บทที่ 126 สอนลู่จิ่งซานพูดคำหวาน
เื่หน้าร้านสวี่จือจือไม่เป็กังวล เพราะเธอรู้ว่าที่หน้าสถานีเคยมีร้านซาลาเปามาก่อน
ลู่จิ่งซานบอกให้เธอไปหากู้เสวียหมินถ้ามีอะไร แต่สวี่จือจือไม่ได้ไป หวังไห่จวินกลับไม่แปลกใจเลยที่เธอมา
“ฉันได้ยินว่าร้านฝั่งตรงข้ามสถานีมีคนจะซื้อ พวกเธอไม่ได้ไปเหรอ?” เขาพูด
“ไม่ถูกใจค่ะ” สวี่จือจือยิ้มแล้วพูด “คุณช่วยสืบให้หน่อยได้ไหมคะ ว่าร้านหน้าประตูสถานีมีใครอยากขายบ้าง?”
หวังไห่จวินยิ้มมองสวี่จือจือ “แม่หนูคนนี้ ทำไมฉลาดแกมโกงแบบนี้นะ?”
เขาพูดจบก็ไม่รอให้สวี่จือจือตอบ หยิบซองเอกสารจากลิ้นชักยื่นให้เธอ
“นี่… ร้านนี้เป็ของคุณเหรอคะ?” สวี่จือจือถามด้วยความใ
หวังไห่จวินพยักหน้า
ใครจะคิดว่าแค่ซาลาเป้ามื้อหนึ่งจะนำพาความสัมพันธ์แบบนี้มาได้
ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็เซ็นสัญญาเช่าห้าปี ตอนออกมาลู่ซือหยวนยังคงมึนงง
งั้นตอนนี้พวกเธอก็เป็คนมีหน้าร้านแล้ว แถมทำเลดีขนาดนี้ ค่าเช่าก็ไม่แพง
“จือจือ” ลู่ซือหยวนมองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชม “ต่อไปถ้าฉันทำอะไรไม่ดี เธออย่าโกรธนะ ต้องบอกฉันด้วยล่ะ”
เด็กคนนี้คือดาวนำโชคของเธอชัดๆ
ตอนนั้นเธอถูกจ้าวเจี้ยนเซ่อตีจนจมูกเขียวหน้าบวมกลับมาบ้านตระกูลลู่ เดิมที่แค่อยากให้บ้านเดิมช่วยหนุนหลัง แต่สุดท้ายหย่ากันไปเลย
่นั้นคำนินทาในหมู่บ้านเยอะแยะ ทั้งที่ได้ยินและไม่ได้ยิน ที่คิดได้และคิดไม่ได้ ถ้าไม่มีสวี่จือจือ ลู่ซือหยวนไม่รู้จริงๆ ว่าจะผ่าน่เวลานั้นมาได้ยังไง
ไม่ใช่แค่นั้นอีกฝ่ายยังชวนเธอทำธุรกิจด้วย
ค่อยเป็ค่อยไป คนในหมู่บ้านที่เคยสงสารหรือสนุกสนาน กลายเป็คนที่อิจฉาและนับถือเธอมากขึ้น
ั้แ่ย้ายไปอยู่ฝั่งตรงข้าม เอวของเธอในหมู่บ้านยิ่งตรงขึ้น แต่ก็มีเื่น่าหงุดหงิดคือคนมาพูดเื่แต่งงานกับเธอเยอะขึ้น
ตอนนี้ เธอยังไม่อยากคิดเื่พวกนี้ ลู่ซือหยวนแค่อยากตามสวี่จือจือทำร้านซาลาเปาให้ดี หาเงินให้เยอะๆ เพื่อเลี้ยงดูลูกสาวเท่านั้น
“ได้เื่แล้ว” สวี่จือจือพูดอย่างภูมิใจ
ตอนกลับถึงบ้านตระกูลลู่ฟ้าก็มืดแล้ว พอเห็นทั้งสองคนกลับมา คุณนายลู่ยังไม่ทันพูด เจินเจินกลับควงแขนสวี่จือจือด้วยความดีใจ “น้าสะใภ้ ทำไมเพิ่งกลับมาคะ คุณน้ามองไปที่หน้าประตูสิบเก้าครั้งแล้ว ถ้าพวกน้ายังไม่กลับ เขาจะมองเป็ครั้งที่ยี่สิบแล้วค่ะ”
ใบหน้าลู่จิ่งซานแดงวูบ ดีที่ผิวของเขาเป็สีแทน แม้หน้าแดงก็ไม่ค่อยชัด
คุณนายลู่หัวเราะดังลั่น
“เื่เป็ยังไงบ้าง?” ลู่จิ่งซานถาม
การเปลี่ยนเื่แบบแข็งทื่อ สวี่จือจือไม่ตอบ เธอแค่มองเขา แต่ลู่จิ่งซานกลับเขินแล้วเบือนหน้าหนี “ไม่ราบรื่นเหรอ? ไม่ได้ไปหาเสวียหมินเหรอ?”
“ไม่ได้ไป” ลู่ซือหยวนที่เป็พี่สาวแท้ๆ จิบน้ำแล้วพูด “หน้าร้านที่ฉันเล็งไว้ ถูกบ้านข้างๆ แย่งไปแล้ว”
“พวกเขาจะเปิดร้านซาลาเปาด้วยเหรอ?” คุณนายลู่พูด “อันฉินนั่นนึ่งซาลาเปาเป็เหรอ?”
เธอดูกังวลนิดหน่อย
“วางใจเถอะค่ะคุณย่า” ลู่ซือหยวนพูดต่อ “พวกเราได้หน้าร้านแล้ว แถมทำเลดีกว่านั้นด้วย”
เธอเล่าทันทีว่าพวกเธอได้หน้าร้านมายังไง พร้อมเล่าถึงโจวเป่าเฉิงกับอันฉินที่มาอวดเบ่งต่อหน้าพวกเธอ
“ต่อไปพวกแกต้องระวังหน่อยนะ” คุณนายลู่พูด “แต่ก็อย่ากลัว พวกเราไม่ก่อเื่ แต่ก็ไม่กลัวเื่”
“ใช่ค่ะ ไม่กลัว” สวี่จือจือยิ้มแล้วพูด
พอถึงกลางคืน ในห้องเหลือแค่สองคน เธอนั่งที่ขอบเตียงมองลู่จิ่งซานยิ้มๆ
ตอนแรกลู่จิ่งซานไม่สนใจ เธอมักจะนั่งที่ขอบเตียงคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
“มีอะไรเหรอ?” ลู่จิ่งซานมองเธอแล้วพูด “เงินไม่พอ? หรือว่าเื่หน้าร้าน?”
“คุณ…” สวี่จือจือยิ้มเ้าเล่ห์ “คิดถึงฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
มือที่ถือหนังสือของลู่จิ่งซานหยุดชะงัก เขาไม่กล้าสบตาเธอ แล้วแกล้งอ่านหนังสือ “ไม่รู้คุณพูดอะไรอยู่ ผมต้องอ่านหนังสือต่อ”
“ว่าแต่คุณไม่ต้องทบทวนเหรอ? งานคุณเสร็จหมดแล้วเหรอ? ระวังอย่าให้เสี่ยวอวี่แซงนะ”
แล้วเปลี่ยนเื่แบบแข็งทื่ออีกครั้ง
“เฮ้อ” สวี่จือจือถอนหายใจ เธอะโลงจากขอบเตียง เดินไปหาลู่จิ่งซานแล้วพูด “คุณไม่ใช่บอกจะจีบฉันเหรอ?”
“ไม่พูดอะไรเลยแบบนี้” เธอพูดอย่างเสียดาย “ให้คนอื่นเดาเองแบบนี้ จีบผู้หญิงไม่ติดหรอกนะ”
ลู่จิ่งซาน “…”
สวี่จือจือเข้าไปใกล้ เธอรู้สึกได้ว่าเขาตัวเกร็งและประหม่า ในใจก็อดรู้สึกอบอุ่นไม่ได้
ผู้ชายคนนี้นี่
“คุณไม่พูดก็ช่างเถอะ” เธอเบ้ปาก “ฉันไปล้างหน้าล้างตาก่อนแล้ว”
ทำให้รูปปั้นน้ำแข็งลู่จิ่งซานพูดออกมาว่าจะจีบเธอนี่ถือเป็ก้าวะโแล้ว เธอจะพอใจง่ายไปหน่อยไหม? หรือจริงๆ แล้วเธอโลภอยากได้ยินคำหวานจากปากเขามากกว่านี้?
ผู้หญิงเป็สิ่งมีชีวิตที่ใช้อารมณ์จริงๆ
ในใจสวี่จือจือคิดร้อยแปดพันเก้า เธอเดินไปที่ประตูไม่ได้หยุด
“คิดถึง” ขณะที่มือเธอแตะลูกบิด เสียงของลู่จิ่งซานก็ดังมา
“เพราะไปกับคุณไม่ได้ ก็เลยเป็ห่วง” เสียงแหบแต่มีเสน่ห์ของเขาดังเข้าหูสวี่จือจือ “เลยไปดูที่ประตูหลายครั้ง”
“ผมพูดไม่ค่อยเก่ง” เขาก้มหน้าลง สวี่จือจือหันกลับไปแต่ไม่เห็นสีหน้าของเขา เธอได้ยินเขาพูดต่อ “ต่อไปคุณอยากฟังอะไร ช่วยสอนผมได้ไหม?”
นี่มัน…บริสุทธิ์จนน่ารักเลย
หัวใจสวี่จือจืออ่อนยวบ เธออยากพุ่งเข้าไปกอดเขา แต่เหตุผลเสี้ยวสุดท้ายหยุดเธอไว้
“ได้สิ” เธอยิ้มหวาน “ลู่จิ่งซาน ฉันดีใจมากเลย”
พูดจบเด็กสาวก็เปิดประตูวิ่งออกไป ทิ้งลู่จิ่งซานที่นิ่งอึ้งมองประตู ไม่รู้คิดอะไรอยู่
ลู่จิ่งเหนียนเดินผ่านประตูพอดี พอเห็นเขาก็เลยทัก “พี่สาม อ่านหนังสืออยู่เหรอ?” แล้วพูดต่อ “หนังสือพี่ทำไมกลับหัวล่ะ?”
ลู่จิ่งซานถึงรู้ว่าเมื่อกี้ตอนที่ประหม่า เขายังแกล้งทำเป็อ่านหนังสือด้วย เธอต้องเห็นแน่ๆ
ใบหน้าลู่จิ่งซานแดงเรื่ออีกครั้ง เขาปรับหนังสือให้ถูกต้องอย่างจริงจัง แล้วมองลู่จิ่งเหนียนเบาๆ “่นี้ว่างมากเหรอ?”
ลู่จิ่งเหนียนรู้สึกไม่ดีทันที “ก็…พอได้มั้ง”
“งั้นไปช่วยฉันทำเื่หนึ่ง” ลู่จิ่งซานพูดจบแล้วกวักมือเรียกอีกฝ่าย
“พี่สาม พี่จะไปจัดการใครอีกล่ะ?” ลู่จิ่งเหนียนตื่นเต้นนิดหน่อย
เขาไม่ได้เห็นสีหน้าแบบนี้บนใบหน้าพี่สามมานานแล้ว และปกติถ้ามีสีหน้าแบบนี้ แปลว่าใครบางคนจะต้องซวย
“โจวเป่าเฉิงเหรอ?” เขาถามเบาๆ
เป็โจวเป่าเฉิงจริงด้วย!
ในใจของเขาจุดเทียนให้โจวเป่าเฉิงเงียบๆ
แต่่นี้หมอนี่ก็กร่างเกินไปหน่อยจริงๆ นั่นแหละ
.............................