หลังบอกให้หลี่ซื่อทราบแล้ว หูฉางกุ้ยก็พาเด็กน้อยสามคนมุ่งออกเดินทางไปสู่หุบเขาซุ่ยสือ
ระหว่างทาง รอดผ่านถนนเส้นเล็กกลางหมู่บ้าน บ้านเรือนที่อยู่อาศัยตัดสลับปนเปกันไป หิมะบนถนนเส้นเล็กต่างก็ละลายไปบ้างแล้ว เดินเหยียบหินราบเรียบไปตามทางใช้เวลาไม่นานก็ถึงตีนเขาทางทิศใต้ แหงนหน้ามองดูถนนเส้นเล็กคับแคบคดเคี้ยวหนึ่งเส้น บริเวณนั้นไม่มีูเาและป่าไม้อื่นๆ อีกเลย
ผิงซุ่นกับผิงอันดีใจเสียจนส่งเสียงดังตลอดทาง วันเวลาที่ต้องหลบหนาวอยู่ในบ้านช่างจืดชืดและน่าเบื่อ หากสามารถขึ้นเขาไปเล่นสนุกในหน้าหนาวเช่นนี้ได้ถือเป็เื่ที่น่าดีใจมากนัก
บนเส้นทางูเาที่คดเคี้ยว หูฉางกุ้ยเดินนำทางอยู่ด้านหน้า ที่จริงแล้วูเาลูกนี้เขาคุ้นเคยอย่างมาก ผ่านูเาลูกนี้ไปข้างหน้าแล้วผ่านูเาอีกหนึ่งลูกก็เป็ูเาป่าไผ่ทางใต้ เขากับพี่ชายคนโตหูฉางหลินวิ่งมาตัดไผ่แบกกลับไปบ้านอยู่บ่อยๆ
ถนนบนูเาค่อนข้างเป็กองเลน เจินจูเลือกเหยียบบนหินหรือบนพงหญ้าแห้งด้วยความระมัดระวัง เมื่อวานนี้รองเท้าของนางก็เปียกไปแล้วหนึ่งคู่ หากวันนี้ไม่ระวังอีกก็จะไม่มีรองเท้าสวมแล้ว “ผิงอันพวกเ้าสองคนระวังหน่อย เดินตามข้า อย่าทำรองเท้าเปียกล่ะ เดี๋ยวเท้าจะเย็นจนแข็งเอา”
“ทราบแล้ว” สองคนตอบรับหัวเราะ ฮิ ฮิ
ป่าเขาในหน้าหนาวพื้นเต็มไปด้วยกิ่งไม้ใบหญ้าที่แห้งเหี่ยว พอเหยียบลงไปเสียงก็ดัง “แกรบ” ใบไม้แห้งเหล่านี้รอถึงปีหน้าก็จะเปลี่ยนเป็สารอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ช่วยบำรุงผืนดินของป่าเขา
สิบห้านาทีต่อมา หุบเขาต่ำเตี้ยที่เห็นอยู่ไกลๆ ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
“ฮ้า... ถึงแล้ว” เสียงของผิงซุ่นดังสูงทะลุหุบเขา “พี่สาม ท่านดู นั่นเป็หุบเขาซุ่ยสือ ก้อนหินในนั้นเยอะมากเลย แผ่นใหญ่หลายขนาดด้วย!”
“ผิงซุ่น เ้าเบาเสียงหน่อย ระวังดึงดูดหมาป่ามา” เจินจูกดเสียงต่ำขู่เขา
“เอ๊ะ พี่สาม ท่านหลอกเด็กน้อยแล้ว ที่นี่ไม่มีหมาป่าเสียหน่อย” ผิงซุ่นทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตามาทางเจินจู แล้ววิ่งไปยังหุบเขาอย่างรวดเร็ว
ผิงอันมองเจินจู หัวเราะ ฮ่า ฮ่า หนึ่งทีแล้ววิ่งตามหลังผิงซุ่นไป
“…”
ก้อนหินในหุบเขาซุ่ยสือเยอะมากจริงๆ ด้วย ก้นหุบเขาลาดเอียงจากบนลงล่างเล็กน้อยเหมือนกับธารน้ำจากูเาที่แห้งแล้ง ก้อนหินขนาดต่างๆ กองซ้อนกันอย่างไม่เป็ระเบียบทั้งสองด้าน
“พี่สาม ท่านมาดูก้อนหินก้อนนี้ เรียบเนียนใหญ่ เป็แบบที่ท่าน้าหรือไม่?” ผิงซุ่นชูมือเล็กโบกไปมาอยู่ไกลๆ ช่วยค้นหาก้อนหินที่เหมาะสมด้วยความกระตือรือร้น
“อยู่ไหนกัน? ข้าดูหน่อย” เจินจูเดินไปก้นหุบเขาที่เต็มไปด้วยก้อนหินอย่างไม่รีบร้อน
“ที่นี่ ที่นี่”
พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ใหญ่มากและเรียบเนียนมากจริงด้วย
มองไปที่หินก้อนใหญ่ที่มีขนาดเท่าโต๊ะกลม เจินจูเงียบไม่พูดจาโดยมีเส้นดำเต็มหัวไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวอธิบายอย่างไร้เรี่ยวแรง “ผิงซุ่น นี่ใหญ่เกินไปแล้ว หามกลับไปไม่ไหว แล้วก็ ไม่เอาพื้นผิวที่เรียบเนียนเช่นนี้ เป็มันเกินไป เขียนตัวอักษรไม่ติด”
จำได้ว่าตอนเด็กๆ เคยเห็นเด็กคนอื่นใช้พื้นหินสีเขียวกับปากกาหิน [1] เขียนตัวอักษรโดยเฉพาะ ตัวอักษรที่เขียนออกมาจากปากกาหินเทียบกับชอล์กไม่ค่อยต่างกันเท่าไร เขียนเสร็จใช้ผ้าสะอาดเช็ดก็ลบหมดไม่ต้องออกแรงเลย
ไม่รู้ว่าหินที่เต็มหุบเขานี้จะมีหินที่คล้ายเช่นนั้นหรือไม่
เจินจูเจอหินก้อนเล็กสีขาวนวลไม่กี่ก้อนจากหุบเขาด้านล่าง ก้อนหินประเภทนี้เมื่อขูดขีดบนพื้นแข็งจะขีดเขียนตัวอักษรจีนได้ชัดเจนมาก
“ท่านพ่อ ผิงอัน ผิงซุ่น มานี่หน่อย” เจินจูกวักมือเรียกทั้งสามคนมารวมกัน แบ่งหินคนละหนึ่งก้อน “ให้อันนี้พวกท่าน จำไว้ เอาหินนี้ขีดบนหินที่เรียบแบบนี้ ผิวหินเรียบลื่นชัดเจน แผ่นหินแบบนั้นก็ใช้ได้ และแผ่นหินต้องขนาดประมาณนี้” สองมือนางล้อมเป็วงกลม ทำท่าทางขนาดเปรียบเทียบ
หลังชี้แจงชัดเจนละเอียดแล้ว สี่คนก็กระจายกันต่างคนต่างหาหินที่้า
หลังจากเดินไปมาหนึ่งรอบ เจินจูใช้หินถูๆ ไถๆ จนหาแผ่นหินเล็กสองชิ้นที่้าได้ ด้านหนึ่งยังนับว่าเรียบ อีกด้านหนึ่งกลับขรุขระขัดตาเป็อย่างมาก กลับไปค่อยลองดูว่าจะให้ท่านพ่อขัดได้หรือไม่
เจินจูโอบก้อนหินสองก้อนใส่ในตะกร้าไผ่สาน หูฉางกุ้ยที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็โอบก้อนหินที่ค่อนข้างใหญ่จำนวนหนึ่งเดินเข้ามา
“เจินจู เ้าดู อันนี้ชัดเจนมาก” หูฉางกุ้ยวางหินลง ชี้ไปบนร่องรอยที่เขาขีดทีละอัน
“อื้ม อันนี้พอได้ อันนี้ไม่เอา หนักเกินไป ด้านหลังมีก้อนใหญ่นูนขึ้นไม่เรียบ แบกกลับไปลำบาก” เจินจูนั่งกึ่งยองสำรวจดูหนึ่งรอบ หินเก่าหนักหนึ่งก้อน ส่วนที่ไม่เรียบยื่นออกมาด้านหลังมีสัดส่วนมากกว่าครึ่ง แบกกลับไปคนจะไม่เหนื่อยตายหรือ เลยละทิ้งไปอย่างไม่ลังเล
หูฉางกุ้ยมองหินที่ถูกทอดทิ้ง “กลับไปข้าจะเจาะมันให้เรียบเสมอกันให้เ้า” แล้วย้ายมันกลับมาอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ท่านเจาะหินได้?” ความสามารถของหูฉางกุ้ยมีไม่น้อยเลย
“ได้นิดหน่อย เมื่อก่อนเคยช่วยคนอื่นเจาะ ไม่ยาก” หูฉางกุ้ยตอบตามตรง
“นั่นช่างดียิ่งนัก ก้อนนั้นของท่านหนักเกินไป อย่าเอาไปเลย เราหาอีกหน่อย” เห็นว่าเขาย้ายหินกลับมาอีกครั้งอย่างไม่ลดละ มุมปากเจินจูก็ยื่นออก
“อา...” เสียงร้องของผิงอันมีความตื่นตระหนกอยู่หลายส่วน “ท่านพี่ ท่านมาดูเร็ว”
“ผิงอัน เป็อะไร?” เจินจูลุกขึ้นด้วยความกังวล มองหาไปตามเสียง หูฉางกุ้ยที่อยู่ด้านข้างรีบวิ่งไปทางผิงอัน
“ผิงอัน! เป็อะไร?” ผิงซุ่นก็ยื่นตัวออกมาจากอีกด้านหนึ่งถามเสียงดัง
“ท่านพี่ ตรงนี้มีแมวดำหนึ่งตัวถูกท่อนไม้ทับอยู่” ผิงอันตอบเสียงสูง
ได้ฟังเช่นนั้น จิตใจที่กำลังเป็ห่วงของเจินจูจึงวางใจลง เ้าหนุ่มนี่ ทำเอาคนตกอกใจริงๆ
ดังนั้น จังหวะก้าวจึงช้าลง หลบเลี่ยงกองโคลนที่เปียกชื้น ก้าวช้าๆ ไปทางผิงอัน
“ผิงอัน ไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?” หูฉางกุ้ยวิ่งนำหน้าไปถึงข้างผิงอัน
“ท่านพ่อ ข้าไม่เป็ไร ท่านดู แมวตัวนี้ถูกกิ่งไม้ทับอยู่ น่าสงสารจัง” ผิงอันชี้ไปที่โพรงหินใต้ตีนเขา แมวสีดำถูกไม้แห้งท่อนหนึ่งทับไว้ครึ่งตัว กึ่งนอนอยู่ระหว่างก้อนหินลมหายใจรวยริน มีเพียงหนังท้องขยับนูนแ่เบา
“อ๊ะ เป็แมวดำจริงด้วย น่าสงสารจริงๆ มันใกล้จะตายแล้วกระมัง จะขยับไม่ไหวแล้ว ท่านอารอง ท่านช่วยย้ายกิ่งไม้ออกจากตัวมันหน่อยเถิด” ผิงซุ่นเข้าไปข้างหน้าใกล้ๆ ยอบกายลงมองแมวดำที่น่าสงสาร
“เหมียว...” คงจะได้ยินเสียงมนุษย์ ั์ตาของแมวดำที่ปิดอยู่จึงค่อยๆ เปิดขึ้น ในปากส่งเสียงร้องออกมาอย่างโรยแรง
เสียงร้องจากร่างกายอ่อนแรงจุดชนวนให้เกิดความเห็นใจจากทุกคน ผิงอันมองหูฉางกุ้ยน้ำตาคลอ “ท่านพ่อ ท่านรีบย้ายกิ่งไม้ออกจากมันเถิด มันใกล้จะตายแล้ว”
“ผิงอัน ผิงซุ่น พวกเ้าหลบออกก่อน” แมวดำน่าจะถูกทับมานาน ขนของมันเปียกไปครึ่งหนึ่ง อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง แม้จะช่วยออกมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่
หูฉางกุ้ยยกไม้แห้งขึ้นหลบหลีกแมวดำด้วยความระมัดระวัง แมวดำร้องออกมาสองที “เหมียว เหมียว” แต่ไม่ขยับตัว
“ฮือ... ท่านพี่ แมวดำจะตายแล้วใช่หรือไม่?” ผิงอันเม้มปากแน่น น้ำตาไหลสองสาย
เจินจูลูบศีรษะของเขา ปลอบเสียงเบา “ไม่เป็ไร ข้าดูก่อน ล้วนบอกกันว่าแมวมีเก้าชีวิต ไม่น่าตายง่ายเช่นนั้น” กล่าวจบ เดินเข้าไปใกล้แมวดำแล้วนั่งยองลงไปครึ่งหนึ่ง เพื่อนตัวน้อยราวกับจะไม่ไหวแล้วจริงๆ ย้ายไม้แห้งออกไปแล้วยังคงขยับตัวไม่ได้ ั์ตาเขียวเข้มเปิดครึ่งหนึ่งมองที่นางอย่างไร้เรี่ยวแรง แววตามีความเศร้าอาดูรสายหนึ่ง
“เห็นแล้วเวทนานัก ในเมื่อพบแล้วพวกเราก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน จะรอดได้หรือไม่ก็อยู่ที่ตัวเ้าแล้ว” เจินจูถอนหายใจอยู่ข้างใน เอียงกายไปบังสายตาข้างหลัง ยื่นนิ้วมือออกไปส่งหยดน้ำแร่จิติญญาเข้าไปในปากแมวดำ
ทันใดนั้นแมวดำที่เดิมทีไม่ขยับเพียงนิด ลูกตาดำทั้งสองข้างก็สว่างกว้างขึ้น ลิ้นเล็กเริ่มเลียนิ้วมือของเจินจูไม่หยุด ั์ตาที่ลืมครึ่งหนึ่งค่อยๆ เปลี่ยนไป มีความแวววาว ลมหายใจของแมวดำก็มีแนวโน้มว่าจะคงที่ขึ้นอย่างช้าๆ เจินจูจึงหยุดให้น้ำแร่จิติญญา
“เหมียว” เสียงร้องของแมวดำมีแรงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย แม้มันจะมีชีวิตชีวามากขึ้นเล็กน้อย แต่ถูกกิ่งไม้กดทับมานาน ขาหลังดูเหมือนจะหัก ยามนี้ยังคงนอนอย่างไร้เรี่ยวแรง มือสองข้างของเจินจูช้อนมันขึ้นด้วยความระมัดระวัง “ท่านพ่อ พวกเราพามันกลับกันเถิด เลี้ยงดูระวังหน่อย น่าจะรักษาให้ดีได้”
“พี่สาม มันยังมีชีวิตอยู่ได้?” ผิงซุ่นเบิกตาโตมองที่แมว เมื่อกี้นี้เหมือนว่าจะไม่มีลมหายใจแล้ว เหตุใดเดี๋ยวเดียวถึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้อีกเล่า หรือว่าแมวมีเก้าชีวิตจริงๆ?
“อื้ม น่าจะใช่”
“ท่านพี่ มันเหมือนมีชีวิตชีวาดีขึ้นหน่อยเลย” ชั่วพริบตาเดียวผิงอันก็เปลี่ยนจากโศกเศร้าเป็ดีใจ มีความสุขเสียจนฉีกปากยิ้มกว้าง “ท่านพี่ พวกเรารีบกลับไปกัน มันถูกทับนานเช่นนี้ น่าจะหิวแล้ว กินของแล้วมันจะได้ดีขึ้นเร็วๆ”
มองผิงอันที่ใบหน้ายิ้มแย้ม เจินจูอดดีใจขึ้นมาไม่ได้ “อื้ม พวกเรากลับกันเลย”
แบกแผ่นหินที่คัดเลือกเสร็จแล้วขึ้นมา คนหนึ่งขบวนจึงก้าวไปบนเส้นทางกลับบ้าน
เมื่อกลับมาถึงในบ้าน ผิงอันคิดจะอุ้มแมวดำเข้าไปในห้อง เจินจูคว้าเขาไว้แน่น “เ้าจะอุ้มมันไปที่ใด?”
“ท่านพี่ ตัวมันเปียกไปหมด ต้องหนาวแน่ๆ เลย ข้าจะเอามันไปวางบนเตียงอุ่นๆ” ผิงอันกล่าวด้วยความร้อนใจ
“…” เจินจูมองเด็กคนนี้ด้วยความรู้สึกเส้นดำเต็มหัว “แมวนี่ทั้งเปียกทั้งสกปรก เ้าเอามันไปวางบนเตียง ทำเตียงเลอะแล้วตอนกลางคืนเ้าจะนอนที่ใด?”
“แล้ว แล้วแมวนี่จะทำเช่นไร มันก็หนาวเป็นะ” ผิงอันกระวนกระวายใจเสียจนหันยึกยักไปมาเป็วงกลม
“ผิงอัน เอามันวางไว้ข้างกระถางไฟมันก็ไม่หนาวแล้ว” ผิงซุ่นเตือนสติผิงอัน
“ใช่แล้ว” ผิงอันก้าวเท้าคิดจะวิ่งไปทางกระท่อมกระต่าย
“เดี๋ยวก่อน” เจินจูเรียกะโหยุดเขาไว้ ประสาทัักลิ่นลูกแมวไวนัก กระท่อมกระต่ายกลิ่นแรงเกินไป มันไม่มีทางชอบอยู่ในนั้นแน่
ผิงอันมองนางอย่างไม่เข้าใจ เจินจูอธิบายลักษณะนิสัยของลูกแมวกับผิงอันด้วยความอดทน ผิงอันไม่เคยัักับแมวมาก่อน ไม่เข้าใจมัน เลี้ยงสัตว์จะต้องเข้าใจลักษณะนิสัยของมัน ไม่สามารถเลี้ยงตามใจตนเองได้ เจินจูดุเขาอย่างพอเหมาะนิดหน่อย
ผิงอันก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกน้อยใจ เขาเพียงใจร้อนเล็กน้อย ลูกแมวได้รับาเ็ เขาอยากให้มันสบายขึ้นสักนิด แต่... ท่านพี่กล่าวได้ถูกต้อง เขาต้องยอมรับความผิดพลาด
มองศีรษะเล็กของผิงอันที่ห้อยลง เจินจูยิ้มน้อยๆ “มานี่ เอามันวางห้องนี้”
เคาะประตูนิดหน่อยก่อน “ยู่เซิง พวกเราเข้าไปแล้วนะ”
หลัวจิ่งนอนอยู่บนเตียง ั์ตาเงียบสงบมองมาที่นาง
“นี่เป็ลูกแมวที่เก็บได้ในูเาวันนี้ ขาถูกทับหักน่ะ เอามันวางพักรักษาอาการาเ็ไว้ข้างกระถางไฟที่พื้นข้างเตียง เ้าไม่ถือสาใช่ไหม สามารถเป็เพื่อนเ้าได้พอดีเลย” เจินจูยิ้มแล้วกล่าวอธิบาย
“พี่ชายยู่เซิง ลูกแมวดำน่าสงสารมาก ท่านดู ขาของมันก็หัก ขยับไม่ได้แล้ว เอามันวางพักรักษาอาการาเ็ไว้ข้างกระถางไฟ รอให้ขาของท่านหาย ขาของมันก็จะดีขึ้นแล้ว” ผิงอันเอามือประคองแมวดำอย่างระมัดระวังและกล่าวไม่หยุด
ผิงซุ่นที่ตามมาอยู่ด้านหลัง ทั้งใบหน้าพิจารณาเด็กชายที่อยู่บนเตียงด้วยความประหลาดใจ เขารู้ว่าบ้านของท่านอารองมีคนป่วยหนึ่งคนพักรักษาอาการาแอยู่ เขาแอบมองจากหน้าต่างเพ่งอยู่หลายรอบ แต่... ท่านย่าไม่ให้เขาเข้ามาในห้อง กลัวว่าจะทำคนป่วยหนวกหูได้ แล้วยังกำชับเขาว่าห้ามบอกผู้อื่น ดังนั้นนี่เป็ครั้งแรกที่เขาเห็นหลัวจิ่ง
สายตาหลัวจิ่งหยุดอยู่ที่อ้อมกอดของผิงอัน ลูกแมวดำสนิทนอนคว่ำอยู่มีลมหายใจแ่และไร้เรี่ยวแรง มีเพียงสองตาที่ลืมขึ้นเล็กน้อย และร้อง “เหมียว” อยู่เป็ระยะ
เชิงอรรถ
[1] ปากกาหิน เป็แร่ซิลิเกตที่ใช้ทั่วไปในงานเชื่อมและตัดแผ่นเหล็ก ก่อนที่จะมีชอล์กเกิดขึ้นรู้จักกันในชื่อของชอล์กไร้ฝุ่น มีลักษณะแท่งคล้ายชอล์กแต่เป็รูปร่างสี่เหลี่ยม