“ยังดีที่หลันเอ๋อร์ของเราเป็เด็กดีเชื่อฟัง ไม่เหมือนใครบางคน เกิดมาไม่มีใครสั่งใครสอน”
“ท่านแม่!” ใบหน้าของจางกุ้ยฮัวแดงเพราะความโกรธ “ลูกสะใภ้เป็คนหยาบคายและไม่มีสินเ้าสาว แต่แม่ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย เต้าเซียงกับอาเล็กก็เจ็ดขวบเท่ากัน แต่ในสายตาแม่ ไม่เคยเห็นหัวหลานสาวอย่างเต้าเซียงและชิวเซียงมาก่อน”
หลิวฉีซื่อได้ยินดังนั้น ไฟโกรธาก็พุ่งทะยานฟ้า ดวงตาที่ชราคู่นั้นแดงก่ำ วางถ้วยข้าวในมือกระแทกลงบนโต๊ะเสียงดังปัง สะบัดตะเกียบลงไปจุ่มในชามน้ำแกงข้าว จากนั้นก็ร่วงลงพื้นไปพร้อมกัน
“แกมันตัวอะไร กระทั่งเงินค่าแต่งงานยังควักออกมาไม่ได้แม้แต่แดงเดียว ยังคิดจะหัวแข็งกับผู้าุโ”
หากหลิวฉีซื่อรังเกียจชิงชังพวกหลิวเต้าเซียง สำหรับจางกุ้ยฮัวคงเป็ความแค้น นางรู้สึกว่าสินสอดที่ตนให้ไปตอนนั้นช่างสูญเปล่า ใครจะรู้ว่าบ้านจางนั้นเป็พวกยากจน กระทั่งเงินแต่งงานออกมาก็ไม่มีแม้แต่แดงเดียว
จางกุ้ยฮัวได้ยินดังนั้น ดวงตาก็แดงก่ำเช่นกัน “ท่านแม่ ต้องโทษที่ข้าเกิดมาไม่มีบุญ เงินสินสอดที่ท่านช่วยออกให้แก่ซานกุ้ยก็ต่างกันอย่างมากกับพี่ใหญ่และพี่รอง บางทีแม่อาจจะเห็นว่าบ้านข้ายากจนจึงให้สินเ้าสาวน้อย นี่ช่างปะไร ข้าแต่งเข้าบ้านหลิวมาก็หลายปี ขอเพียงแม่สั่งงานมา คนที่เป็สะใภ้เช่นข้าไม่เคยอิดออดไม่เชื่อฟัง แม่ให้ซานกุ้ยนำเงินที่หามาได้ให้แม่ดูแล แล้วสั่งใช้งานข้าทุกเมื่อเชื่อวัน ั้แ่เช้ายันค่ำเท้าแทบไม่ได้แตะพื้น สิ่งเหล่านี้ข้าเองที่เป็สะใภ้ขอน้อมรับทุกอย่าง เพียงแต่ว่าแม่ไม่ควรมาต่อว่าลูกข้า พวกนางเป็เนื้อที่เกิดจากข้า แม้นว่าปีนั้นท่านจะให้สินสอดมากมายเพียงใด แต่ถ้าให้หักค่ากินค่าอยู่หลายปีมานี้ที่ข้ากับซานกุ้ยออก ก็น่าจะคืนจนหมดสิ้นนานแล้ว”
ั้แ่คำพูดที่น่าตกตะลึงของหลิวเต้าเซียง จางกุ้ยฮัวก็อารมณ์พุ่งปรี๊ดอีกหน คนทั้งตระกูลหลิวต่างก็อึ้งไปตามกัน
จางกุ้ยฮัวคงอัดอั้นมาเป็เวลานาน ความอดสูที่ซ่อนอยู่ในใจมากมาย หรือเพราะบางทีคำพูดของหลิวเต้าเซียงอาจจะปลุกนางให้ตื่นขึ้น อย่างไรก็ตาม หนนี้นางนับว่าะเิอารมณ์ออกมาอย่างแท้จริง
“แม่รู้สึกมาตลอดว่าลูกสาวของข้าเป็ตัวล้างผลาญ ไม่ผิด พวกนางกินอยู่ใช้ของที่บ้าน เพียงแต่พวกนางก็ไม่ได้อยู่ว่าง ั้แ่ทำงานเป็ ก็ต้องถูกแม่และอาเล็กใช้งานอยู่เรื่อย หากว่าไปเป็เด็กรับใช้ในบ้านตระกูลใหญ่ หนึ่งเดือนก็คงได้มาสองร้อยอีแปะ เท่ากับว่า พวกนางนั้นใช้แรงงานเลี้ยงดูตนเองอยู่ หากแม่จะลงรายละเอียด ผืนนาก็มีซานกุ้ยเป็คนเพาะปลูก เหตุใดจึงมีเพียงครอบครัวข้าที่ต้องเหนื่อยแทบเป็แทบตาย แม่กลับยกสิ่งของที่ซานกุ้ยปลูกเองกับมือให้แก่ลุงใหญ่ และลุงรอง กระทั่งขายข้าวสารเพื่อส่งเสียอาสี่ร่ำเรียน หากออกไปเป็ลูกจ้างทำนา อย่างน้อยหนึ่งปี ลูกของข้าก็ไม่ต้องทนหิว กระทั่งข้าเองอาจจะมีเงินมาเย็บเสื้อผ้าใหม่ให้ลูกๆ สักสองชุด”
“นางจาง เ้าจะต่อต้าน์หรือ!” หลิวฉีซื่อจ้องมองนางอย่างโเี้
นางไม่เคยคิดเลยว่าจางกุ้ยฮัวผู้ซื่อสัตย์และเชื่อฟังมาโดยตลอดจะมีวันที่นางไม่เชื่อฟัง
“ต่อต้าน์หรือ? อืม ถ้าข้ามีความสามารถแบบนั้น ข้าก็อยากจะต่อต้าน์จริงๆ” จางกุ้ยฮัวโต้กลับทันควัน แล้วเอ่ย “ซานกุ้ยกับข้าทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่แลกมาได้เพียงผ้าหยาบที่เย็บเสื้อได้สองชุดต่อปี แม่ช่างเอ็นดูซานกุ้ยเหลือเกิน เหนื่อยมาแรมปี ลำพังเงินแค่ไม่กี่สิบเหรียญก็ไล่ตะเพิดไปได้แล้ว อ้อ ลืมไปอีกอย่าง หากแม่จะบอกว่าลูกสาวข้าเป็ตัวล้างผลาญ ถ้าเช่นนั้นข้าเองก็ไม่ยินยอมเื่ที่จะยกที่นาสิบแปลงเป็ของแต่งงานของอาเล็กเช่นกัน”
หลิวฉีซื่อโมโหจนควันออกหู ที่นาเ่าั้ล้วนเป็ของออกเรือนติดตัวมาของนาง เหตุใดจึงต้องยอมให้พวกไร้ยางอายมาออกสิทธิ์ออกเสียง
“เ้าหุบปากไปเลย ของเหล่านี้เป็ของข้า ข้าคิดจะทำอะไรก็เื่ของข้า"
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเ็า จริงตามคาด หลิวฉีซื่อเคยชินกับชีวิตที่กินดีอยู่ดี จนลืมไปว่าบุตรชายตนเองต่างก็เติบใหญ่กันหมด ความคิดก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว
โชคดีที่ใกล้ถึงเทศกาลเชงเม้งพอดี หลิวเต้าเซียงต้องวางแผนดีๆ คำพูดของหลิวฉีซื่อนี้จะปล่อยให้เปล่าประโยชน์ไม่ได้ คนทั้งบ้านกลับมาทั้งทีจะปล่อยให้บ้านเงียบเหงาวังเวงได้อย่างไร
“ท่านแม่ เบาเสียงหน่อย” หลิวเสี่ยวหลันก็ใกับเสียงคํารามของนางเช่นกัน นางรีบยื่นมือไปกระตุกแขนเสื้อของผู้เป็แม่
หลิวฉีซื่อก้มศีรษะมองหลิวเสี่ยวหลัน ถึงเพิ่งนึกได้ว่าในห้องทิศตะวันตกมีแขกผู้มีเกียรติพักอยู่ ทันใดสีหน้าก็แย่จนน่าเกลียด
หลิวต้าฟู่ทำเหมือนไม่เห็นฉากบนโต๊ะอย่างไรอย่างนั้น เขาวางตะเกียบลง เพียงแค่เอ่ยเสียงเรียบ “ซานกุ้ย หลายปีมานี้ลำบากไม่น้อย ต่อไปเงินที่เข้าบ้านทุกปีต้องแบ่งออกมาห้าร้อยอีแปะให้เขา เด็กๆ ก็เติบใหญ่กันหมด ควรจะเริ่มตระเตรียมของออกเรือนให้พวกนางบ้าง บ้านหลิวของข้าแม้ว่าจะไม่ได้มีกิจการใหญ่โต แต่ของออกเรือนของลูกหลานก็ควรตระเตรียมให้เหมาะสม”
“ไม่ได้ วั่งกุ้ยปีนี้กำลังร่ำเรียนอยู่ในสถาบันที่ตำบล ต้องใช้เงินแลกเข้ามากมาย หนึ่งเดือนก็ต้องใช้อย่างน้อยหนึ่งถึงสองตำลึงเงิน ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเตรียมเงินสินสอด รอจนเขาสอบจอมหงวนได้ การสู่ขอคงไม่ได้เหมือนกับพวกขาเปื้อนโคลนตรงหน้าเหล่านี้แน่นอน”
หลิวฉีซื่อมีการวางแผนของตนเอง รอจนบุตรชายคนเล็กสอบจอมหงวนได้ อายุเพียงสิบแปดปี ถึงตอนนั้นจะพูดเื่แต่งงานก็ยังทัน ยิ่งกว่านั้น หลิววั่งกุ้ยเองก็หน้าตาละม้ายคล้ายนาง มีใบหน้าที่หล่อเหลา จะหาผู้หญิงสักคนก็ไม่ยาก
เมื่อเป็เช่นนี้ หลิวฉีซื่อย่อมไม่ยินยอมที่จะแบ่งเงินออกมาให้ครอบครัวหลิวซานกุ้ย
“ตกลงตามนี้ ทุกปีแบ่งให้เขาห้าร้อยเหรียญ” หลิวต้าฟู่เองก็รู้ว่าเงินเหล่านี้นั้นน้อยเกินไป แต่เขาเข้าใจนิสัยของภรรยาเป็อย่างดี
หลิวฉีซื่อยังคิดจะคัดค้าน แต่หลิวต้าฟู่เงยหน้าขึ้นมองนางและไม่สนใจ จากนั้นหันไปคุยกับหลิวซานกุ้ย “พรุ่งนี้ ดินที่พรวนไว้แล้วต้องลงปุ๋ยเยอะหน่อยนะ”
“เข้าใจแล้วพ่อ ตอนที่ข้าไปสวน จะลากมูลไปด้วยสองถัง” เสียงของหลิวซานกุ้ยเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองที่พ่อไม่รัก แม่ไม่เอ็นดูนั้น วันนี้พอสะใภ้ะเิอารมณ์หนหนึ่ง เขากลับมีผลพลอยได้ไปด้วย
คนทั้งบ้านนอกจากหลิวเต้าเซียง ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลังจากที่หลิวต้าฟู่สั่งงานหลิวซานกุ้ยเสร็จ หลิวฉีซื่อก็นิ่งเงียบไป
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าเื่นี้ผิดปกติมาก แต่ก็คิดไม่ออกว่าเพราะอะไร
หลังจากการะเิอารมณ์ของจางกุ้ยฮัว สิ่งที่นางควรทำก็ได้ทำไปแล้วไม่มีบกพร่อง แม้หลิวฉีซื่ออยากจะหาเื่นางแต่ก็ทำได้ยาก ดังนั้นความชิงชังที่มีต่อนางก็ยิ่งทวีคูณ
ตกกลางคืน หลิวซานกุ้ยเอ่ยกับจางกุ้ยฮัว “เหตุใดเ้าจึงทะเลาะกับท่านแม่เล่า เฮ้อ ข้ารู้ว่าเ้าเป็ห่วงลูก แต่หากเื่กระจายออกไป คนอื่นคงไม่มองว่าท่านแม่ไม่ดี หากแต่จะมองว่าเ้าไม่กตัญญู แม่เ้าที่อยู่หมู่บ้านข้างๆ ก็จะเศร้าโศกได้”
“ถ้าข้าไม่สร้างปัญหา พ่อจะออกเสียงหรือ? เด็กๆ ก็เติบโตกันแล้ว จะให้พวกนางสวมใส่เสื้อผ้าขาดๆ เก่าๆ ไปตลอดได้อย่างไร เ้าเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ วันนี้เห็นท่าทีของป้าหลี่ซานเสิ่นที่ดูแลชุ่ยฮัว ในใจของข้าเองก็รู้สึกแย่ อยากจะร้องไห้ออกมาั้แ่ตรงนั้น คิดๆ ดูว่าข้าลำบากอยู่ในบ้านหลังนี้มาหลายปี แต่กลับไม่มีปัญญาจะขอเงินไปซื้อผ้าเย็บชุดให้ลูกได้แม้แต่แดงเดียว อีกทั้งวันนี้กลับมาได้เร็วกว่าปกติ ก็เพราะความมีไหวพริบของเต้าเซียงที่หาเงินให้เราได้นั่งรถเข็นวัวกลับมา มิเช่นนั้น ลำพังข้ากับนาง ไหนจะต้องแบกมันหมูห้ากิโลกรัม แล้วยังต้องอุ้มชุนเซียงเดินเท้าสิบลี้ อาศัยร่างกายที่อ่อนแอของข้าตอนนี้ เกรงว่าฟ้ามืดกว่าจะกลับถึงบ้าน”
หลิวซานกุ้ยคิดถึงเื่ความเปลี่ยนไปภายในบ้านหลายวันมานี้ ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่จางกุ้ยฮัวทำนั้นไม่ผิด เพียงแต่คำบัญชา์นั้น สิ่งใดๆ ล้วนมีความกตัญญูเป็ที่ตั้ง
“ทำให้พวกเ้าต้องลำบากแล้ว เพราะข้าไม่ได้อยู่เคียงข้างท่านแม่มาั้แ่เยาว์วัย ท่านแม่จึงไม่ได้ปฏิบัติต่อข้าเฉกเช่นพี่ชายทั้งสาม”
นี่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือาแในใจของเขา
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าหลิวซานกุ้ยนั้นขาดความรักจากพ่อแม่ั้แ่เด็ก ดังนั้นพอเติบโต ก็คิดหาหนทางทุกอย่างเพียงเพื่อจะได้รับความชื่นชอบจากท่านทั้งสอง หวังว่าหลิวฉีซื่อจะถามไถ่เขาด้วยความเอ็นดูบ้าง
“พ่อ ตื่นเถิด อย่าได้ฝันไปเลย” คําพูดของนางไร้ความปรานี
“เด็กคนนี้นี่พูดจาอะไรกัน?” หลิวซานกุ้ยไม่ชอบให้หลิวเต้าเซียงพูดกับเขาเช่นนี้
“ข้าเคยบอกว่าอย่างไร เื่ก่อนหน้านี้ ั้แ่ต้นจนจบ พ่อยังไม่กระจ่างอีกหรือ ในสายตาของย่า พ่อไม่ต่างอะไรจากแรงงาน แรงงานนั้นนอกจากจะมีกินมีนอน แล้วยังได้เงินจากเ้านายอีกหนึ่งก้อน นั่นก็เพียงพอให้ครอบครัวอยู่กันไปได้ แต่ว่าย่าล่ะ หากไม่ใช่เพราะแม่อาละวาด รอจนเมื่อพี่ใหญ่ข้าถึงวัยที่ต้องออกเรือน ข้าจะดูว่าพ่อจะเอาอะไรมาเป็ของออกเรือนให้นาง พ่อคงไม่ได้้าให้ข้ากับพี่ต้องเหมือนท่านแม่หรอก เพราะไม่มีของออกเรือน เมื่อถึงบ้านแม่สามีจึงถูกปฏิบัติราวกับหมูกับหมา ชาตินี้ไม่มีทางโงหัวขึ้นมาได้ และไม่สามารถเป็ผู้เป็คนได้เหมือนคนทั่วไป”
หลิวเต้าเซียงข่มอารมณ์โกรธไม่ไหว จึงเอ่ยอีก “หรือว่าในใจของพ่อ ท่านไม่หวงแหนพวกข้ากับท่านแม่หรือ? เปรียบกับลุงใหญ่ ลุงรอง หรืออาสี่ไม่ได้เชียวหรือ? ถ้าให้ข้าพูดก็คือ สมควรแยกบ้าน การที่พวกเขาทำตามหน้าที่แต่อาศัยอยู่บนความอยู่รอดของผู้อื่นด้วย พวกเขาพิการแขนขาหรืออย่างไร? อ้อ ใช่สิ ย่ายังบอกว่าอาสี่ร่ำเรียนต้องใช้เงินหนึ่งถึงสองตำลึงเงิน พ่อ ท่านเองก็เคยเรียนมา พ่อบอกข้าหน่อยสิว่า การจะเรียนเดือนหนึ่งต้องใช้เงินมากมายเท่าใด? อ้อ เกือบลืมพูดไป หลายคราที่ข้าไปในตำบล ยังเห็นอาสี่เลี้ยงอาหารและสุราผู้อื่นอยู่เป็นิจ จุ๊ๆ ช่างสุขสำราญเสียจริง ข้าวหนึ่งมื้อของพวกเขาสามารถเลี้ยงเราทั้งห้าคนได้ทั้งปีเชียว”
ใบหน้าของหลิวซานกุ้ยเผยความตกตะลึง เขาเองใช่ว่าจะไม่รู้ เพียงแต่หลบเลี่ยงที่จะนึกถึง
ตอนนั้น หลิวฉีซื่อให้เขาลาออกจากการเรียน อันที่จริงเขาไม่ยินยอม เพียงแต่ปู่กับย่าที่เอ็นดูเขาที่สุดได้จากไปแล้ว ไม่มีคนหนุนท้าย เขาที่อ่อนแอจะไปมีแรงสู้กับหลิวฉีซื่อได้อย่างไร?
“เื่แยกบ้าน ครั้งหน้าเ้าห้ามเอ่ยขึ้นมาอีก อย่างน้อยตอนนี้ก็ห้ามเอ่ย” หลิวซานกุ้ยตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ทั้งยังเป็การเตือนตนเอง เขาควรจะคิดไตร่ตรองเพื่อครอบครัวเล็กๆ ของตนให้มากกว่านี้ “ลุงใหญ่กับลุงรองและอาสี่ของเ้าไม่ได้อยู่บ้าน แยกบ้านไม่ได้หรอก”
ลำพังคำพูดของเขา หลิวเต้าเซียงก็เข้าใจได้ทันที
เื่การแยกบ้านเกี่ยวข้องกับศีลธรรมอย่างมาก หากว่าหลิวซานกุ้ยเอ่ยออกมาเองผู้เดียว ถ้าอย่างนั้นอย่าได้หวังจะตั้งตนในหมู่บ้านนี้เลย
“พ่อ ท่านลุงเคยได้เอ่ยถึงเื่แยกบ้านหรือไม่?” หลิวเต้าเซียงคิดว่าควรจะประเมินลาดเลาของอีกฝ่ายไว้เป็การดีที่สุด
นางไม่คิดว่าตนเองจะเป็คนที่ไม่เคารพผู้าุโ เพียงแต่หากมีโอกาสที่จะทำได้ นางก็ยินดีทำผิดศีลธรรม พูดปด และยุยงความสัมพันธ์ของคนในบ้าน
หลิวซานกุ้ยเงียบลงอีกครั้ง
คืนนั้นหลิวซานกุ้ยไม่ได้ตอบคำถามของบุตรสาว แต่หลิวเต้าเซียงเชื่อว่าหลังจากนี้ไปหัวใจของเขาจะยังคงมีเื่นี้วนเวียนอยู่ตลอด
ไม่รีบร้อน นางกับพี่สาวอายุยังน้อย ยังพอมีเวลา
เดิมทีคิดว่าเื่ที่จางกุ้ยฮัวกับหลิวฉีซื่อทะเลาะกันจะจบลงเช่นนี้ แต่หลิวฉีซื่อยังคงอาละวาดในบ้านอีกครั้งในตอนที่กลับมาจากสอนเย็บปักถักร้อยข้างนอก
ในอีกวันหนึ่งหลังจากที่ตื่นนอน จางกุ้ยฮัวกำลังให้หลิวชิวเซียงช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดรอบบ้าน จากนั้นก็ไม่ได้ให้นางยุ่งกับงานบ้านอีก เพียงแต่บอกให้ช่วยดูแลหลิวชุนเซียง ส่วนหลิวเต้าเซียงที่นิสัยแก่นแก้วจนเคยชิน ก็อารมณ์แจ่มใสดั่งวัวออกหากินตามทุ่งหญ้า จางกุ้ยฮัวรู้ว่านางเลี้ยงไก่ในบ้านป้าหลี่ซานเสิ่นสิบตัว ย่อมไม่ขังนางไว้ในบ้าน
เมื่อหลิวฉีซื่อก้าวเท้าออกจากบ้าน หลิวเสี่ยวหลันก็ไปเอาหน้ากับคุณชายน้อยตามเคย
หลิวเต้าเซียงรีบมุดออกมาจากทางเดินปีกตะวันตก แล้วแอบย่องราวกับลูกหนูที่ระมัดระวังตัว เดินเลียบไปตามมุมผนังและออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
นางต้องไปทำความสะอาดเล้าไก่สองเล้าที่บ้านป้าหลี่ซานเสิ่นให้สะอาด หากว่ามีเวลามากพอ นางยังคิดอยากจะช่วยกวาดลานบ้านทั้งหมดให้แก่ป้าหลี่ซานเสิ่นอีกด้วย
-----