ลูกค้าเก่าแก่ร่างอ้วนที่กำลังกินเกี๊ยวน้ำคนหนึ่งหัวเราะ “เถ้าแก่ แป้งย่างใส่ไข่บ้านหลี่เป็หนึ่งไม่มีสองจริงๆ ขายราคาเท่านี้ก็ไม่นับว่าแพง”
ชายชราไฝดำบ่นในใจอีกครั้ง ทำไม์ไม่บันดาลให้ข้าทำอาหารที่เป็หนึ่งไม่มีสองออกมาได้บ้างเล่า
ลูกค้าที่มีร่างผอมแห้งอีกคนหนึ่งพูดอย่างสนอกสนใจ “ทีเกี๊ยวผักของเ้าไม่มีแม้กระทั่งไข่ ยังขายถึงสามทองแดงเชียว”
ชายชราไฝดำรีบพูดอธิบาย “ข้าต้มเกี๊ยวก็ต้องใช้ฟืนและน้ำ”
ลูกค้าอ้วนพูดว่า “ฟืนบนูเาก็มี น้ำก็หาได้ทุกที่ แป้งย่างใส่ไข่ของผู้อื่นมีไข่ไก่สอดไส้อยู่ด้านใน ทั้งยังมีน้ำมันผักกาดก้านขาวอยู่ด้วย น้ำมันผักกาดก้านขาวราคาแพงมากทีเดียว”
ชายชราไฝดำไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้าทำเกี๊ยวต่อไป เขาลองทำแป้งย่างใส่ไข่ที่บ้านแล้ว แค่ค่าน้ำมันและไข่ไก่ก็ทำเอาเขากลัวว่าจะขาดทุน เพราะไม่มีคนซื้อเหมือนกับแป้งย่างต้นหอม จึงล้มเลิกความคิดที่จะขายแข่งไป
“นั่นไม่ใช่ใต้เท้าหลิวที่ศาลาพักม้าหรือ เหตุใดจึงเดินรีบร้อนขนาดนั้น?” ลูกค้าอ้วนมองไปบนถนน เห็นบุรุษวัยกลางคนสวมชุดขุนนางสีเขียวผู้หนึ่งเดินนำชายหนุ่มสวมอาภรณ์ดำสองคนเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน
ลูกค้าผอมแห้งกล่าวถามด้วยความสนอกสนใจ “ใต้เท้าหลิว ท่านจะพาพวกเขาไปที่ใดแต่เช้าหรือขอรับ?”
ใต้เท้าหลิวมีรูปร่างไม่สูงและอ้วนท้วม เมื่อสวมชุดขุนนางสีเขียวทำให้ดูเหมือนลูกบอลกลมๆ ลูกหนึ่ง เวลาพูดคิ้วจะขยับไปมาดูแล้วให้ความรู้สึกขบขันยิ่งนัก เขาโบกมือแล้วพูดว่า “อย่าไปพูดถึงเลย ที่ศาลาพักม้า[1]มีแขกมา พวกเขารังเกียจที่อาหารเช้าไม่อร่อยจึงบันดาลโทสะ ใต้เท้าห่าวเลยให้ข้าออกมาซื้อแป้งย่าง พวกเ้าเห็นเ้าหนุ่มสองคนที่มาขายแป้งย่างหรือไม่?”
ตำบลจินจีเป็ตำบลสำคัญ มีแขกสูงศักดิ์มาเยือนมากมาย ศาลาพักม้าที่นี่จึงใหญ่กว่าศาลาพักม้าที่ตัวอำเภอเสียอีก
ใต้เท้าห่าว ซึ่งเป็ขุนนางประจำศาลาพักม้า มีตำแหน่งเป็ขุนนางขั้นแปดระดับบน หากได้เลื่อนอีกหนึ่งระดับก็จะเป็ขุนนางขั้นเจ็ดระดับล่าง สูงกว่านายอำเภอของอำเภอเล็กๆ แล้ว
ใต้เท้าหลิว เป็ผู้ช่วยมีตำแหน่งขุนนางขั้นแปดระดับล่าง ระดับนี้สามารถเป็ผู้ช่วยนายอำเภอที่ตัวอำเภอได้แล้ว
ลูกค้าร่างผอมรีบพูดขึ้นว่า “เห็นแล้วขอรับ พวกเขามาได้สักพักหนึ่งแล้ว ท่านรีบไปเถิด หากไปช้าแป้งย่างของพวกเขาคงขายหมดก่อน”
ชายชราไฝดำอดที่จะพูดไม่ได้ว่า “ใต้เท้าหลิว ที่ร้านข้าน้อยมีแป้งข้าวโพดย่างที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ตอนเช้า จะซื้อสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?”
ใต้เท้าหลิวรีบไปซื้อแป้งย่างจึงตอบไปโดยไม่หันกลับมามอง “แขก้ากินอาหารแปลกใหม่ แป้งข้าวโพดย่างของเ้าใครก็ทำได้ทั้งนั้น”
ชายหนุ่มชุดดำสองคนผายมือทั้งสองใส่ชายชราไฝดำที่มีสีหน้าผิดหวัง
“ยังมีแป้งย่างไข่ไก่อันใดนั่นเหลืออีกเท่าใด?” ใต้เท้าหลิวมองไปยังตะกร้าไผ่สานของบ้านหลี่
หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็คนในชุดขุนนางมาซื้อแป้งย่าง พลันรู้สึกหวาดหวั่นในใจ
หลี่อิงฮว๋ากระแอมลำคอให้โล่งโปร่ง พูดเบาๆ ว่า “ใต้เท้า พวกเราเหลือแป้งย่างใส่ไข่อีกสิบสองแผ่นขอรับ”
ใต้เท้าหลิวมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจ พูดขึ้นว่า “สิบสองแผ่นเองหรือ ไม่พอ”
หลี่ิ่หานรวบรวมความกล้าบอกไปว่า “พวกเรายังมีแป้งย่างต้นหอมอีกแปดแผ่นนะขอรับ”
“แขก้ากินอาหารแปลกใหม่ แป้งย่างต้นหอมนั่น ใครๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น” ใต้เท้าหลิวนำคำพูดที่พูดกับชายชราไฝดำเมื่อครู่นี้มาพูดกับสองพี่น้องบ้านหลี่อีกครั้ง
ชายหนุ่มชุดดำทั้งสองคนที่ดูเหมือนจะเป็ผู้ติดตาม คนแรกพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าขอรับ แป้งย่างต้นหอมของบ้านหลี่อร่อยมากขอรับ”
“ในหมู่แป้งย่างต้นหอมที่ข้าน้อยเคยกิน แป้งย่างของบ้านหลี่อร่อยที่สุดแล้ว ใต้เท้าห่าวยังเคยให้ข้าน้อยมาซื้อให้ด้วย”
“เช่นนั้นก็ซื้อไปให้หมด ซื้อตะกร้าไผ่สานไปด้วยเลย” ใต้เท้าหลิวควักเศษก้อนเงิน[2]ออกมาจากถุงเงินด้วยท่าทางรีบร้อน จากนั้นจึงยัดใส่มือของหลี่อิงฮว๋า สั่งให้ผู้ติดตามถือตะกร้าไผ่สานกลับไปที่ศาลาพักม้าทันที
เมื่อหลี่อิงฮว๋าเห็นเศษก้อนเงินก็ไม่รู้ว่าเป็เงินเท่าใด แต่ต้องมากกว่าค่าแป้งย่างแน่นอน จึงรีบพูดไล่หลังไปว่า “ใต้เท้า เงินที่ท่านให้มากเกินไป…”
“ตกรางวัลให้เ้า” ใต้เท้าหลิวพาผู้ติดตามทั้งสองวิ่งผ่านไปราวสายลม ชายชราไฝดำที่ขายเกี๊ยวเห็นดังนั้นก็ต้องตกตะลึง คิดในใจว่า เหตุใดข้าจึงไม่เจอเื่ดีๆ เช่นนี้บ้าง?
เมื่อสองพี่น้องบ้านหลี่ได้รับเงินมาแล้ว ก็ไม่กล้าอยู่นาน จึงรีบกลับบ้านทันที เมื่อมาถึงบ้านก็หยิบเศษก้อนเงินออกมาให้จ้าวซื่อดูด้วยท่าทางยินดี “ท่านแม่ ท่านรีบดูเร็วเข้า นี่เป็เงินเท่าใดหรือขอรับ?”
จ้าวซื่อพูดอย่างยินดี “สามตำลึง วันนี้พวกเ้าขายแป้งย่างได้เงินมากขนาดนี้เชียวหรือ?”
หลี่อิงฮว๋าตอบด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็เงินที่ใต้เท้าหลิวของศาลาพักม้าตกรางวัลให้ขอรับ นอกจากสามตำลึงนี้แล้ว พวกเรายังหาได้อีกหลายทองแดงเชียว”
หลี่ฝูคังเพิ่งหาบน้ำกลับมาจากแม่น้ำ เมื่อเห็นน้องชายทั้งสองกลับมาแล้วก็ส่งเสียงทักทายแล้วนำน้ำไปเทลงในถัง จากนั้นจึงเดินเข้าไปยังห้องเก็บของ แต่กลับไม่เห็นตะกร้าไผ่สานที่ใช้ใส่แป้งย่างทุกวัน จึงรีบวิ่งออกมาถามเสียงดัง “น้องสาม น้องสี่ ตะกร้าไผ่สานของบ้านเราเล่า?”
หลี่ิ่หานที่ยืนอยู่บริเวณประตูห้องโถงกวักมือเรียกหลี่ฝูคังด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “พี่รอง มาๆ ท่านมาดูอะไรนี่”
หลี่หรูอี้และอู่โก่วจื่อเพิ่งลงจากเขา แยกย้ายกันกลับบ้านของตนเอง เมื่อหลี่หรูอี้ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากห้องโถงของบ้าน ตนก็รู้ว่าจะต้องได้เงินรางวัลมาเป็พิเศษแน่นอน นางดีใจมาก พูดยิ้มๆ ว่า “ดูท่าทางแป้งย่างของบ้านเราจะได้รับการยอมรับจากขุนนางของศาลาพักม้าแล้ว”
หลี่อิงฮว๋ากล่าวชม “ฝีมือครัวของน้องสาวไม่ต้องพูดถึงแล้ว อาหารที่ทำออกมาแต่ละอย่างล้วนอร่อยเลิศรส”
หลี่ฝูคังและหลี่ิ่หานก็พากันชมเชยหลี่หรูอี้ไปด้วย
จ้าวซื่อยิ้ม “เงินสามตำลึงนี้ก็เก็บไว้ทำอาภรณ์ตัวใหม่ให้หรูอี้ตอนปีใหม่เถิด”
เหล่าพี่ชายต่างตอบรับอย่างพร้อมเพรียง “ขอรับ”
“ขอบคุณท่านแม่และท่านพี่ที่คิดเผื่อข้า” หลี่หรูอี้นั่งลงข้างจ้าวซื่อ พูดอย่างสบายๆ ว่า “ในหมู่ปัจจัยสี่ เสื้อผ้าอาภรณ์อยู่ในลำดับแรกสุด แต่ตอนนี้ข้าอยากจัดให้ที่อยู่อาศัยอยู่ลำดับแรกสุดมากกว่า”
หลี่ฝูคังถามอย่างสนอกสนใจ “ที่อยู่อาศัยหรือ?”
จ้าวซื่อคิดได้ว่า ระยะนี้บุตรีสุดที่รักพูดเื่ความอันตรายของบ้านหลายครั้งแล้ว จึงถามว่า “เ้าอยากซ่อมแซมบ้านของพวกเราหรือ?”
หลี่หรูอี้พยักหน้า “ใช่แล้วเ้าค่ะ โบราณว่าวิญญูชนไม่ยืนอยู่ในที่อันตราย บ้านของพวกเราถูกแมลงกัดกินจนมีรูเล็กๆ หลายรู ไม่ปลอดภัยแล้ว ข้าว่าจะเก็บเงินให้ได้มากพอเสียก่อนค่อยนำไปซ่อมแซมบ้านครั้งใหญ่”
หลี่ฝูคังมองไปที่หลี่หรูอี้และจ้าวซื่ออีกครั้ง เลิกคิ้วขึ้นพูดว่า “จะซ่อมแซมบ้านครั้งใหญ่ต้องใช้เงินมากเกือบสิบตำลึงเลยทีเดียว”
หลี่หรูอี้กล่าวว่า “บ้านของพวกเราเพิ่งทำการค้าไม่นานก็เก็บเงินได้สามตำลึงแล้ว ข้าคิดว่าหากเป็เช่นนี้ต่อไป สองเดือนคงเก็บเงินได้มากพอแล้วเ้าค่ะ”
หลี่อิงฮว๋าพูดอย่างตื่นเต้น “ข้าสนับสนุนน้องสาวขอรับ พวกเราซ่อมบ้านครั้งใหญ่กันเถิด” ฤดูหนาวในหลายปีที่ผ่านมา หลายค่ำคืนที่พวกเขานอนหลับไม่สนิทด้วยกลัวว่าหิมะจะตก หากหิมะตกสะสมบนหลังคามากเกินไป จะทำให้หลังคาถล่มทับพวกเขาตาย ถ้าเป็ฤดูร้อน เมื่อฝนตกก็จะมีน้ำรั่วลงมา
หลี่ิ่หานพูดอย่างยินดี “ข้าก็สนับสนุนน้องสาวขอรับ พวกเราพี่น้องจะต้องหาเงินสิบตำลึงได้ในสองเดือนแน่”
จ้าวซื่อมองไปยังหลี่ฝูคัง เมื่อเห็นเขามีท่าทางนิ่งเงียบคล้ายกับไม่มีความเห็นอันใด จึงบอกไปว่า “ข้ากับท่านพ่อของพวกเ้าเคยคิดเื่ซ่อมแซมบ้านมาก่อนแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาพวกเราไม่มีเงิน”
หลี่หรูอี้พูดอย่างยินดี “ท่านแม่ ท่านก็เห็นด้วยหรือ!”
“ข้ากับท่านพ่อของเ้าไม่เพียงแต่อยากซ่อมแซมบ้านครั้งใหญ่เท่านั้น ยังคิดถึงเื่อื่นอีกด้วย” จ้าวซื่อมองไปยังหลี่ฝูคัง รู้สึกว่าเขามีลักษณะไม่เหมือนคนอื่น ช่างน่ารักบริสุทธิ์จริงๆ อดที่จะพูดยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “ปีหน้าพี่ใหญ่และพี่รองของเ้าก็อายุสิบสี่แล้ว คิดเื่หมั้นหมายได้แล้ว ปีถัดไปก็แต่งงานได้พอดี อีกหน่อยบ้านของพวกเราจะมีคนเยอะขึ้น”
หลี่ฝูคังอายจนหน้าแดง รีบวิ่งหนีออกจากห้องโถงไปท่ามกลางความสนใจของเหล่าน้องชายน้องสาว
หลี่หรูอี้หัวเราะ “ท่านแม่ พี่รองหูแดงหมดแล้วเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อหัวเราะ จากนั้นจึงกระซิบบอก “หากจะสร้างห้องเพิ่มอีกสักสองห้อง คงใช้เงินมากกว่าสิบตำลึง”
.......................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ศาลาพักม้า คือ สถานที่ที่สร้างไว้สำหรับพักม้า เปรียบเสมือนจวนรับรองขุนนางไปในตัวด้วย
[2] เศษก้อนเงินหรือเศษเงิน ในสมัยโบราณจะใช้แร่เงินในการใช้จ่าย ซึ่งเงินที่นำมาทำเป็เหรียญก็คือ เงินตำลึง นอกจากนี้ยังมีเงินที่นำไปทำเป็ก้อน ซึ่งมีลักษณะคล้ายเรือเรียกว่า ตำลึงขาวหรือตำลึงเงิน ส่วนเศษก้อนเงินคือ เศษของแร่เงิน สามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยแต่ละก้อนจะมีค่าแตกต่างกันไปตามน้ำหนัก