ครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่ฝูคังกลับมาที่บ้านแล้ว เมื่อเข้าไปในห้องโถงพบว่าจ้าวซื่อยังคงคุยเื่ซ่อมแซมบ้านกับเหล่าพี่น้องอย่างกระตือรือร้น จึงอดหน้าแดงอีกครั้งไม่ได้
หลี่หรูอี้เอ่ยถาม “พี่รอง ท่านไปไหนมา?”
หลี่อิงฮว๋ายิ้ม “พี่รองไปดูที่มากระมัง ดูว่าจะสร้างห้องใหม่ที่ไหนดี?”
ใบหน้าของหลี่ฝูคังแดงยิ่งขึ้น แต่คราวนี้ไม่ได้วิ่งหนีอีก “ผู้ใดกล่าวเช่นนั้นกัน บ้านหวังไห่จะแยกบ้านแล้วไม่ใช่หรือ ข้าไปถามเื่นี้ในหมู่บ้านมาต่างหาก”
จ้าวซื่อเลิกคิ้วถาม “พวกเขาแยกบ้านกันอย่างไร แยกหมดหรือแยกภายใน?”
หลี่หรูอี้ถามอย่างแปลกใจ “แยกหมดกับแยกภายในหมายความว่าอย่างไรหรือเ้าคะ?”
จ้าวซื่ออธิบาย “แยกหมดก็คือ แยกบ้านกันอย่างสิ้นเชิง ไม่นับรวมแรงงานเข้าด้วยกัน แยกภายในก็คือ แยกกันในครอบครัว ไม่กินข้าวร่วมกัน แต่ภายนอกยังไม่ถือว่าแยก ยังนับรวมการเกณฑ์แรงงานด้วยกัน”
การเกณฑ์แรงงานก็คือ การที่ราชสำนักควบคุมให้ราษฎรไปเกณฑ์เป็ทหารออกสู้รบ หรือเกณฑ์ชายมาเป็แรงงานซ่อมแซมท่าเรือและสร้างกำแพงเมือง เป็ต้น
การเกณฑ์แรงงานของแคว้นต้าโจวจะนับเป็ครอบครัว หนึ่งครอบครัวส่งไปหนึ่งคน
ยกตัวอย่างเช่น หากครอบครัวหวังไห่แยกบ้านทั้งหมด บุตรชายทั้งสามต่างแยกไปเป็ครอบครัวของตนเอง เมื่อถึงเวลาเกณฑ์แรงงานจะต้องส่งออกไปสามคน แต่หากแยกบ้านกันภายใน บุตรชายทั้งสามยังนับว่าเป็ครอบครัวเดียวกัน ตอนเกณฑ์แรงงานก็ส่งไปเพียงคนเดียว
หลี่อิงฮว๋าพูดว่า “ท่านแม่ขอรับ หัวหน้าหมู่บ้านหวังเป็คนฉลาดเช่นนั้น จะต้องแยกกันภายในแน่นอน”
หลี่ฝูคังพยักหน้า รู้สึกนับถือความฉลาดของหลี่อิงฮว๋า “ใช่แล้ว น้องสามพูดได้ถูกต้อง ครอบครัวหวังไห่แยกบ้านกันภายใน”
หลี่อิงฮว๋ามองไปทางหลี่หรูอี้ แล้วพูดว่า “หากแยกบ้านกันภายใน ต่อไปหากพี่จื้อเกาสอบได้ตำแหน่ง ขอเพียงสอบได้ซิ่วไฉ ครอบครัวหวังไห่ก็จะได้รับการยกเว้นการเกณฑ์แรงงานทั้งครอบครัว ทั้งยังสามารถใส่ชื่อเขาเป็เ้าของที่ดินเพื่อรับการยกเว้นภาษีได้อีกด้วย”
ต่อจากนั้นหลี่ฝูคังจึงเล่ารายละเอียดเื่การแยกบ้านของครอบครัวหวังไห่ให้ฟังรอบหนึ่ง สิ่งที่ทำให้หลี่หรูอี้คิดไม่ถึงก็คือ หวังไห่ไม่เข้าข้างภรรยาใหม่และบุตรชายบุตรสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย เฟิงซื่อที่เป็ภรรยาใหม่และบุตรชายบุตรสาวทั้งสองของนางไม่ได้รับทรัพย์สินมากเท่าใดนัก ได้น้อยกว่าบุตรชายวัยผู้ใหญ่ทั้งสองคนของหวังไห่เสียอีก
จ้าวซื่อมีสีหน้าเคร่งขรึม พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “น้าเฟิงของพวกเ้ามีชีวิตยากลำบากจริงๆ เดิมทีนางเป็คนแข็งแรง แต่เมื่อปีนั้นเกิดโรคระบาด ขณะที่นางกำลังหนีภัยพลาดกลิ้งตกูเา ทำให้ได้รับาเ็ที่ขาจึงจำต้องแต่งงานกับหวังไห่ กลายเป็แม่เลี้ยงของบุตรชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วสองคน ในที่สุดตอนนี้ก็ได้แยกบ้านเสียที แต่ก็ไม่ได้อะไรดีๆ บ้างเลย”
หลี่ฝูคังพูดพึมพำว่า “เมื่อสักครู่เข้าไปดูที่บ้านหวังไห่มาแล้ว เมื่อวานยังเป็บ้านแบบสามเรือน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าผู้ใดใช้พวกหญ้ากับโคลนมากลบระเบียงทางเดินที่เชื่อมระหว่างเรือนไปเสียแล้ว กำแพงล้อมเรือนที่สองและเรือนที่สามก็ถูกทุบเป็ประตู ข้าเห็นแล้วคิดว่ามันดูวุ่นวายและน่าเกลียดมากเชียว”
“กลบระเบียงทางเชื่อมก็ดี ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องรบกวนกัน” จ้าวซื่อลุกขึ้น “ข้าจะไปดูน้าเฟิงของพวกเ้าเสียหน่อย อีกสักครู่พวกเ้าค่อยไปซื้อแป้งขาวกับไข่ไก่แล้วกัน”
“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งไปบ้านหวังไห่เลยขอรับ” หลี่ฝูคังเอามือลูบหัวตนเอง พูดเสียงเบาว่า “ท่านน้าเฟิงกำลังทะเลาะกับหัวหน้าหมู่บ้านหวัง”
จ้าวซื่อทอดถอนใจครั้งหนึ่ง ทำได้แค่นั่งลงอีกครั้ง
หลี่หรูอี้เตือนขึ้นว่า “ท่านแม่ การที่พวกเราซื้อแป้งขาวและไข่ไก่จากน้าเฟิง ก็นับเป็การช่วยเหลือที่ดีที่สุดสำหรับนางแล้ว”
จ้าวซื่อจึงรีบหันไปพูดกับบุตรชายทั้งสามว่า “เช่นนั้นพวกเ้าก็รีบไปเถิด หากพบน้าเฟิงของเ้าก็ถามสารทุกข์สุกดิบแทนข้าสักหลายประโยค หากนางทุกข์ใจก็ให้มานั่งคุยเล่นที่บ้านพวกเราเสียหน่อย กินข้าวกันสักมื้อ”
ไม่นานสามพี่น้องก็กลับมา บอกว่าน้าเฟิงและลูกๆ จะมากินข้าวเย็นที่บ้านหลี่
จ้าวซื่อถามอย่างกังวลว่า “สถานการณ์ของนางเป็อย่างไรบ้าง?”
หลี่ฝูคังเอ่ยอย่างเนิบช้า “ท่านน้าเฟิงร้องไห้จนตาบวมแดง วันนี้พวกเราซื้อแป้งขาวและไข่ไก่มากกว่าปกติ นางก็ยังไม่ยิ้มเลยขอรับ”
หลี่หรูอี้กลัวว่าเื่นี้จะส่งผลต่ออารมณ์ของจ้าวซื่อ จึงพูดเสียงอ่อยๆ ว่า “ท่านแม่ บ้านท่านน้าเฟิงกินอาหารสองมื้อ นางบอกว่าตอนค่ำจะมากินข้าวที่บ้านพวกเรา ตอนนั้นท่านเจอนาง ปลอบใจนางเสียหน่อยก็พอแล้วเ้าค่ะ”
หลี่เจี้ยนอันเพิ่งกลับมาจากการทำงานที่แปลงผักนอกหมู่บ้าน ในมือถือปลาเฉาฮื้อตัวใหญ่ตัวเป็ๆ ที่หนักเกือบสองชั่งมาด้วยตัวหนึ่ง เมื่อเดินเข้ามาที่ลานบ้านก็เดินต่อเข้าไปยังห้องเก็บของเพื่อหากะละมังไม้ จากนั้นจึงเทน้ำลงไปและนำปลาเฉาฮื้อใส่ลงไปในกะละมังนั้น “น้องสาว ไม่กี่วันก่อนเ้ารักษาลูกพลับน้อยจนหายดี วันนี้พ่อของเขาไปจับปลาที่แม่น้ำได้มาสี่ตัว เลยมอบปลาเฉาฮื้อตัวที่ใหญ่ที่สุดให้ข้า บอกว่าเป็ของขอบคุณเ้า แต่ไม่ได้มามอบให้ถึงบ้านพวกเรา”
ลูกพลับน้อยเป็ชื่อเล่นของเด็กชายอายุสามขวบคนหนึ่ง เขาเกิดในฤดูใบไม้ร่วง ยามที่แสงอาทิตย์เป็สีแดงเหมือนลูกพลับบนูเา จึงถูกเรียกว่า ลูกพลับน้อย
บิดาของลูกพลับน้อยคือ หวังเซี่ยจื้อ ลูกพี่ลูกน้องฝ่ายพ่อของหวังไห่ เป็คนในวงศ์ตระกูลเดียวกัน และเป็ชาวบ้านในหมู่บ้านหลี่
หวังเซี่ยจื้อเป็คนนิสัยดี ฤดูร้อนของทุกปี เขาจะไปจับปลาที่แม่น้ำในระยะหนึ่งร้อยลี้รอบๆ บริเวณนั้นทุกวัน บ้างก็กินบ้างก็ขาย
ภาคเหนือมีแม่น้ำน้อย ปลาก็น้อย คนที่ทำปลาเป็และกินปลาได้ก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ ในตัวอำเภอและในตำบลขายปลาเฉาฮื้อ และปลาหลี่ฮื้อ ชั่งละสี่ทองแดง ราคาถูกกว่าไข่ไก่และเนื้อสัตว์
ปลาเฉาฮื้อสองชั่งกว่ามีค่าสิบทองแดง สำหรับชาวบ้านในหมู่บ้านหลี่แล้วนับเป็ของขวัญที่ดีมากเลยทีเดียว
“ท่านได้ถามหรือไม่ว่า แผลบวมของลูกพลับน้อยหายแล้วหรือไม่?” หลี่หรูอี้เดินออกมาจากห้องเก็บของ ที่ตัวมีกลิ่นปลาจางๆ เมื่อเห็นปลาในกะละมังที่ดิ้น ดุ๊กดิ๊กอยากออกมาจากกะละมัง ในใจก็คิดว่าตอนค่ำจะทำปลาน้ำแดงหรือปลาต้มดี?
หลี่เจี้ยนอันยิ้มตอบ “ข้าถามแล้ว แผลบวมจากการโดนแตนต่อยบนใบหน้าของลูกพลับน้อยหายแล้ว เมื่อสองวันก่อนแม่ของเขาพาไปบ้านยายแล้ว”
ที่แท้หลายวันก่อนหวังเซี่ยจื้อพาลูกพลับน้อยไปจับปลาที่แม่น้ำนอกหมู่บ้าน ลูกพลับน้อยที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้าข้างแม่น้ำถูกแตนตัวใหญ่สองตัวต่อยบริเวณใบหน้าด้านขวาจนเป็แผลบวมแดงขนาดใหญ่สองจุด ทำเอาบวมไปครึ่งหน้า ทั้งเจ็บทั้งปวดจนร้องไห้งอแง
พอดีวันนั้นหลี่เจี้ยนอันอยู่ระหว่างทางกลับจากแปลงผักนอกหมู่บ้านพอดี จึงบอกไปว่า ที่บ้านมียารักษาพิษจากแตนอยู่ หวังเซี่ยจื้อจึงพาลูกพลับน้อยมาที่บ้านหลี่ หลี่หรูอี้จึงทายาแก้พิษแตนให้ลูกพลับน้อยและมอบยาล้างผิดส่วนหนึ่งให้ด้วย
หมอที่ร้านยาในตำบลจินจีก็รักษาพิษจากแตนได้ เพียงแต่ค่ารักษาอย่างเดียวก็ห้าทองแดงแล้ว ทั้งยังมีค่ายาอีก รวมแล้วไม่น้อยกว่าร้อยทองแดง
หลี่หรูอี้รักษาพิษจากแตนให้ลูกพลับน้อยโดยไม่เก็บเงินแม้แต่ทองแดงเดียว
หลี่อิงฮว๋ายื่นหน้าออกมาจากห้องโถง เมื่อเห็นปลาเฉาฮื้อในกะละมังก็ยิ้มจนตาหยี พูดเสียงดังว่า “ลูกพลับน้อยไปบ้านยายเขาแล้ว เช่นนั้นแสดงว่าไม่ร้องไห้งอแงแล้ว อาการบวมก็คงหายดีแล้วกระมัง”
หลี่ฝูคังรีบบอกให้หลี่เจี้ยนอันเล่าเื่เงินรางวัลให้น้องชายทั้งสองฟัง “วันนี้หากพวกเราสองพี่น้องไปแทนก็คงได้เงินรางวัลเช่นกัน”
ในใจหลี่เจี้ยนอันกำลังตื่นเต้น แต่เบื้องหน้ากลับพูดอย่างสงบนิ่งว่า “ไม่ว่าผู้ใดได้รับเงินรางวัลก็เป็เงินของบ้านเราทั้งนั้น”
หลี่ฝูคังเล่าเื่ครอบครัวหวังไห่แยกบ้านให้ฟังอีกครั้ง เขากังวลจนขมวดคิ้ว รีบลากหลี่เจี้ยนอันเข้าไปที่ห้องนอน กระซิบถามว่า “พี่ใหญ่ ต่อไปครอบครัวพวกเราคงไม่แยกบ้านกระมัง?”
หลี่เจี้ยนอันตอบอย่างมั่นคงหนักแน่น “ไม่!”
หลี่ฝูคังถามอีกครั้ง “เช่นนั้นหากพี่สะใภ้ก่อเื่ อยากแยกบ้านให้ได้เล่า?”
“เช่นนั้นก็จัดการนางจนกว่านางจะไม่พูดจาเหลวไหลอีก!” หลี่เจี้ยนอันพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“พวกท่านสองคนกำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ?” หลี่หรูอี้ที่ยืนอยู่ตรงประตูถามขึ้น “พี่ใหญ่ไปล้างมือเถิด พวกเราจะกินข้าวกลางวันกันแล้ว”
อาหารกลางวันกินกันอย่างเรียบง่าย มีต้มฟักทองหม้อใหญ่เป็กับ ส่วนอาหารหลักคือ หมั่นโถวจากแป้งดำ
ครอบครัวยังไม่ทันกินเสร็จก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังมาจากด้านนอก เสียงค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา ส่งเสียงสนั่นครืนจนหูแทบหนวก
หลี่หรูอี้ที่กำลังกินหมั่นโถวแป้งดำเนื้อหยาบมองไปยังทุกคน พูดอย่างเนิบช้าว่า “ฝนตกอีกแล้ว วันนี้ตอนบ่ายพักผ่อนเถิด ไม่ต้องไปที่อำเภอแล้ว พรุ่งนี้ดูอากาศก่อนค่อยว่ากันอีกที”
หลี่ิ่หานมีความผิดหวังเต็มใบหน้า
.......................................