนิงคนนั้น เขารับศิษย์คนใหม่แล้ว และศิษย์คนใหม่ก็ช่างน่ารัก มิหนำซ้ำนางยังเก่งมากด้วย หึ!
เห็นหมอเทวดาเดินออกไปด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอย่างมีความสุข ปี้เอ๋อร์ก็ปรี่เข้าไปในห้องทันที ทว่ากลับเห็นมู่หรงฉิงยืนอยู่ในห้องอย่างสงบ
“คุณหนูใหญ่ เขาทำอะไรไม่ดีต่อคุณหนูหรือไม่?” เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกของหมอเทวดาที่บอกว่า ‘เ้ากำลังจะตายแล้ว’ ทำให้นางใจริงๆ
มู่หรงฉิงส่ายศีรษะ นางรับรู้ว่าอารมณ์ของตนเปลี่ยนแปลงไปหลากหลายซึ่งเป็เื่ยากที่จะทำให้สงบจิตใจได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เกินความคาดหมายของนางเป็อย่างมาก อย่างแรกนางรู้ว่าชีวิตของเฉินเทียนหยูเหลือไม่เกินครึ่งปี จากนั้นนางก็กลายเป็ศิษย์ของหมอเทวดา
เดิมทีนาง้าขอให้หมอเทวดาอยู่ในเมืองหลวงอีกสองสามวัน จะเป็การดีกว่าถ้าเขาอยู่ในเมืองหลวงใน่ระยะเวลาครึ่งปีเพื่อที่จะได้ช่วยนางรักษาเฉินเทียนหยู แต่นางไม่นึกไม่ฝันเลยว่า สุดท้ายนางกลับได้กราบหมอเทวดาเป็อาจารย์
เมื่อััหนังสือเล่มหนาในแขนเสื้อของตนเอง มู่หรงฉิงพลอยรู้สึกปีติยินดีในใจแต่หลังจากนั้นนางกลับรู้สึกเศร้าโศกอีกหน
ดูเหมือนว่า นางจะต้องเร่งดำเนินการถึงจะถูก
กลุ่มคนเข้าไปในอุโมงค์ลับจากบ้านหลังนั้นกลับไปที่เรือนหยางเซิง มู่หรงฉิงรู้สึกว่า จ้าวจื่อซินแปลกมาก ถึงกระนั้นนางก็ไม่อาจบอกได้ว่าเขาผิดปกติตรงส่วนไหน
เมื่อนางเดินออกจากทางลับเข้าไปในเรือน ร่างสูงก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาด้วยความเร็ว "น้องหญิง น้องหญิงไปอยู่ที่ไหนมา? ข้าตามหาเ้าเป็เวลานานแล้ว"
นางเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นว่าใบหน้าของเฉินเทียนหยูเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ทั้งหอบหายใจแรง จากนั้นนางได้เหลือบไปเห็นชายชุดดำที่นอนอยู่ในเรือน นางถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้า
ทันทีที่ชิงยวี่เข้าไปในเรือน เขาต้องขมวดคิ้วเช่นกันก่อนเร่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบ ครั้นเห็นว่าชายชุดดำยังคงหายใจอยู่ เขาก็พ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก
“ท่านพี่ทำร้ายคนเ่าั้หรือ?” หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหยาดเหงื่อของเฉินเทียนหยู แต่ถูกเขาจับมือเสียก่อน “น้องหญิงไม่ดี ข้าหลับแล้วและน้องหญิงก็ไม่อยู่กับข้า ข้ากำลังมองหาน้องหญิง แต่พวกเขาก็เข้ามาขัดขวางข้า น้องหญิงบอกว่าฆ่าคนไม่ได้ ดังนั้นข้าก็เลยไม่ฆ่าพวกเขา ข้าแค่ชกพวกเขาให้หมดสติเท่านั้น”
เห็นๆ อยู่ว่าเขาเป็คนทำให้คนอื่นาเ็ แต่กลับพูดคล้ายว่าตนเองเป็ผู้ถูกกระทำเสียอย่างนั้น ชั่วขณะหนึ่งมู่หรงฉิงจึงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายนางกลับแค่ถอนหายใจ "ฉิงเอ๋อร์มีบางอย่างที่จะต้องทำ จึงออกไปข้างนอกสักพัก และเวลานี้ฉิงเอ๋อร์ก็กลับมาแล้วไม่ใช่หรือ?"
“ไม่ได้ คราวหน้าน้องหญิงจะต้องนอนกับข้า และออกไปเองไม่ได้ ข้าเป็ห่วง ข้ากลัวว่าน้องหญิงจะหายตัวไป” เขากุมมือของนางไว้แน่นราวกับกลัวว่านางจะหายไปอย่างกะทันหันอีกหน
ทั้งที่นางอยู่กับเขาก่อนที่เขาจะหลับ และในความฝันของเขา นางยังคงทำขนมให้เขาด้วย แต่เมื่อตื่นขึ้นมา เขากลับไม่เจอนาง มันทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจเป็อย่างมาก และคนพวกนั้นก็น่ารำคาญจริงแท้ ฝ่ายตรงข้าม้าหยุดเขาให้ได้โดยบอกว่าไม่ให้เขาไปหาน้องหญิง
เดิมที้าที่จะฆ่าคนเ่าั้ทุกคน แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่น้องหญิงเคยบอกไว้ว่า เขาต้องไม่ฆ่าคนตาม้า เขาจึงอดทนอดกลั้นไว้และเพียงแต่ชกอีกฝ่ายจนหมดสติ
คำพูดของเฉินเทียนหยูทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกหึงหวงเป็อย่างมาก
ท่านพี่ เมื่อก่อนท่านพี่ใส่ใจจานไฉ่เยว่เช่นนี้ด้วยหรือไม่? หากท่านพี่มีเวลาเพียงครึ่งปี นั่นก็เป็ความประสงค์ของ์ และข้าคงไม่อาจต่อต้านเพื่อพลิกสถานการณ์จากร้ายกลับกลายเป็ดีได้ แต่อย่างไรก็ดี หากท่านพี่ฟื้นคืนกลายเป็คนปกติและฟื้นความทรงจำได้แล้ว ท่านพี่จะไปหาคนที่ท่านเคยรักอย่างหมดใจ โดยไม่สนใจอะไรใดๆ หรือไม่?
ความหึงหวงในหัวใจผุดวาบมาเร็วเกินไปและมาเร็วกระทั่งนางไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงได้มีความคิดเช่นนั้น
มู่หรงฉิงให้คำสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่านางจะไม่ไปไหนตามลำพังอีก ทว่าเฉินเทียนหยูเหมือนจะไม่ได้ฟังแม้แต่ เขาจับมือของนางแน่น โดยบอกว่าที่ที่นางไป เขาจะตามไปด้วย
ด้วยความจนปัญญาจริงๆ มู่หรงฉิงจึงทำได้แค่พูดกับปี้เอ๋อร์ว่า "ส่วนที่เหลือเ้าก็ทำต่อไปก่อน ข้าจะกลับไปที่เรือนม่อเหอกับคุณชายรอง"
เดิมทีคิดจะเล่นละครกับปี้เอ๋อร์อีกหน แต่เฉินเทียนหยูตามตอแยจนปลีกตัวออกไปไม่ได้ นางจึงอับจนหนทางที่จะดำเนินการตามแผนการที่วางไว้
“รับทราบ คุณหนูใหญ่วางใจได้ บ่าวจะไม่ทำให้คุณหนูต้องผิดหวังอย่างแน่นอน” ทางด้านปี้เอ๋อร์ก็เห็นท่าทีจนปัญญาของมู่หรงฉิงด้วยเช่นกัน แม้ว่าการไม่ได้แสดงละครถัดจากนี้จะทำให้ผลสำเร็จในแผนการของมู่หรงฉิงลดลงเป็อย่างมาก แต่ครั้นมองดูเฉินเทียนหยูซึ่งไม่ยอมปล่อยมือทั้งที่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม นางจึงทำได้แต่ถอนหายใจ โธ่! ช่างเถอะ ตนคิดหาวิธีด้วยตัวเองก็ได้ เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่อาจปล่อยให้การแสดงในวันนี้ต้องเปล่าประโยชน์
หลังจากสั่งกำชับกับปี้เอ๋อร์ มู่หรงฉิงก็ถูกเฉินเทียนหยูลากตัวออกจากเรือนหยางเซิงโดยมีชุนรุ่ยและชิวเหอเดินตามอยู่ด้านหลัง
เมื่อเห็นว่าเงาของคนหลายคนหายไปแล้ว จ้าวจื่อซินจึงถอนสายตา ก่อนเลื่อนสายตาเ็าจ้องมองไปทางชิงยวี่ผู้ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการช่วยชีวิตคน เขารู้สึกว่าวันนี้เฉินเทียนหยูช่างน่ารำคาญจริงๆ
ทันทีที่กลับถึงเรือนม่อเหอ มู่หรงฉิงได้หยุดคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นเปลี่ยนเส้นทางไปยังห้องเก็บฟืน พวกบ่าวเห็นนางมาแล้วจึงรีบค้อมคำนับ "น้อมทักทายคุณชายรอง น้อมทักทายฮูหยินน้อย"
“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ ยวี้เอ๋อร์เป็อย่างไรบ้าง? ยาที่แม่รองเฉินส่งมาให้เพียงพอหรือไม่?” ความวิตกกังวลประดับอยู่บนใบหน้าโดยพยายามปิดบังความเกลียดชังอย่างสุดจะทนไว้ในใจ ยิ่งนึกถึงเฉินเทียนหยูที่มีเวลาเพียงครึ่งปี นางก็อยากจะปลิดชีวิตของยวี้เอ๋อร์เสียเดี๋ยวนั้น
“เรียนฮูหยินน้อย หมอประจำจวนมาเยี่ยมในตอนเช้า และยาที่แม่รองส่งมาก็มีเพียงพอ ตอนนี้ยวี้เอ๋อร์หลับไปแล้ว” ชุ่ยเอ๋อร์ลดสายตาลงพร้อมกระซิบตอบ
มู่หรงฉิงพยักหน้าและเดินเข้าไปในห้องเก็บฟืน นางเห็นยวี้เอ๋อร์นอนอยู่บนหญ้าแห้ง ท่าทีเหมือนนอนหลับสนิท ส่วนแม่นมจิ่นและแม่นมฟางคอยช่วยดูแลอยู่ด้านข้าง แม้ไม่ถึงกับทุ่มเทสติปัญญาความสามารถ ตราบจนชีวิตหาไม่ แต่หากสังเกตจากใบหน้าหมองโทรมของพวกนาง นั่นได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกนางได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว
แม่นม เกิดอะไรขึ้นกับพวกแม่นมหรือ? ทำไมถึงถูกยวี้เอ๋อร์ควบคุม?
ลอบถอนหายใจและไม่ตอบสนองต่อการคำนับของแม่นมทั้งสองคน นางได้แต่มองไปที่ยวี้เอ๋อร์อย่างเงียบๆ ขี้ผึ้งของแม่รองเฉินเป็ของดีจริงๆ เพียงแค่วันเดียว ผิวของนางก็เกือบจะกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
ยวี้เอ๋อร์ การแสดงได้เริ่มขึ้นแล้ว เ้าต้องไม่ตาย พวกเรามาเล่นกันช้าๆ ดีหรือไม่?
การพึ่งพาอาศัยกันอย่างกะทันหันของเฉินเทียนหยูทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่ในนั้น แต่นางก็รู้สึกว่าเหนือความคาดหวัง
สำหรับคนที่บริสุทธิ์คนหนึ่งเช่นเขา เ้าปฏิบัติต่อเขาเป็อย่างดี และเขาย่อมปฏิบัติต่อเ้าอย่างดีตามธรรมชาติ เพียงแต่ความดีนั้นทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกราวกับว่านางถูกหินก้อนใหญ่กดไว้จนไม่สามารถหายใจได้เป็เวลานาน
“น้องหญิง กุ้งอร่อยมาก น้องหญิงลองสิ” เฉินเทียนหยูคีบกุ้งแก้วชิ้นหนึ่งวางลงในชามของนาง และมองดูมู่หรงฉิงด้วยดวงตาสดใส รอให้นางกินอาหารอย่างใจจดใจจ่อ
จ้าวจื่อซินกินรากบัวหนึ่งคำอย่างสง่างาม แต่ครั้นสายตาของเขาเห็นสีหน้าของมู่หรงฉิง เขาถึงกับตกตะลึงอยู่หลายส่วน ชั่วขณะนั้นดวงตาของเขาก็ดำมืดราวกับน้ำหมึกและเย็นะเืดุจน้ำแข็ง ก่อนเขาจะกินข้าวต่อไปอย่างเงียบๆ
“น้องหญิง” เฉินเทียนหยูงงงวยเพราะมู่หรงฉิงเอาแต่จ้องมองในชามโดยไม่ขยับตะเกียบ เฉินเทียนหยูไม่เข้าใจจึงเปล่งเสียงเรียกอีกหน เมื่อเห็นนางฟื้นคืนสติ เขาก็ย้ำถ้อยคำของตนซ้ำ
คราวนี้มู่หรงฉิงยอมรับความหวังดีในที่สุด นางหยิบตะเกียบ คีบกุ้งแก้วและกัดเบาๆ
อาหารเป็อาหารที่ดีและรสชาติก็อร่อยด้วย ทว่ายามที่นางกินเข้าไป มันกลับไม่ทำให้นางรู้สึกอยากอาหารแม้แต่น้อย?
มีบางอย่างอยู่ในใจ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เลย จวบจนกระทั่งปี้เอ๋อร์เดินเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย มู่หรงฉิงถึงได้พ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก
“คุณหนูใหญ่” เ้าของเสียงเดินไปหามู่หรงฉิง ฝั่งมู่หรงฉิงก็พยักหน้าและชี้นิ้วมือไปยังที่นั่งว่าง “กินข้าวก่อน มีเื่อะไรค่อยคุยกันหลังจากกินข้าวเสร็จ”
หลังจากเอ่ยตอบรับ ปี้เอ๋อร์ก็ไม่ได้เกรงใจมากนัก นางนั่งลงทันที บ่ายนี้นางเหนื่อยจริงๆ การแสดงในแต่ละฉาก ไม่คิดเลยว่าจะเหนื่อยกว่าการต่อสู้เสียอีก
รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ชุนรุ่ยและชิวเหอจึงมาจัดโต๊ะ ทางด้านมู่หรงฉิงย้ายไปนั่งบนเก้าอี้ยาวพลางอ่านตำราแพทย์ ปี้เอ๋อร์เห็นจ้าวจื่อซินยังคงนั่งคิดตรึกตรองอยู่จึงไม่ได้สนใจถือสา นางพูดกับมู่หรงฉิงด้วยเสียงแ่เบาว่า "พรุ่งนี้เทียบเชิญของฮูหยินชั้นที่หนึ่งจะส่งมาที่จวน คิดว่าหนิงเชียนหรงและแม่รองเฉินจะไม่ปล่อยโอกาสที่ดีนี้เป็แน่”