“แกนี่นะยายแก่! เอาเงินนั่นคืนข้ามา!” ผู้เฒ่าอวิ๋นใบหน้าแดงก่ำ ถลึงตาใส่เถาซื่ออย่างไม่สบอารมณ์ แต่เถาซื่อกลับไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
ฟางซื่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อ ท่านแม่ ตอนพวกข้าผ่านในตำบลได้ซื้อสุราและอาหารมาแล้วเ้าค่ะ”
จากนั้นก็หันไปสั่งสองพี่น้องฉี่เยว่และฉี่ซาน “พวกเ้าสองคนไปตามอากุ้ยให้ยกไหสุราและอาหารเข้ามา แล้วของขวัญที่พ่อของเ้าซื้อมาฝากทุกคนก็ยกเข้ามาพร้อมกันเลย”
ฟางซื่อพูดจบ คนตระกูลอวิ๋นก็กลับมาครบ
“ท่านพ่อ ใครมาที่บ้านเราหรือ? รถม้าสองคันที่จอดอยู่หน้าบ้านเป็ของใครกัน? ม้าพวกนั้นดูสง่างาม ตัวอ้วนท้วนสมบูรณ์ คงราคาแพงไม่น้อยกระมัง”
อวิ๋นเจียวมองตามเสียง ก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง อายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ สูงประมาณหนึ่งหมี่หกสิบห้า [1] หน้าตาคล้ายเถาซื่อ ข้างกายมีชายหนุ่มอีกคนที่มีรูปร่างและอายุใกล้เคียงกัน แต่หน้าตาคล้ายผู้เฒ่าอวิ๋นมากกว่า
พร้อมกันนั้นก็มีหญิงวัยสามสิบถึงสี่สิบสองคน และเด็กหนุ่มวัยสิบห้าสิบหกปีอีกสองคนเดินเข้ามาด้วย
อวิ๋นเจียวสังเกตเห็นว่านอกจากชายหนุ่มที่เพิ่งพูดจบไปกับหญิงสาวที่เชิญพวกนางเข้าไปในห้องโถงเมื่อครู่แล้ว เสื้อผ้าที่สวมบนร่างของคนอื่นๆ ในตระกูลอวิ๋นล้วนมีรอยปะชุนทั้งสิ้น
ชายหนุ่มผู้นั้นเพิ่งสังเกตเห็นว่าบรรยากาศในบ้านไม่สู้ดีนัก บิดาใบหน้าแดงก่ำ ส่วนมารดาของตนก็หน้าดำราวกับเถ้าถ่าน
“แค่กๆ... เ้าสาม เ้าสี่ พี่รองของพวกเ้ากลับมาแล้ว!” ผู้เฒ่าอวิ๋นกระแอมอย่างไม่เป็ธรรมชาติ แล้วชี้ไปที่อวิ๋นโส่วจงพลางเอ่ยแนะนำ
“พี่รอง!” อวิ๋นโส่วจู่น้องชายคนที่สี่กลอกตาไปมา แล้วรีบยิ้มต้อนรับก่อนใคร
“พี่รอง!” อวิ๋นโส่วเย่าน้องชายคนที่สามเอ่ยทักทายตาม
“เข้าไปนั่งในห้องโถงกันเถอะ” เมื่อเห็นทุกคนกลับมาแล้ว ผู้เฒ่าอวิ๋นจึงให้ทุกคนเข้าไปในห้องโถง
ห้องโถงตระกูลอวิ๋นค่อนข้างใหญ่ ด้านซ้ายมีประตูเชื่อมไปยังห้องนอนของผู้เฒ่าอวิ๋นและเถาซื่อ
พอเข้ามาในห้องโถง ผู้เฒ่าอวิ๋นกับเถาซื่อก็นั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน
อวิ๋นโส่วจงกับฟางซื่อคำนับบิดามารดาก่อน จากนั้นฟางซื่อก็พาลูกๆ คำนับสองผู้เฒ่า ทว่าก่อนคำนับ ชุนเหมยสาวใช้ที่ติดตามพวกเขามาได้นำเบาะรองนั่งปักลายสาลิกาเริงร่ากลางฤดูวสันต์มาวางไว้ตรงหน้าอวิ๋นเจียว เด็กๆ ทั้งสามคนจึงคุกเข่าลง “หลานชายอวิ๋นฉี่ซาน อวิ๋นฉี่เยว่ หลานสาวอวิ๋นเจียว ขอคารวะท่านปู่ท่านย่า!”
พอเห็นกิริยาของอวิ๋นเจียว ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าพลันบึ้งตึง
ส่วนผู้เฒ่าอวิ๋นกลับไม่คิดอะไรมาก เขาดีใจจนรีบเรียกหลานๆ ให้ลุกขึ้น “ลุกขึ้นๆ ไม่ต้องคำนับแล้ว”
ฉี่เยว่กับฉี่ซานถูกดึงไปยืนข้างกาย มองด้วยความเอ็นดูมิรู้คลาย หลานชายทั้งสองของเขาหน้าตางดงามน่ารัก ยิ่งมองยิ่งถูกใจโดยแท้
ส่วนอวิ๋นเจียวที่ถูกมองข้ามกลับไม่ใส่ใจ เพราะขนาดแถบชนบทในยุคปัจจุบันยังมีการเลือกปฏิบัติทางเพศอยู่เลย นับประสาอะไรกับในยุคโบราณเช่นนี้
หลังจากคำนับสองผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็ต้องทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ในตระกูลอวิ๋น เนื่องจากก่อนหน้านี้ท่านแม่ได้เล่าเื่ราวของตระกูลอวิ๋นให้ฟังแล้ว ดังนั้นอวิ๋นเจียวเพียงแค่ต้องจดจำใบหน้าของแต่ละคนให้ตรงกับชื่อเท่านั้น
แต่มีจุดหนึ่งที่แตกต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางมีญาติผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นมาสองคนคืออวิ๋นโส่วหลี่และอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ ทั้งสองคนเกิดหลังจากที่อวิ๋นโส่วจงออกจากบ้านไป
อีกอย่างก็คืออวิ๋นโส่วหลี่ศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาเอกชนในตำบล ปกติไม่ค่อยได้กลับบ้าน ส่วนอวิ๋นเจวียนเอ๋อร์ก็แต่งงานไปแล้ว ทั้งยังแต่งออกไปกับพ่อค้าในตำบล ฉะนั้นนางจึงไม่มีโอกาสได้พบทั้งสองคนนี้
หลังจากทักทายทุกคนแล้ว อวิ๋นเจียวรอให้ฟางซื่อนั่งลงจากนั้นก็เดินไปซุกตัวในอ้อมกอดของฟางซื่อ
ขณะนั้น พี่ชายคนโตของตระกูลอวิ๋นก็ช่วยอากุ้ยยกหีบไม้สองใบที่ฟางซื่อพูดถึงเข้ามา เมื่อเห็นว่ามีเพียงสองใบ บางคนในห้องโถงก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา โดยเฉพาะเถาซื่อและอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ที่แสดงออกมาชัดเจนที่สุด
“การเดินทางยาวไกล อีกทั้งยังต้องพาครอบครัวมาด้วยหลายคน พวกข้าจึงไม่ได้เตรียมอะไรมามากนัก น้ำใจเพียงเล็กน้อยทุกคนอย่าได้รังเกียจเลย”
ฟางซื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคนในบ้าน แต่ก็ยังคงเปิดหีบไม้ออกด้วยสีหน้าเรียบเฉย เริ่มแจกจ่ายของขวัญ
ของขวัญสำหรับผู้เฒ่าอวิ๋นคือผ้าต่วนสีเข้มสองพับ ผ้าฝ้ายเนื้อดีสองพับ พร้อมด้วยโสมูเาสองราก และใบชาอีกหลายกระปุก ส่วนเถาซื่อก็ได้ผ้าต่วนสองพับและผ้าฝ้ายเนื้อดีสองพับเช่นกัน พร้อมกับกำไลเงินหนึ่งคู่
ของขวัญที่ให้คนอื่นๆ เป็ผ้าฝ้ายเนื้อดีคนละสองพับ และญาติผู้หญิงแต่ละคนได้ปิ่นปักผมเงินเพิ่มคนละหนึ่งอัน
ส่วนเด็กที่ยังไม่ได้แต่งงานได้อั่งเปาคนละหนึ่งซอง ข้างในมีก้อนเงินขนาดเท่าเม็ดถั่วลิสงสองเม็ด
พอเห็นของขวัญพวกนี้ สีหน้าของเถาซื่อก็ยิ่งดูแย่ลง เถาซื่อรู้สึกไม่พอใจ มองอวิ๋นโส่วจงและครอบครัวยิ่งมองก็ยิ่งไม่พอใจ
ส่วนพี่ใหญ่อวิ๋นโส่วกวงและครอบครัว รวมถึงอวิ๋นโส่วเย่าน้องชายคนที่สามต่างขอบคุณอวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อด้วยความยินดี
เนื่องจากฟางซื่อไม่รู้ว่าตระกูลอวิ๋นมีอวิ๋นโส่วหลี่และอวิ๋นเหมยเอ๋อร์เพิ่มขึ้นมา จึงไม่ได้เตรียมของขวัญสำหรับพวกเขา อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ที่ไม่ได้รับของขวัญจึงจ้องมองอวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อด้วยสายตาอาฆาต
พอเห็นกิริยาของแม่ลูกคู่นี้ แม้อวิ๋นโส่วจงจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกผิดหวังอยู่ดี ถึงกระนั้นเขาก็รีบอธิบาย “ข้าจากบ้านไปนานหลายปี ไม่รู้ว่าที่บ้านมีคนเพิ่มขึ้นมา จึงไม่ได้เตรียมของขวัญสำหรับโส่วหลี่และเหมยเอ๋อร์ เหมยเอ๋อร์อย่าน้อยใจไปเลย อีกสองสามวันข้าจะเข้าไปดูในตำบล ซื้อของขวัญมาชดเชยให้พวกเ้า”
“ยังจะซื้ออะไรอีก? แค่นี้ก็เสียเงินไปเยอะแล้ว! เ้ารองใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกก็ลำบากมาไม่น้อย หากเหมยเอ๋อร์อยากได้ ก็ยกผ้าสองพับของข้าให้นางไปก็แล้วกัน!” ผู้เฒ่าอวิ๋นเคาะกล้องยาสูบพลางเอ่ยขึ้น
สิ้นประโยค อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ไม่ทันจะได้เอ่ยปาก เถาซื่อก็โวยวายขึ้นมา “เ้านี่นะ ตาแก่ไม่ตาย! ผ้าที่คนอื่นซื้อมาให้เ้าตัดชุดโซ่วอี [2] เ้ายกให้เหมยเอ๋อร์ได้ลงคอหรือ? ดูสีทึบๆ นั่นสิ! ไม่รู้ว่าเก็บไว้กี่ปีถึงขายไม่ออก เ้ายังกล้าเอามาให้ลูกสาวเ้าอีกหรือ?”
คำพูดของเถาซื่อทำให้เด็กๆ ในบ้านต่างใจนพากันวิ่งไปหลบหลังพ่อแม่ ส่วนอวิ๋นโส่วจงและครอบครัวก็ใกับคำพูดนี้ไม่น้อย ฟางซื่อรีบดึงอวิ๋นเจียวเข้ามากอด ส่วนอวิ๋นฉี่เยว่และอวิ๋นฉี่ซาน มองเถาซื่อด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
พอเห็นว่าพี่ชายทั้งสองคนแทบจะทนไม่ไหว อวิ๋นเจียวจึงรีบชิงพูดขึ้นก่อนพวกเขา “ท่านปู่ คำว่า 'แก่ไม่ตาย' หมายความว่าอะไรหรือเ้าคะ? ชุดโซ่วอีคืออะไร? เป็ชุดที่ผู้เฒ่าสวมใส่ในวันเกิดหรือเ้าคะ?” จะอย่างไรอวิ๋นเจียวก็อายุยังน้อย เหมาะที่จะแสร้งทำเป็ไม่เข้าใจ ที่สำคัญคือ นางทนเห็นคนอื่นรังแกพ่อแม่ของนางไม่ได้!
ดวงตาใสแจ๋วของอวิ๋นเจียวมองใบหน้าของผู้เฒ่าอวิ๋นที่สลับไปมาเป็ซีดเผือดกับเขียวคล้ำ ทันใดนั้นเขาก็ถลึงตาใส่เถาซื่อด้วยความโกรธ ก่อนจะเคาะกล้องยาสูบกับโต๊ะเสียงดังปึงๆ...
“เ้าพูดบ้าบออะไร? เด็กๆ อยู่ที่นี่ เ้าพูดจาหยาบคายเช่นนี้ได้ยังไง? ได้ของแล้วยังปิดปากเ้าไม่ได้อีก หากเ้ารังเกียจก็คืนเ้ารองไปเสียสิ!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นรู้สึกเสียหน้าอย่างเห็นได้ชัด อวิ๋นเจียวคิดว่าหากเขาเคาะกล้องยาสูบต่อไป คงหักเป็แน่
“ยัยเด็กนี่โง่เสียจริง! 'แก่ไม่ตาย' ก็คือด่าว่าทำไมยังไม่ตายเสียทีไงเล่า ส่วนโซ่วอี ก็คือชุดที่เอาไว้สวมให้ศพ...”
ผู้เฒ่าอวิ๋นเพิ่งพูดจบ ลูกชายวัยห้าหกขวบของบ้านอวิ๋นโส่วจู่ น้องชายคนที่สี่ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดูถูก
เด็กคนนั้นพูดไปก็มองเถาซื่อผู้เป็ย่าของตนด้วยแววตาภาคภูมิใจ บนใบหน้าเหมือนกำลังบอกว่า ‘ท่านย่าชมข้าเร็วๆ ชมข้าสิ!’
ทว่าเขายังไม่ทันพูดจบ บิดาก็ตบหน้าเขาฉาดใหญ่ “หุบปาก เด็กอย่างเ้ารู้เื่อะไร พูดจามั่วซั่วอะไร?”
“ฮือ... ข้าไม่ได้พูดผิดเสียหน่อย ท่านพ่อตีข้าทำไม?” เด็กคนนั้นถูกตบก็ทิ้งตัวลงไปนอนกองกับพื้น ก่อนจะร้องไห้โวยวายกลิ้งไปมา
ผู้เฒ่าอวิ๋นกระทืบเท้า “สะใภ้สี่ ไยยังยืนเฉยอยู่อีก พาเ้าหู่หยาจื่อ [3] ออกไปให้พ้นหน้า! พวกเ้าจะเอายังไง? อยากสาปแช่งให้ข้าตายกันหรือยังไง? อยู่ด้วยกันดีๆ ไม่ได้หรือ? ต้องทำให้บ้านวุ่นวายไร้ความสงบให้ได้เลยหรือ?”
อวิ๋นโส่วจงมองบิดาด้วยสายตาล้ำลึก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านพ่อ เห็นท่านแข็งแรงดี ข้าก็วางใจแล้ว... งั้นพวกข้าขอตัวก่อน...”
เชิงอรรถ
[1] หมี่ (米) แปลว่าเมตร หนึ่งหมี่หกสิบห้าเท่ากับ 1.65 เมตร ซึ่งก็คือ165 เิเ
[2] โซ่วอี (寿衣) ชุดสำหรับสวมให้ศพ
[3] หยาจื่อ (伢子) หมายถึง เด็กหรือลูกชาย เป็คำภาษาจีนท้องถิ่น ใช้เรียกแทนเด็กผู้ชายในครอบครัว หรือคำทักทายเด็กเล็กอย่างเป็กันเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้