เยว่เฟิงเกอแย้มยิ้มมองม่อหลิงหาน “ท่านอ๋องกำลังเป็ห่วงหม่อมฉัน? ”
“เ้าเป็ชายารักของเปิ่นหวาง แน่นอนว่าเปิ่นหวางย่อมต้องเป็ห่วงเ้า” ม่อหลิงหานไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเยว่เฟิงเกอถึงได้ถามเช่นนี้
เยว่เฟิงเกอเทสุราในจอกเข้าปาก
“ท่านอ๋องวางพระทัยได้ หม่อมฉันได้รับขนานนามว่าพันจอกไม่เมามาย” เยว่เฟิงเกอกำลังพูด แต่จู่ๆ ก็รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมา
นางส่ายศีรษะไปมา ภาพด้านหน้าซ้อนทับกันไปหมด
เยว่เฟิงเกอรู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว ปกติร่างกายนางมีความพิเศษหนึ่ง พันจอกไม่เมา ดังนั้น เป็ไปไม่ได้ที่ดื่มดอกท้อเมามายไปแค่สามจอกแล้วจะมึนเมาเช่นนี้ อีกทั้งดอกท้อเมามายเป็แค่เครื่องดื่มอย่างหนึ่ง มีสุราผสมอยู่น้อยนิด
อย่าว่าแต่นางเลย ต่อให้เป็สตรีธรรมดา แค่สามจอกนี้ไม่มีทางเมา
หรือว่า ในสุรามียาพิษ?
ในใจคิดเช่นนี้ เยว่เฟิงเกอก็พูดออกมาว่า “ในสุรามียาพิษ”
นางฟุบลงไปบนโต๊ะอย่างไร้ซึ่งสติ
ม่อหลิงหานขมวดคิ้ว ฤทธิ์สุราของดอกท้อเมามายเป็เช่นไร เขาย่อมรู้ดี ไม่เช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้เสี่ยวเอ้อยกขึ้นมาให้เยว่เฟิงเกอ กระนั้นเมื่อครู่ก็คล้ายจะได้ยินเยว่เฟิงเกอพึมพำว่าในสุรามียาพิษ ฉับพลันนั้นสีหน้าท่าทางเขาก็เปลี่ยนเป็ระแวดระวังทันที
“มีใครอยู่บ้าง” ม่อหลิงหานเพิ่งพูดจบ ถานอี้และเฉียวเฟยก็มาปรากฏตัวทันที
“ไปสืบมา ใครวางยาในสุรานี้” ม่อหลิงหานสีหน้าเ็า เขาอยากจะรู้ว่าใครกันที่กล้าวางยาเยว่เฟิงเกอ
หากเขาจับได้ เขาจะถลกหนังอีกฝ่ายเสีย
เพียงไม่นานถานอี้และเฉียวเฟยก็ลากตัวสตรีนางหนึ่งขึ้นมา
ม่อหลิงหานหันไปมอง ถึงได้รู้ว่าสตรีที่ขวัญกล้าก็คือคนที่มองเยว่เฟิงเกอด้วยสายตาเกลียดชังในตอนที่พวกเขากำลังจะเดินขึ้นมาบนชั้นสอง
ยามที่สตรีนางนั้นได้เห็นม่อหลิงหานอีกครั้งก็ตัวสั่นไปทั้งร่าง แข้งขาอ่อนแรง ทรุดตัวลงคุกเข่าตรงหน้าม่อหลิงหานทันที
“คารวะจั้นอ๋อง”
“พิษในสุรานี้ เ้าเป็คนใส่ลงไป? ” ม่อหลิงหานถามด้วยน้ำเสียงเ็าที่ยิ่งทำเอาสตรีนางนั้นเย็นเฉียบไปถึงฝ่าเท้า
สตรีนางนั้นนั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่กับที่ โดยไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยวาจา
“บอกมา พิษในสุรานี้เป็ฝีมือเ้าหรือไม่? ” เสียงของม่อหลิงหานเ็ากว่าก่อนหน้านี้ถึงเจ็ดส่วน
สตรีนางนั้นใจนต้องรีบตอบกลับ “เพคะ เพคะเป็หม่อมฉันที่วางยาเอง”
“ถึงขนาดกล้าวางยาในสุราของชายารักของเปิ่นหวาง เ้าช่างบังอาจยิ่งนัก” ม่อหลิงหานยกมือขึ้น เหวี่ยงกาสุราใบนั้นใส่สตรีตรงหน้า
“เพล้ง” กาสุราใบนั้นกระแทกเข้าเต็มๆ ศีรษะของนาง เป็เหตุให้คนเจ็บจนร้อง “โอ๊ย” ออกมาพร้อมๆ กับเืบนศีรษะที่ไหลเป็ทาง
“ถานอี้ เฉียวเฟย” ม่อหลิงหานส่งเสียง “ลากนางออกไป โบยให้หนักห้าสิบที”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” ถานอี้และเฉียวเฟยไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลากสตรีนางนั้นลงไปด้านล่างทันที
สตรีนางนั้นใจนสีหน้าซีดขาว หากโบยหนักถึงห้าสิบทีจริงก็ไม่ใช่ว่าหมายจะเอาชีวิตนางหรอกหรือ
สตรีนางนั้นจับราวบันไดไว้แน่น เป็ตายอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย ขณะที่ปากยังคงพร่ำร้องขอความเมตตา “ท่านอ๋อง ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย หม่อมฉันแค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ ถึงได้ทำความผิดเช่นนี้ลงไป ขอท่านอ๋องโปรดละเว้นหม่อมฉันด้วย”
ม่อหลิงหานไม่สนใจคำอ้อนวอนของสตรีนางนั้น เขาดึงเยว่เฟิงเกอมาซบอกตน ก่อนจะโอบเอวนางไว้แล้วอุ้มขึ้นมา
ขณะเดียวกันถานอี้และเฉียวเฟยจะให้สตรีนางนี้ได้มีโอกาสรอดชีวิตได้อย่างไร พวกเขาแกะนิ้วของนางออกจากราวบันไดอย่างรุนแรง และลากตัวลงบันไดไป
ส่วนชายที่เดิมนั่งร่วมโต๊ะกับสตรีนางนี้ยังคงยืนอยู่ที่ตีนบันได เฝ้ามองทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นตาไม่กะพริบอย่างไม่มีท่าทีจะเข้าไปช่วยแม้แต่น้อย
เขาเพียงมองเยว่เฟิงเกอที่ปิดตาสนิท เอนซบอยู่ในอ้อมแขนม่อหลิงหาน ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ
ทว่า ระหว่างทางที่สตรีนางนั้นถูกลากลงไป พอเหลือบเห็นชายร่วมโต๊ะก็ราวกับเห็นต้นหญ้าช่วยชีวิต นางกู่ะโไปทางชายคนนั้น “ญาติผู้พี่ช่วยข้าด้วย ญาติผู้พี่...”
ชายคนนั้นเพียงมองถานอี้และเฉียวเฟยลากสตรีนางนั้นจากไปด้วยสายตาเ็า และยังคงไม่คิดยื่นมือเข้าช่วย
หลังจากที่สตรีนางนั้นถูกโยนลงไปบนถนนแล้ว ก็ไม่รู้ถานอี้และเฉียวเฟยไปนำแผ่นไม้สองแผ่นนั้นมาจากที่ใด พวกเขายกไม้ขึ้นสูงแล้วฟาดลงไปบนร่างของนาง
“อ๊า” สตรีนางนั้นเ็ปจนร้องออกมา เสียงของนางดึงดูดสายตาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนน
ราษฎรหลายคนต่างชี้นิ้วไปที่สตรีนางนั้น เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน
“ไม่ใช่หลิ่วซานเหนียง [1] หรือ นางไม่อยู่ในหอชมบุปผา มาที่นี่ทำอันใด? ”
“เ้าไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่นางมากับชายคนหนึ่ง ข้าว่า เป็ไปได้แปดส่วนที่นางจะตกลงราคากับอีกฝ่ายไม่ได้ ถึงได้ถูกลูกน้องเขาตีเอาเช่นนี้”
“เ้าอย่าพูดจาเหลวไหล สองคนนี้เป็องครักษ์ของจั้นอ๋อง เมื่อครู่ข้าเห็นกับตา เป็หลิ่วซานเหนียงที่วางยาพิษทำร้ายพระชายา จั้นอ๋องจึงมีบัญชาโบยนางห้าสิบที”
“ข้าว่าโบยห้าสิบทียังเบาไปนัก แม้แต่สตรีฝุ่นโลกีย์เช่นนาง ยังริอาจคิดทำร้ายพระชายา ต่อให้นางมีสิบหัวก็ไม่พอให้ตัด”
นางเฝ้าฟังเสียงคนวิพากษ์วิจารณ์ ร่างกายก็เ็ปจากการถูกตี ตอนนี้หลิ่วซานเหนียงเสียใจแล้ว เมื่อครู่นางไม่ควรเลอะเลือนวางยาลงในสุรากานั้น
เดิมทีนางยังนึกว่าจั้นอ๋องและพระชายามากันแค่สองคน ขอแค่นางวางยาให้พระชายาสลบไป ตัวนางก็จะได้มีโอกาสเข้าใกล้ชิดจั้นอ๋อง
ขอแค่นางใช้ฝีมือเล็กน้อย นางไม่เชื่อหรอกว่าจั้นอ๋องจะไม่สนใจ
ทว่า นางคาดการณ์ผิดไป จั้นอ๋องไม่เพียงนำองครักษ์มาด้วย เขายังไม่สนใจในสตรีอื่นใดนอกจากพระชายา
โบยไปสิบครั้ง หลิ่วซานเหนียงก็หายใจรวยรินแล้ว
ม่อหลิงหานอุ้มเยว่เฟิงเกอออกมาจากภัตตาคาร เขาไม่แม้แต่จะมองหลิ่วซานเหนียงบนพื้น มุ่งหน้าไปยังรถม้าอย่างรวดเร็ว
คนที่ห้อมล้อมดูอยู่ต่างก็แยกตัวออกเป็สองฝั่งให้ม่อหลิงหานได้เดินผ่านอย่างรู้หน้าที่
หลังจากถูกโบยไปอีกสิบครั้ง หลิ่วซานเหนียงก็เนื้อแตกแหลกเหลว เืไหลซึมเละเทะ
ตอนนี้นางสลบไสลไปเรียบร้อยแล้ว
เนื่องจากถานอี้และเฉียวเฟยยังไม่ได้รับบัญชาจากม่อหลิงหาน ทั้งสองจึงยังไม่กล้าหยุดมือ
พวกเขายังคงโบยลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแต่แรงมือนับว่าผ่อนลงไปไม่น้อย
เมื่อม่อหลิงหานอุ้มเยว่เฟิงเกอขึ้นรถม้าแล้วก็มุ่งหน้ากลับจวนอ๋อง โดยที่ในระหว่างนั้นไม่ได้สั่งให้ถานอี้และเฉียวเฟยหยุดมือ
กระทั่งโบยครบห้าสิบที คนทั้งสองถึงได้ทิ้งไม้กระดานแล้วไปจากภัตตาคาร
ชายที่หลิ่วซานเหนียงเรียกว่าญาติผู้พี่คนนั้นใช้สองมือกอดอก มองสตรีที่ไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้อีกแล้วบนพื้นอย่างนึกสนุก
เดิมทีเขาก็ไม่ใช่ญาติผู้พี่ของหลิ่วซานเหนียง เมื่อครู่ที่คนเรียกเขาเช่นนั้น ก็เพราะเขาปลอมตัวเป็ญาติผู้พี่ของนาง เพื่อแฝงตัวเข้ามาในนี้
ชายคนนั้นบอกว่าเขาจะไถ่ตัวนาง จะให้นางได้รับอิสระ
และเพราะหลิ่วซานเหนียงนึกว่าตนได้พบญาติผู้พี่ของตนจริงๆ จึงแอบหนีออกมาจากหอชมบุปผา ติดสอยห้อยตามเขามากินอาหารที่ภัตตาคารแห่งนี้
แม้แต่ตอนที่หลิ่วซานเหนียงตายไปแล้วก็ยังไม่ได้รู้ความจริงว่า ชายคนนี้ ไม่ใช่ญาติผู้พี่แท้ๆ ของนาง
ชายคนนั้นหายไปจากหน้าประตูภัตตาคารอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปยังอีกฟากของถนน
ตอนที่เขาเดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครถึงได้ปลดหน้ากากหนังบนหน้าลง และเผยใบหน้าแสนเ้าเล่ห์ กับดวงตาดอกท้อที่ดึงดูดคน
หลังจากเขาเดินออกมาจากตรอกแห่งนั้น ในมือเขายังมีพัดอันหนึ่งเพิ่มเข้ามา เขาโบกพัดในมือเหมือนคุณชายสูงศักดิ์ เดินหายไปจากตลาดกลางเมือง
ขณะที่ร่างของหลิ่วซานเหนียงที่ถูกโบยจนตายถูกคนของทางการลากตัวไปอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อตอนนี้ด้านหน้าของภัตตาคารมีคนตาย บรรดาลูกค้าจึงพากันไปจากภัตตาคารทันที
เถ้าแก่ถ่มน้ำลายลงไปบนรอยเืบนพื้น “อัปมงคลจริงๆ ”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ซานเหนียง (三娘) ซาน แปลว่า สาม เหนียง ในที่นี้หมายถึง คำเรียกขานสตรี