ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยปฏิบัติกันมา กองกำลังระดับหัวกะทิที่เข้าร่วมงานประลองจะหยุดพักอยู่ภายในเกาะที่เป็ค่ายที่พักใหญ่ของตนเองเป็เวลาสามวัน หลังจากนั้นถึงจะเดินทางเข้าไปยังเกาะแห่งความมืดมิดเพื่อเริ่มการฆ่าฟันกันขึ้น
สามวันมานี้เย่ชิงหานหมกตัวอยู่แต่ในห้องทำการฝึกฝน ความกดดันที่มีมากทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะลดความพยายาม ใช้เวลาที่มีฝึกฝนพลังปราณรบเพื่อเลื่อนขั้นระดับพลังฝีมือสลับกับการฝึกฝนท่าเท้าเคลื่อนย้ายไร้รูปลักษณ์เพื่อเอาไว้ใช้รักษาชีวิตน้อยๆ ของตนเอง
ก่อนที่จะมาถึงตระกูลเยว่เขาได้ทะลวงจุดชีพจรทั่วร่างได้ทั้งหมดและสร้างตันเถียนขึ้นมาจึงได้บรรลุถึงระดับขั้นแรกขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ หลังจากบรรลุถึงระดับขั้นแรกขอบเขตเยี่ยมยุทธ์แล้วการฝึกฝนในขั้นต่อไปที่สำคัญคือการสะสมพลังปราณรบอย่างมหาศาล จากนั้นบีบอัดพลังปราณรบเ่าั้ให้อยู่ในสภาพของเหลวกักเก็บไว้ภายในตันเถียน กระบวนการในการฝึกฝนนี้ค่อนข้างจะยาวนานและจุกจิก ถ้าหากตันเถียนคือขวดเหล้า สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือการอัดอากาศเข้าไปให้เต็มขวดเหล้า จากนั้นบีบอัดอากาศเ่าั้ให้กลายเป็ของเหลวหยดหนึ่ง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนขวดเหล้านั้นเต็มไปด้วยหยดน้ำ เมื่อตันเถียนถูกหล่อเลี้ยงด้วยความอบอุ่นและชุ่มชื้นจากพลังปราณรบที่เป็ของเหลวมันจะกลายเป็แข็งแกร่งและกว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น สุดท้ายมันจะผนึกรวมเข้าด้วยกันกับจุดตันเถียน จากนั้นพลังฝีมือก็จะบรรลุถึงระดับขั้นสูงสุดขอบเขตเยี่ยมยุทธ์
กระบวนการฝึกฝนเช่นนี้ดูแล้วเหมือนจะเป็เื่ที่ไม่ยากแต่อย่างใด ขอแค่เพียงทำการฝึกฝนทุกๆ วันไม่ขาด ไม่ช้าก็เร็วพลังฝีมือย่อมต้องเลื่อนขึ้นถึงระดับขั้นสูงสุดขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ได้อย่างแน่นอน แต่สำหรับเย่ชิงหานนั้นไม่ง่ายเลย เนื่องจากว่าภายในร่างของเขามีสัตว์อสูรแปลกประหลาดตัวหนึ่งอยู่ สัตว์อสูรตัวนี้เมื่อตอนที่อยู่ใน่ระยะอ่อนแอไม่ดูดกลืนพลังปราณรบแต่กินแค่เพียงแก่นผลึกมารอสูร ตอนนี้มันเข้าสู่่ระยะเติบโตกลับไม่กินแก่นผลึกมารอสูรแล้ว แต่ดูดกลืนแค่พลังปราณรบอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยิ่งนานวันยิ่งดูดกลืนมากขึ้นทุกที ดังนั้นเย่ชิงหานทุกครั้งที่ฝึกฝนพลังปราณรบจึงทำได้แค่เพียงให้เ้าสัตว์อสูรอิ่มท้องเพียงเท่านั้น พลังปราณรบที่หลงเหลืออยู่นั้นแทบจะไม่มี
ดังนั้น ตลอดสามวันที่ผ่านมานอกจากฝึกซ้อมการปลดปล่อยพลังออกจากจุดชีพจรทางฝ่าเท้าแล้ว เวลาทั้งหมดที่เหลือล้วนใช้ในการกักเก็บพลังปราณรบ ใกล้จะเริ่มเข่นฆ่ากันในไม่ช้านี้แล้ว หากพลังปราณรบไม่พอใช้และไม่มียาเพิ่มปราณพลังต่างๆ อีก ถ้าเป็อย่างนั้นคงได้ตายจริงๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
ท่าเท้าเคลื่อนย้ายไร้รูปลักษณ์นั้นฝึกฝนไม่ยากเพราะมีประสบการณ์การปลดปล่อยพลังปราณรบออกมาจากนิ้วมือแล้ว ตอนนี้แค่จะต้องฝึกฝนให้ชำนาญมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แค่นั้นเอง
ก๊อกๆๆ!
เย่ชิงหานถูกเสียงเคาะประตูดึงอารมณ์ในความคิดกลับมา จากนั้นจึงหยุดการฝึกฝนขยับตัวลงจากเตียงยืดเส้นยืดสายแล้วเดินไปเปิดประตู
“นายน้อย เตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว คุณหนูชิงอู่ให้มาเรียกท่านออกไป” ข้างนอกประตูคือเย่สือซานที่สีหน้าราบเรียบ
“เอ่ออ...! ผ่านไปสามวันแล้วรึ?” เย่ชิงหานเอามือตบหน้าผากรู้สึกสับสนกับวันเวลาขึ้นมา เขารู้สึกเพียงว่าเวลาผ่านไปแค่แวบเดียวเท่านั้นเองทำไมถึงได้กลายเป็สามวันไปได้? เขาอาบน้ำชำระร่างกายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วที่สุด จากนั้นจึงเดิมตามเย่สือซานไป
เย่ชิงอู่และเย่สือชีนั่งอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ มองเห็นเย่ชิงหานเดินมาแต่ไกลจึงพากันรีบลุกขึ้น เย่สือซานกะพริบตาปริบๆ ยิ้มออกมาแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เย่ชิงอู่ย่นจมูกเล็กน้อยพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “รีบไปกันเถอะ ทุกคนรอเ้านานแล้ว อีกสักพักต้องไปรวมกันที่ลานกว้างฟังคำบรรยายจากผู้าุโผู้พิทักษ์เสร็จก็จะต้องเดินทางเข้าไปยังเกาะแห่งความมืดมิดแล้ว”
เย่ชิงหานมองไปยังเย่ชิงอู่อย่างละอายใจ จากนั้นยิ้มแห้งๆ ออกมาพร้อมกับพูดขึ้น “อืม ไปกันเถอะ!”
ทั้งสี่เดินออกจากห้องโถง กองกำลังเทพแห่งความตายมายืนรออยู่ที่ประตูใหญ่ของลานที่พักนานแล้ว เย่ชิงหานมองไปยังพวกตงฟางเตาทั้งห้าที่รวมอยู่ในกองกำลังเทพแห่งความตาย ยิ้มออกมาให้พวกเขาจากนั้นจึงโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนออกเดินทางได้
ลานกว้างด้านข้างค่ายกลเคลื่อนย้ายแน่นขนัดไปด้วยผู้คน นอกจากผู้คนกลุ่มเล็กๆ ที่โอบล้อมเข้าหากันแล้วคนอื่นๆ ล้วนยืนเข้าแถวอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยอยู่กลางลาน
เย่ชิงหานหรี่ตาลงมองผู้คนที่จับกลุ่มโอบล้อมกัน มองเห็นใจกลางกลุ่มคนเ่าั้มีเฟิงจื่อชายร่างั์ ฮาวเฉ่าที่สวยยิ่งกว่าผู้หญิง เยว่ชิงเฉิงที่ยังคงมีผ้าคลุมปิดหน้าอยู่เช่นเดิม และหลงสุ่ยหลิวผู้มีใบหน้าอันหล่อเหลา เพียงแต่ว่าเมื่อเขาเห็นเสว่อู๋เหินที่ยืนสะบัดพัดด้วยท่าทางสะโอดสะอง ร่างกายของเขาพลันแผ่พุ่งรังสีสังหารที่มองไม่เห็นออกมา ไอ้คนนี้ั้แ่เริ่มเข้าเมืองัมาก็หลบหน้าไม่อยากจะพบเจอกับเขามาตลอด ดูท่าเข้ามายังเกาะเทพาไม่ต้องกังวลหรือเกรงกลัวสิ่งใดแล้วเลยกล้าเผชิญหน้ากับเขาขึ้นมา
“น้องหาน!” เมื่อกลุ่มของเย่ชิงหานปรากฏตัวบนลานกว้างดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบ เฟิงจื่อโบกไม้โบกมือร้องทักออกมาแต่ไกล แต่เมื่อเขามองเห็นเย่ชิงอู่ที่อยู่ข้างเย่ชิงหาน ร่างกายพลันแข็งทื่อขึ้นมาทันใด ดวงตาเอาแต่จ้องมองเย่ชิงอู่อย่างเร่าร้อนโดยไม่แม้แต่จะมองเย่ชิงหานอีกเลย
ด้วยรูปร่างหน้าตาและชุดที่สวมใส่ของเย่ชิงอู่ทำให้เหล่าบุรุษทั่วทั้งลานกว้างหันมามองนางด้วยความสนใจ แม้แต่ั์ตาคู่ไข่มุกสีดำของเยว่ชิงเฉิงยังไม่วายที่จะหดเล็กลงอย่างชัดเจน ส่วนสายตาของเย่ชิงหานกลับมองไปยังบุคคลผู้หนึ่งที่มีร่างกายสูงเพรียวมือถือกระบี่เล่มยาว เป็หญิงสาวที่ใบหน้ามีลักษณะห้าวหาญ มองเห็นหญิงสาวยืนอยู่รวมกับหลงสุ่ยหลิวก็พอจะคาดเดาฐานะของนางได้
เย่ชิงหานที่กำลังจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับเย่ชิงอู่ แต่ไม่คาดคิดว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลงสุ่ยหลิวจะเปิดปากพูดขึ้นก่อน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่สนิทสนมพร้อมกับเอ่ยขึ้น “น้องชิงอู่ ไม่คิดว่าเ้าก็มาด้วย? ตาแก่ที่บ้านเ้ายินยอมด้วยรึ?”
เย่ชิงอู่ไม่สนใจต่อสายตาเร่าร้อนของทุกคนที่มองมา เดินตรงไปยังหญิงสาวนางนั้นแล้วคล้องแขนขึ้นจากนั้นย่นจมูกแล้วพูดออกมาด้วยความออดอ้อน “พี่สาวไซ้หนาน มีท่านอยู่ข้าจะต้องกลัวพวกปีศาจกับคนเถื่อนอะไรนั่นอีกรึ? ขอเพียงแค่กระบี่ัคำรามของพี่สาวฟันออกไปยังจะมีใครหน้าไหนที่จะต้านทานเอาไว้ได้?”
“เหอะๆ สาวน้อยเ้าอย่ามาประสบสอพลอข้าหน่อยเลย จะให้พี่สาวปกป้องเ้า เ้าก็มากับข้าสิ!” หญิงสาวร่างสูงเพรียวเอานิ้วบีบจมูกน้อยๆ ของนางแล้วพูดออกมา
“ไม่ได้ๆ ข้าต้องช่วยตาแก่บ้านข้าดูแลเ้าหนูหาน” เย่ชิงอู่ยิ้มออกมาอย่างน่ารัก ูเาสองลูกที่หน้าอกสั่นไหวไปมาทำเอาสายตาของเหล่าบุรุษที่อยู่ในลานทอประกายวูบวาบขึ้น
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดคุยของหญิงสาวทั้งสองคนล้วนรู้ถึงฐานะของคนทั้งสองในทันที พวกเฟิงจื่อต่างก้มหน้าลงอย่างละอายและทอดถอนใจออกมา ชื่อเสียงของเย่ชิงอู่พวกเขาได้ยินมาเนิ่นนานแล้ว ไม่เพียงแค่เป็หลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของเย่ชิงหนิวผู้มีพลังฝีมืออันน่ากลัวผู้นั้น แต่ยังรวมถึงเย่ชิงอู่ที่กล้าด่าถูเชียนจวินต่อหน้าขุนพลเทพภายในนครแห่งเทพ เย่ชิงอู่อันดับหกทำเนียบผู้มีพลังฝีมือระดับชั้นปฐีทำให้พวกเขารู้สึกขายหน้าเป็อย่างมาก ประกอบทั้งอารมณ์เืร้อนของนางทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะส่งสายตาไปมองอย่างเปิดเผยมากนัก ทำได้เพียงแกล้งทำเป็กวาดสายตาที่เร่าร้อนนั้นมองผ่านไปแวบๆ ก็ยังดี
เย่ชิงหานแน่ใจทันทีถึงฐานะของหญิงสาวร่างสูงเพรียวใบหน้าองอาจผู้นี้ หลงไซ้หนาน! บุตรสาวเพียงคนเดียวของหลงผี่ฟู อายุยี่สิบเก้าและยังไม่ได้แต่งงาน พลังฝีมือด้อยกว่าเย่เตาในตอนนั้นนิดหน่อย ระดับขั้นสูงสุดขอบเขตจ้าวนักรบ แน่นอนว่าคืออันดับหนึ่งของทำเนียบผู้มีพลังฝีมือระดับชั้นปฐีอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้นำของเหล่ายอดฝีมือวัยรุ่นหนุ่มสาว
เย่ชิงหานถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าทำไมตาแก่ร่างเตี้ยเล็กหลงผี่ฟูถึงได้ตั้งชื่อลูกสาวของตนเองว่าหลงไซ้หนาน เพราะว่าเขาเลี้ยงลูกสาวเหมือนกับเลี้ยงลูกชายนั่นเอง แต่ว่าหญิงสาวนางนี้แม้จะดูภายนอกองอาจห้าวหาญราวกับบุรุษ แต่กลับมีกลิ่นไอของหญิงสาวมีอายุที่พิเศษเฉพาะดึงดูดอยู่เช่นเดียวกัน
“เย่ชิงหานคารวะแม่นางไซ้หนาน” เย่ชิงหานครุ่นคิดจนแน่ใจถึงฐานะของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงยิ้มออกมาแล้วประสานมือทำการคารวะออกไป
“เกรงใจเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าน้องชิงเฉิงเลือกได้สามีที่ดีคนหนึ่งเลยอยากเจอมาตลอด วันนี้ได้พบรู้สึกพอใจเป็อย่างมาก” หลงไซ้หนานดึงมือเยว่ชิงเฉิงที่อยู่ข้างๆ เข้ามา มองมายังเย่ชิงหานด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ชัดเจนว่ากำลังช่วยเสริมอำนาจให้เยว่ชิงเฉิง
“เอ่อ...ได้รับความรักความเมตตาจากแม่นางชิงเฉิง เย่ชิงหานละอายใจยิ่งนัก!” เย่ชิงหานถูจมูกไปมาอย่างกระอักกระอ่วน พูดออกมาอย่างเกรงอกเกรงใจ
“เขาละอายใจกับ...” เฟิงจื่อที่อยู่ข้างๆ ดวงตาลุกเป็ไฟ บุ้ยปากกำลังจะพูดออกมาว่าละอายใจกับผีอะไร แต่เมื่อมองเห็นดวงตาที่เ็าของเย่ชิงหานที่มองมาจึงรีบหยุดคำในทันที จากนั้นเปลี่ยนเป็ “ใช่ๆ ละอายใจเป็อย่างยิ่ง ละอายใจเป็อย่างที่สุด...”
“เหอะๆ เื่ราวในอดีตข้าไม่ถือสา แต่ต่อไปหากน้องสาวชิงเฉิงของข้าถูกรังแก เย่ชิงหานข้าจะให้เ้ารับผิดชอบ...” หลงไซ้หนานแกล้งทำเป็ไม่ได้ยินคำของเฟิงจื่อ ทำเพียงลูบผมที่ดำขลับของเยว่ชิงเฉิงอย่างรักใคร่เอ็นดู
“พี่สาว!” เยว่ชิงเฉิงก้มหน้าลงเขย่ามือของหลงไซ้หนานบอกให้นางไม่ต้องพูดอีกแล้ว
หึ่ง...
ในเวลานี้เอง บนท้องฟ้าของลานกว้างบังเกิดเสียงดังแหวกอากาศขึ้น ทุกคนหยุดการพูดคุยแล้วแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าในทันที ้าปรากฏคนใส่ชุดสีเทาผู้หนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ ทั้งผมทั้งหนวดเคราล้วนขาวโพลน ดวงตาคู่สีเทาบนใบหน้าที่แก่หง่อมเปล่งประกายแสงจนลานตาออกมา คนผู้นี้ก็คือผู้าุโผู้พิทักษ์ที่เย่ชิงหานพบเจอเมื่อครั้งวันแรกที่เข้ามายังเกาะ
“คารวะผู้าุโผู้พิทักษ์!”
นอกจากพวกเย่ชิงหาน ทุกคนที่อยู่ภายในลานกว้างล้วนคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่ง ส่วนพวกเย่ชิงหานโค้งตัวลงแสดงความเคารพ จากนั้นทุกคนร้องออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ไม่ต้องมากพิธี! วันนี้กองกำลังผู้มีฝีมือระดับหัวกะทิขนาดเล็กทุกหน่วยจะต้องเข้าไปภายในเกาะแห่งความมืดมิดแล้ว ข้าเป็ตัวแทนของเขตปกครองเทพาที่ส่งพวกเ้าเข้าไปและบอกกล่าวกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องแก่พวกเ้า ข้อแรก...ผู้มีพลังฝีมือระดับหัวกะทิทุกคนห้ามเข่นฆ่ากันเองโดยเด็ดขาด หากถูกพบเจอฆ่าไม่ละเว้น ข้อสอง...เมื่อเข้าไปในเกาะแห่งความมืดมิด หากยังไม่สิ้นสุดงานประลองไม่สามารถออกมาได้ ข้อที่สาม...ห้ามสมคบคิดกับเขตปกครองอื่น หากพบเห็นฆ่าไม่ละเว้น ข้อที่สี่...การได้มาซึ่งคะแนน หลังจากที่สังหารศัตรูแล้วเก็บแหวนมาัักับแหวนที่อยู่บนนิ้วของตนเองมันจะดูดกลืนแหวนของศัตรูและบันทึกคะแนนให้โดยอัตโนมัติ... จบเพียงเท่านั้น ออกเดินทางได้!”
ผู้าุโผู้พิทักษ์พูดจบสะบัดมือทีหนึ่ง ด้านทิศเหนือของลานพวยพุ่งแสงสีตระการตาออกมา จากนั้นค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ปรากฏลอยเด่นอยู่กลางลาน
มองเห็นค่ายกลเคลื่อนย้าย ใบหน้าของทุกคนเคร่งขรึมขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ดวงตาพลันลุกโชนไปด้วยไฟแห่งการสู้รบ จากนั้นต่างพากันเดินเรียงหน้าตรงไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างเป็ระเบียบ
ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ขยับเปิดใช้งานอยู่สิบกว่าครั้ง จากเดิมคนหมื่นคนที่ยืนอยู่กันอย่างเบียดเสียดเต็มลานกว้าง ในตอนนี้ได้เลือนหายไปหมดเหลือไว้เพียงลานว่างเปล่า
“เฮ้อ...ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะตายกันไปอีกสักเท่าใด...” ผู้าุโผู้พิทักษ์มองดูลานกว้างที่ว่างเปล่า พลันทอดถอนใจออกมาหนักหน่วงครั้งหนึ่ง ดวงตาสีเทาปรากฏแววของความเศร้าสลดวาบผ่าน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้