หลี่หรูอี้เห็นหลี่อิงฮว๋าเศร้าซึมเช่นกัน จึงพูดปลอบไปว่า “ไม่ต้องคิดมากหรอกเ้าค่ะ วันนี้ตอนเช้าพี่สามและท่านได้เงินรางวัลมาสามตำลึง สามตำลึงก็เป็เงินสามร้อยทองแดงเชียว ไม่น้อยแล้ว”
จ้าวซื่อนั่งอยู่ตรงข้ามห้องโถงพอดี นางปรายตามองไปที่ลานพบว่าฝนเริ่มตกแล้ว จึงบ่นขึ้นว่า “เหตุใดจึงไม่ตกตอนกลางคืนแล้วฟ้าโปร่งกลางวันเล่า?”
“ลูกเจี๊ยบของพวกเรา!” หลี่ฝูคังวางถ้วยและตะเกียบลง วิ่งออกไปด้านนอกราวกับลูกธนู ไล่ลูกเจี๊ยบที่ยืนนิ่งไม่รู้ว่าจะหลบฝนเช่นไรเข้าไปใต้ชายคาทั้งหมด
หลี่หรูอี้กินอาหารเสร็จแล้ว เมื่อเดินออกไปพบว่าลูกเจี๊ยบขนเหลืองทั้งสิบตัวเปียกฝนจนกลายเป็ลูกไก่ตกน้ำไปเสียแล้ว โชคดีที่ตอนนี้เป็ฤดูร้อน หากเป็ฤดูใบไม้ร่วงคงป่วยตายเป็แน่ นางพูดขึ้นว่า “ท่านพี่ หากพรุ่งนี้ฟ้าโปร่งก็สร้างเล้าไก่ให้ลูกเจี๊ยบเถิด”
หนุ่มน้อยทั้งสี่แห่งบ้านหลี่ตอบพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “ได้”
ตอนบ่ายหลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานไม่ต้องไปขายของที่อำเภอแล้ว จึงแย่งกันล้างจานและทำความสะอาดบ้านในตอนกลางวัน
หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังจึงกลับไปนอนกลางวันที่ห้องนอนของตน
ยามนี้หลี่ฝูคังจึงค่อยเล่าเื่ที่ครอบครัวเตรียมซ่อมแซมบ้านให้อีกฝ่ายฟังด้วยอาการหน้าแดง
“น้องสาวเคยพูดกับข้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าคราวนี้ท่านแม่จะเห็นด้วย”
หลี่ฝูคังถามอย่างแปลกใจ “น้องสาวพูดกับท่านนานแล้วหรือ?”
หลี่เจี้ยนอันจึงตอบไปด้วยท่าทีเคร่งขรึม “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเป็บุตรชายคนโตของบ้าน ตอนนี้ท่านพ่อไม่อยู่ น้องสาวอยากปรับปรุงบ้านย่อมต้องมาพูดกับข้าก่อน”
ดวงตาทั้งสองของหลี่ฝูคังเต็มไปด้วยประกายนับถือ “พี่ใหญ่ ท่านเห็นด้วยหรือ?”
“ข้าย่อมต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว” หลี่เจี้ยนอันพยักหน้าเล็กน้อย “รอท่านพ่อกลับมาก่อน เมื่อเห็นบ้านของพวกเราได้รับการปรับปรุงใหม่ จะต้องดีใจมากแน่”
หลี่ฝูคังกรอกตาแล้วพูดว่า “หากท่านพ่ออยู่บ้าน บางทีอาจไม่ให้พวกเราปรับปรุงบ้านก็เป็ได้”
“ไม่หรอก หลายปีก่อนหน้านี้ท่านพ่อก็คิดจะปรับปรุงบ้านอยู่แล้ว แต่บ้านเรามีเงินไม่พอ”
“ท่านพ่อเคยพูดกับท่านหรือ?”
“แน่นอน ก็ข้าเป็บุตรชายคนโต” น้ำเสียงของหลี่เจี้ยนอันเจือไปด้วยความภาคภูมิใจ
หลี่ฝูคังมีแววอิจฉาปรากฏในดวงตา “พี่ใหญ่ หากข้าเกิดก่อนท่านก็คงดี”
หลี่เจี้ยนอันหัวเราะเสียงดัง “เื่อื่นเ้าใจร้อนไปเสียหมด มีเพียงเื่ออกจากท้องแม่ที่ไม่ยอมใจร้อนจนถูกข้าแย่งออกมาก่อน”
ด้านนอกมีเสียงฝนตกดังสนั่น ฟังเสียงฝนไปชั่วยามครึ่งแล้วก็ยังไม่หยุด คนบ้านหลี่ต่างคิดว่า ในเมื่อตอนบ่ายไม่ต้องออกไปตั้งร้านแล้วก็นอนหลับไปเสียเลยแล้วกัน
ฝนไม่ตกมาหลายวันแล้ว วันนี้พอตกลงมาก็ตกไม่หยุดเสียที ตกั้แ่่บ่ายจนถึงต้นยามโหย่ว[1] ฝนจึงค่อยซาลง
เมื่อฝนตกท้องฟ้าก็ครึ้ม พอต้นยามโหย่วฟ้าก็มืดแล้ว
จ้าวซื่อกลัวเฟิงซื่อลืมเื่ที่ต้องมากินข้าวเย็นกับบ้านหลี่ จึงให้หลี่ิ่หานไปรับ
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่ิ่หานและเฟิงซื่อสามแม่ลูกก็กางร่มน้ำมันเดินลุยโคลนกันมา
ลักษณะหน้าตาและรูปร่างของหวังจื้อเกาล้วนถ่ายทอดมาจากหวังไห่ เขามีร่างกายสูงใหญ่ หลังยืดตรง ใบหน้าลักษณะเหลี่ยม คิ้วหนา จมูกโด่ง ผิวค่อนข้างดำ เปลือกตาหนา ดวงตากลมโต ริมฝีปากหนา ดูโตกว่าเด็กอายุสิบสองปี
เขาสวมชุดสีน้ำเงินเข้มกลางเก่ากลางใหม่ รองเท้าค่อนข้างใหม่ กางร่มน้ำมันให้เฟิงซื่อ และหวังเยี่ยนเดินอยู่ข้างหน้า
ดวงตาทั้งสองของเฟิงซื่อบวมแดงราวกับลูกท้อ เพียงเห็นก็รู้ว่าทะเลาะกับหวังไห่จนร้องไห้หนักมาก เมื่อนางเจอจ้าวซื่อก็คล้ายกับได้กลับบ้านเดิม ถลาตัวเข้ามากอดแขนทั้งสองของนาง เกือบจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
จ้าวซื่อรีบพูดปลอบใจ “ต่อไปก็จะดีแล้ว อย่าเศร้าไปเลย” เมื่อก่อนตอนที่บ้านหลี่ลำบาก จ้าวซื่อมักไปขอยืมเงินจากเฟิงซื่อ ยืมมาได้ถึงเก้าในสิบครั้ง เพียงแค่เื่นี้จ้าวซื่อก็รู้สึกซาบซึ้งบุญคุณของเฟิงซื่อไปตลอดแล้ว
เฟิงซื่อกลั้นน้ำตาไว้ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ ต่อไปพวกเราสามแม่ลูกจะมีชีวิตที่ดี”
บนใบหน้าของหวังเยี่ยนมีรอยน้ำตา เห็นได้ว่านางก็ร้องไห้มาเช่นกัน นางอธิบายให้จ้าวซื่อฟังว่า “ท่านน้าเ้าคะ น้องชายข้าเลิกเรียนช้า อีกทั้งฝนตกถนนลื่น จึงต้องเดินกลับช้าๆ ทำให้มาสาย”
“บ้านพวกเราก็เพิ่งทำอาหารเสร็จพอดี พวกเ้ารีบนั่งลงกินกันเถิด” หลี่หรูอี้ยื่นมือออกไปคล้องแขนหวังเยี่ยนอย่างสนิทสนม รอให้ผู้ใหญ่ทั้งสองนั่งเรียบร้อยก่อนจึงค่อยพานางไปนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นจึงนั่งลงข้างๆ นาง
สตรีทั้งสองนั่งด้วยกัน
หลังจากหวังจื้อเกาทักทายคนบ้านหลี่แล้วก็นั่งลงข้างหลี่อิงฮว๋าที่ค่อนข้างสนิทกัน
ในห้องโถง โต๊ะแปดเซียนสองชุดถูกยกมาวางเคียงกัน บนโต๊ะมีตะเกียงน้ำมันสองดวงและอาหารที่ถูกจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว
มะเขือผัดกระเทียม ยำแตงกวาหั่นฝอย ผัดผักกาด ผัดเห็ดูเา ปลาน้ำแดง ทั้งยังมีไข่ตุ๋นสองถ้วยและน้ำแกงผักโขมหนึ่งถ้วยใหญ่ อาหารหลักคือ แป้งย่างต้นหอม ที่ใช้แป้งดำและแป้งขาวผสมกัน หั่นเป็แผ่นขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือผู้ใหญ่
อาหารจานผักล้วนใช้น้ำมันหมูผัดจึงมีประกายน้ำมันวาววับ ส่วนปลานำไปทอดด้วยน้ำมันผักกาดก้านขาวก่อนแล้วเอาไปทำเป็น้ำแดง ไข่ตุ๋นสองถ้วยก็ใช้ไข่ไปถึงแปดฟอง
อาหารสดใหม่มีสีสันน่ารับประทาน กลิ่นหอมเตะจมูก กระตุ้นความอยากอาหารยิ่งนัก
ปลาและไข่ต่างก็เป็อาหารราคาแพง โดยเฉพาะปลาปีหนึ่งยังยากที่จะได้กินสักครั้งหนึ่ง
เฟิงซื่ออารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว นางพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “อาหารดีจริงๆ”
จ้าวซื่อตอบยิ้มๆ “ปลาเฉาฮื้อตัวนี้ หวังเซี่ยจื้อให้มาแทนคำขอบคุณที่หรูอี้ของพวกเรารักษาลูกพลับน้อยให้เขา”
เฟิงซื่อกล่าวชม “เมื่อวานเครื่องใน วันนี้ปลาเฉาฮื้อ หรูอี้ดีจริงๆ มีความสามารถจัดการเื่อาหารการกินที่บ้านได้แล้ว”
ทั้งสองครอบครัวเริ่มลงมือกินอาหารกันแล้ว เนื่องจากอาหารอร่อย เวลากินจึงไม่มีใครคุยกัน และไม่มีใครพูดถึงหวังไห่ที่ถูกเฟิงซื่อและลูกๆ ทิ้งไว้ที่บ้านเลย
เมื่อกินข้าวเสร็จ หลี่ิ่หานก็ไปล้างจาน หลี่ฝูคังก็ไปช่วยล้าง ส่วนหลี่เจี้ยนอันและหลี่อิงฮว๋านั่งคุยอยู่กับหวังจื้อเกา
หลี่หรูอี้คุยเื่สัพเพเหระกับหวังเยี่ยนไปหลายประโยค เมื่อเห็นว่าหวังจื้อเกาค่อนข้างเงียบขรึมอยู่ตลอด จึงถามเขาว่า “สำนักศึกษาที่ในตำบลมีอาจารย์อยู่หลายท่าน เป็ซิ่วไฉกันทุกคนเลยหรือเ้าคะ?”
หวังจื้อเกาเงยหน้าขึ้นมองไปยังหลี่หรูอี้ ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ตำบลจินจีมีอาจารย์อยู่สองท่าน เป็ซิ่วไฉทุกคน”
“ตอนท่านเข้าเรียน อาจารย์ทดสอบท่านหรือไม่เ้าคะ?”
“ทดสอบ แต่เนื้อหาที่ทดสอบง่ายมาก เพียงถามข้าไม่กี่ประโยคเท่านั้น”
“ค่าเล่าเรียน ค่ากระดาษ ค่าหมึก และค่าพู่กัน รวมแล้วปีละเท่าไรหรือเ้าคะ?”
หวังจื้อเกาตอบอย่างละเอียด “ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะรวมค่ากระดาษ ค่าหมึก และค่าพู่กันไปในค่าเล่าเรียนแล้ว หนึ่งปีสามตำลึง แต่ข้ากินข้าวกลางวันที่สำนักศึกษา ตอนนี้ยังไม่ใช่ฤดูหนาวจึงนำอาหารไปกินเอง หากอากาศหนาวก็จะกินข้าวที่สำนักศึกษา เสียเงินเดือนละห้าสิบทองแดง นี่ก็เป็ค่าใช้จ่ายอีกอย่างหนึ่ง”
“ท่านเรียนที่สำนักศึกษามากี่ปีแล้ว มีสหายร่วมเรียนกี่คนหรือ?”
“ข้าเข้าเรียนที่สำนักศึกษาตอนแปดขวบ เรียนที่สำนักของจางซิ่วไฉมาสี่ปีแล้ว ตอนแรกมีสหายร่วมเรียนสิบสามคน ตอนนี้มีหกคน”
“สำนักศึกษาของพวกท่านคงไม่ได้มีนักเรียนแค่พวกท่านเจ็ดคนกระมัง?”
“ไม่ใช่แน่นอน รุ่นเดียวกับข้ามีเจ็ดคน คนละรุ่นกับข้ามียี่สิบเอ็ดคน”
“เช่นนั้นแสดงว่าจางซิ่วไฉต้องสอนนักเรียนยี่สิบแปดคน”
หวังจื้อเกาพยักหน้า “ใช่” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ก็อดมองไปยังหลี่เจี้ยนอันและหลี่อิงฮว๋าที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ได้ จึงถามด้วยความสงสัยว่า “พวกเ้าก็จะเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหรือ?”
หลี่อิงฮว๋ารู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก รีบหันมองไปทางหลี่หรูอี้และจ้าวซื่อ เอามือขึ้นมาลูบจมูกแล้วพูดว่า “นี่ก็...”
หลี่เจี้ยนอันก้มหน้าก้มตาบอก “พวกเราสี่พี่น้อง หากจะไปเรียนกันทุกคนคงมีค่าใช้จ่ายมากเกินไป...”
หวังจื้อเกากล่าวอย่างทอดถอนใจ “ใช่แล้ว บ้านของพวกเราก็มีเงินส่งข้าเรียนเพียงคนเดียว”
หลี่เจี้ยนอันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากว่า “ข้าเป็บุตรชายคนโตของครอบครัว ต้องอยู่ทำงานหาเงินให้ครอบครัว อีกอย่างข้าอายุมากแล้ว ไม่เหมาะจะไปเรียนที่สำนักศึกษา หากที่บ้านมีเงินอาจให้น้องชายทั้งสามของข้าไปเรียน”
.......................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ยามโหย่ว คือ เวลา 17:00–18:59 น.