อาหารเช้าเป็โจ๊กเนื้อกับผักดอง หน้าหนาวที่หนาวมาก ทานโจ๊กเนื้ออุ่นๆ หนึ่งถ้วยลงไปในท้อง ทั่วทั้งร่างกายก็อบอุ่นขึ้นมาทันที
เจินจูยกโจ๊กร้อนหนึ่งถ้วยใหญ่ด้วยสองมือเข้ามาในห้องของหลัวจิ่ง หลัวจิ่งที่ลุกขึ้นนั่งด้วยตนเองได้แล้ว ก็ไม่้าให้ผู้อื่นมาป้อน หลังส่งโจ๊กให้เขา เจินจูก็คีบถ่านไม้ไม่กี่ก้อนจากมุมกำแพงเพิ่มเข้าไปในกระถางไฟ ขณะที่เขี่ยไฟ นางจึงเริ่มกล่าวขึ้น “ยู่เซิง เมื่อวานข้าซื้อตำราเกษตรมา เครื่องเขียนก็ซื้อมาเรียบร้อยแล้ว วันนี้จะพยายามรีบทำเื่ต่างๆ ให้เสร็จ พรุ่งนี้พวกเราจะได้เข้าเรียนกัน”
“ตำราเกษตร?” มือที่ตักโจ๊กของหลัวจิ่งหยุดไปพักหนึ่ง
“อื้ม ลูกจ้างของร้านขายหนังสือบอกว่าชื่อ ‘ตำราเกษตรสี่ฤดู’ แพงอยู่นัก หนังสือหนึ่งเล่มที่เก่าๆ ต้องจ่าย 150 เหวิน” เจินจูที่เคาะๆ กระถางไฟเบะปากเอ่ยเบาๆ “เครื่องเขียนหนึ่งชุดก็จ่ายไปแล้วเกือบหนึ่งเหลียง เฮ้อ... มิน่าเล่าเด็กครอบครัวยากจนถึงเข้าเรียนกันไม่ได้”
หลัวจิ่งเงียบไม่พูดจา นึกถึงเมื่อก่อนตอนเขาเข้าเรียนอย่างเป็ทางการ มารดาตั้งใจหาแท่นหินฝนหมึกซงฮวา [1] หนึ่งอันเพื่อเขา ผลสุดท้ายไม่ถึงสองวันก็ถูกเขาทำหล่นจนกลายเป็ครึ่งสองชิ้น มารดาเพียงย่นหัวคิ้วตำหนิเขาเบาๆ ไม่กี่ประโยค ต่อมาจึงรู้จากแม่นมข้างกายของมารดา ว่าแท่นฝนหมึกอันนั้นมูลค่าไม่ถูกเลย เป็มารดาหามาให้เขาใช้เข้าเรียนโดยเฉพาะ จ่ายเงินเนื้อดีไปห้าร้อยเหลียง
คิดถึงตรงนี้ แววตาของหลัวจิ่งกลับมืดครึ้มลง มารดา ไม่อยู่บนโลกมนุษย์นี้แล้ว ใจ…เจ็บจนหายใจแทบไม่ออก
“ยู่เซิง ยู่เซิง”
หลัวจิ่งเงยหน้าขึ้นมาทันทีทันใด สายตามองเด็กสาวที่ร้องเรียกเขาด้วยความอึมครึม
เจินจูถูกสายตาที่ซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ลึกๆ ของเขาทำให้ใ “คิด…คิดอันใดอยู่หรือ? ใจลอยเช่นนี้เชียว รีบทานโจ๊กเถิด เกือบจะเย็นหมดแล้ว”
ใต้คิ้วเข้มที่ยาวเฉียงของหลัวจิ่ง ดวงตาลึกสงบเงียบ นิ่งเสียจนเหมือนกับมีระลอกคลื่นที่โหมกระหน่ำอยู่ใต้บึงน้ำลึก ในระลอกคลื่นนั้นกลับซ่อนเร้นหมอกหนาทึบของความระทมทุกข์อีกหนึ่งชั้น ไม่คิดเลยว่ามันมีความอ้างว้างอย่างหนึ่งที่จะทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็นกลับจมอยู่ในความรู้สึกเดียวกันกับเขา เปลือกตาเจินจูหลุบต่ำลงหลีกเลี่ยงสายตาที่นองไปด้วยความระทมทุกข์นั้น ยื่นมือเล็กออกไป หยิกใบหน้าเล็กของตนเอง นี่ยังคงมีความผอมแห้งอ่อนแออยู่นิดหน่อย ดุด่าตนเองลับๆ ในใจ เฮ้ย... ละอายใจหน่อยได้หรือไม่? ไม่คิดเลยว่าจะถูกเด็กผู้ชายเล็กๆ คนหนึ่งเช่นนี้ ดึงดูดสายตาไว้ อายุจากข้างในแล้ว เ้าเป็แม่เขาได้เลยนะ
นางแบะปาก มองเอียงไปด้านข้างแวบหนึ่งหลัวจิ่งยังคงเงียบสงบ หน้าตาดีก็ได้เปรียบนัก แม้แต่รู้สึกทุกข์ระทมขมขื่นล้วนปรากฏเสน่ห์พิเศษออกมา
หลังอาหารเช้าผ่านไป หวังซื่อพาหูฉางหลิน ชุ่ยจู ผิงซุ่นรีบเร่งเข้ามา พอเปิดปากก็กล่าวถามทันที “เจินจู เนื้อที่หมักไว้เมื่อวานได้ที่หรือยัง?”
“โอ้ น่าจะได้แล้ว รออีกสักครู่ข้าจัดการอันนี้เสร็จก่อน” แกว่งกระดาษน้ำมันในมือขึ้น แล้วเย็บต่อไป
“พี่สาม นี่ท่านทำอะไรหรือ?” ผิงซุ่นถามอย่างประหลาดใจ
“อืม... ทำกรวยน่ะ ทำเป็ลักษณะปลายหนึ่งใหญ่กับปลายหนึ่งเล็ก กรอกเนื้อได้ดีนัก” เจินจูแทงกระดาษน้ำมันอย่างออกแรง ดึงด้ายด้วยความยากลำบาก
หวังซื่อมองแล้วขัดตา รับมาทำเอง เย็บด้วยความสามลงห้าลบสอง [2] จนก่อเป็รูปเป็ร่าง “เอ้า เป็เช่นนี้หรือไม่?”
เจินจูยิ้มหน้าเหยเก “ท่านย่า ขิงเผ็ดที่แก่ ยังคงเป็ท่านที่ยอดเยี่ยม [3]”
ชุ่ยจูที่อยู่ด้านข้างหัวเราะ “พรืด” “เจินจู งานเย็บปักถักร้อยเ้าแย่เกินไปแล้ว ต้องฝึกเยอะๆ”
“ข้าฝึกนะ แต่เข็มนี่เอาแต่แกล้งข้านัก ท่านดู บนนิ้วยังมีรูเข็มตั้งหลายรู” เจินจูเอ่ยร้องทุกข์ ยอมรับว่านางไม่มีพร์ในการทำงานเย็บปักถักร้อย ฝึกมาหลายวันแล้ว ก็ไม่ก้าวหน้าอะไรเลย
“โอ้ งานเย็บปักถักร้อยมิใช่ว่าชั่วครู่ชั่วยามก็สามารถฝึกให้ดีได้ ค่อยๆ เรียนรู้ไม่ต้องรีบร้อน ระวังมือหน่อย” หวังซื่อลูบมือน้อยๆ ของเจินจู “มีอะไรต้องทำเย็บปักถักร้อยก็บอกย่า ย่าทำเอง”
“ฮ่า ฮ่า ทราบแล้ว ท่านย่า” เจินจูตอบกลับหัวเราะฮิ ฮิ นางไม่คิดว่าจะสิ้นเปลืองเวลาไปกับงานเย็บปักถักร้อย แค่ปักพอใช้ได้ก็พอแล้ว
หากระบอกไม้ไผ่หนึ่งบ้องที่ความเล็กใหญ่พอดีมา ปลายด้านหนึ่งสวมเข้ากับปลายของไส้เล็กที่กางเปิดอยู่และใช้มือบีบจับให้แน่น อีกปลายหนึ่งตั้งกรวยกระดาษน้ำมันไว้แล้วเริ่มกรอกเนื้อลงไปข้างใน สองมือหวังซื่อบีบกระบอกไม้ไผ่แน่น เจินจูกับชุ่ยจูสองคนทำการยัดไส้เนื้อไปข้างในไม่หยุด ไม่นานไส้จึงขยายออกเริ่มอวบอัดขึ้นมา เจินจูรูดชิ้นเนื้อลงไปทีละ่ๆ จากบนลงล่างด้วยความระมัดระวัง การกระทำผ่อนคลายนุ่มนวล กลัวมากว่าพอไม่ระวังเพียงนิดจะดันไส้จนแตกได้ รอจนไส้ทั้งท่อนเติมเนื้อเข้าไปจนเต็มทั้งหมดแล้ว เจินจูจึงขยับมือสองข้างที่แข็งทื่อเล็กน้อย โอย... งานนี้ทำแล้วเหนื่อยมากนัก
“เจินจู แบบนี้ก็เสร็จแล้วหรือ?” หวังซื่อมองไส้เนื้อหนึ่งเส้นยาวๆ มึนงงเล็กน้อย
“เอ่อ ยัง ท่านย่า พวกท่านเปลี่ยนไส้หนึ่งท่อนที่จะกรอกอันถัดไปก่อน ข้าจะเอากุนเชียงท่อนที่กรอกเสร็จแล้วไปใช้เชือกป่านมัดแบ่งเป็ส่วนๆ” เจินจูแบะปาก มองน้ำมันที่เต็มมือด้วยใบหน้าจำใจ ดังนั้นที่บอกว่านางไม่ชอบงานในห้องครัวมากๆ จึงเป็เื่จริง เพราะมักจะมีความมันแผล็บอยู่เสมอ ช่างทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก
สามคนแบ่งงานช่วยกันทำ เนื้อหมูยี่สิบชั่งก็กรอกเสร็จอย่างรวดเร็ว ไส้เนื้อที่อิ่มเอิบแดงเข้มวางเรียงไว้เต็มกะละมังใหญ่
“พี่สาม แบบนี้ก็เสร็จแล้วหรือ? ต้มมาทานได้แล้ว?” ในตาผิงซุ่นมีแสงวาบ มองเนื้อเต็มกะละมังแล้วกลืนน้ำลายลงไป
“แน่นอนว่าไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดต้องผึ่งแดดครึ่งเดือนขึ้นไปถึงจะได้ หากมีแสงอาทิตย์ออกมาก ตากแดดไม่กี่วันก็จะเร็วหน่อย แต่ ดูอากาศที่นี้ของเราแล้วไม่เหมือนจะมีเค้าลางดวงอาทิตย์เลย” เจินจูมองท้องฟ้าที่มีเมฆค่อนข้างมากก็กลุ้มใจเล็กน้อย ตัวนางเองค่อนข้างชอบทานกุนเชียงตากแห้ง แต่หากพระเ้าไม่ไว้หน้า พระอาทิตย์ไม่ออกมา แขวนไว้ที่ลมโกรก ตากลมให้แห้งก็ได้เหมือนกัน แต่ค่อนข้างเปลืองเวลาหน่อย หรือจะทำกุนเชียงรมควันก็ได้ กุนเชียงทำแบบรมควันไฟก็อร่อย แค่บางคนอาจไม่ชินเวลาทานแล้วมีกลิ่นรมควันเช่นนั้น
เจินจูยักไหล่ คว้าขี้เถ้าขึ้นมาหนึ่งกำล้างน้ำมันเต็มมือให้สะอาด
“ต้องผึ่งเฉพาะดวงอาทิตย์หรือ?” หวังซื่อมองท้องฟ้าแล้วตามมาด้วยความเป็กังวล
“ไม่ใช่ เพียงเวลาที่ผึ่งลมให้แห้งต้องยาวนานนิดหน่อย” เจินจูยิ้มแล้วตอบ หน้าหนาวของทางเหนือทั้งหนาวทั้งแห้ง วางผึ่งลมไว้ในที่มีลมโกรกกำลังดีก็ได้ ล้างมือเสร็จ หาเข็มปักลายออกมาหนึ่งเล่ม จิ้มไส้เนื้อแต่ละอันห้าหกรู ทำให้ไม่มีฟองอากาศ สุดท้าย เอากุนเชียงกับเนื้อตากแห้งแขวนไว้ใต้ชายคาสูงๆ ให้มันผึ่งลมธรรมชาติ
“เจินจู นี่เสร็จแล้วหรือ?” หูฉางหลินช่วยหูฉางกุ้ยซ่อมแซมรอยร้าวของบ้านโคลนตลอดเช้า เห็นว่าแขวนกุนเชียงแล้วจึงถามหนึ่งเสียงจากไกลๆ
“โอ้ นับว่าเสร็จแล้ว รอครึ่งเดือนขึ้นไปก็มีกุนเชียงทานแล้ว” นี่เป็ครั้งแรกที่เจินจูกรอกไส้ด้วยตนเอง ในใจไม่ค่อยมั่นใจเล็กน้อย เนื้อยี่สิบชั่งฟังดูแล้วช่างเยอะนัก หลังกรอกเสร็จพบว่าได้นิดเดียวเช่นนี้ คนสองครอบครัวไม่น้อย หลังแบ่งเสร็จคาดว่าไม่นานก็ทานหมดแล้ว นึกได้ว่าตนเองยังมีหมูอ้วนอยู่หนึ่งตัว เจินจูกลอกตาหนึ่งที “ท่านย่า หมูของบ้านเราเมื่อไรจะออกจากคอก?”
“ปกติแล้วล้วนเลี้ยงจนใกล้ตอนปลายปี เจินจูคิดจะ…” หวังซื่อลังเลใจเล็กน้อย ตนเองจะฆ่าหมูกรอกกุนเชียงก็ได้ แต่หมูนี่ยังอยู่ใน่ทำให้อ้วนขึ้น ห่างจากปลายปียังอีกยาวเลย
“ไม่ใช่ ท่านย่า ข้าแค่ถามเวลานิดหน่อย เรารอให้กุนเชียงรุ่นนี้ตากแดดดีแล้ว หลังชิมรสชาติค่อยวางแผนการทำ ถึงอย่างไร กรอกกุนเชียงครั้งแรกยังไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือไม่” เจินจูรีบโบกมือกล่าว
“อืม อร่อยแน่นอน ของที่เจินจูทำหมู่นี้ไม่มีสักอย่างที่ไม่อร่อย” ชุ่ยจูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แน่ใจกับผลงานของเจินจู
เจินจูโบกมือปฏิเสธ ไม่ได้เป็เทพเ้าอาหารอะไรกลับชาติมาเกิด เื่ราวจะแน่นอนได้ที่ไหนกัน นางเพียงหยิบความคิดดีๆ ที่มีประโยชน์มาใช้ อาหารรสเลิศที่ตกตะกอนจากประวัติศาสตร์นับพันปี เป็ธรรมาดาที่มันจะมีเสน่ห์โดดเด่นเฉพาะตัว “มีเื่ที่แน่นอนที่ไหนกันเล่า ถ้าครั้งนี้ทำไม่ดี ครั้งหน้าก็ปรับปรุงแก้ไขต่อไป ลองหลายๆ ครั้งมักจะสามารถทำรสชาติที่พอดีออกมาได้”
หวังซื่อพยักหน้า มองเจินจูด้วยความปลื้มใจ หลานสาวผู้นี้ของนางอายุยังน้อยกลับมองเื่ได้ทะลุปรุโปร่งไม่หุนหันพลันแล่น
ยุ่งอยู่กับการกรอกกุนเชียงเสร็จแล้ว เจินจูก็ว่างลงได้ อาหารกลางวันผ่านไป หยิบเครื่องเขียนที่ซื้อเมื่อวานมายังห้องหลัวจิ่ง เริ่มเตรียมทำห้องเรียน
กระดาษเช่นนี้แพงนัก ไม่มีกระดานดำ ไม่มีชอล์ก แล้วก็ไม่มีกองทราย นี่ควรจะฝึกเขียนตัวอักษรจีนอย่างไร? เจินจูนั่งอยู่บนม้านั่งเตี้ยด้านข้าง เริ่มทำการคิด
หลัวจิ่งมองมือสองข้างของเด็กสาวที่กอดไหล่ตนเองส่วนคิ้วกับตาลู่ลง สีหน้าจริงจังราวกับว่ากำลังใคร่ครวญอะไรบางอย่าง เขาอดเอ่ยปากถามไม่ได้ “มีเื่อะไรที่รู้สึกลำบากใจหรือ?”
เจินจูมองเขาแวบหนึ่ง เด็กชายที่นั่งพิงหัวเตียงหลังตรง ผมยาวสีดำสนิทลู่ลงไปทางเดียวกันแผ่กระจายอยู่ด้านหลัง ดั้งจมูกที่โด่งมากขับเครื่องหน้าที่ลึกให้เด่นขึ้น หางตากับมุมปากล้วนมีรอยแผลอยู่ แต่ไม่ทำให้ท่าทางเฉพาะตัวที่สูงส่งของเขาหายไป การมีรอยแผลทางร่างกายเช่นนั้นกลับเพิ่มความงดงามให้มากขึ้นด้วยซ้ำ
“ไม่มีอะไร” เจินจูถอนสายตากลับแล้วตอบอย่างขอไปที หน้าตาหล่อเหลาร้ายกาจเกินไปไม่ใช่เื่ดี หากว่าตกอยู่ในมือโรคจิตที่ไหนเข้าคงจะน่าเศร้านัก นางซุบซิบอยู่ในใจ
คำตอบอย่างขอไปทีที่ชัดเจนนี้ทำเอาหลัวจิ่งย่นหัวคิ้ว พอคิดจะไต่ถามต่อ เด็กสาวหยัดกายลุกขึ้นยืนพรวดอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้หนึ่งประโยค “ข้าออกไปสักเดี๋ยว” แล้วก็วิ่งออกไปเลย
หลัวจิ่งมองเงาร่างที่ไกลออกไป คิ้วทั้งสองข้างที่ยาวเฉียงขมวดเสียจนยิ่งแน่นขึ้นไปอีก
“ผิงอัน ผิงซุ่น ออกมาเร็ว” เ้าหนุ่มสองคนนี่ทานอาหารเที่ยงเสร็จก็วิ่งมากระท่อมกระต่ายอยู่ครึ่งค่อนวัน
“ท่านพี่ ทำอะไร?” ผิงอันรีบวิ่งออกมาอย่างเร็ว ผิงซุ่นตามมาอยู่ข้างหลังใบหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
“ข้าถามพวกเ้าหน่อย แถวนี้มีก้อนหินที่ภายนอกผิวเรียบลื่นใหญ่หน่อยหรือไม่?” เจินจูทำท่าทางวงกลมหนึ่งวง “เล็กหน่อยก็ได้ แต่บนผิวต้องเรียบและเกลี้ยง”
“ข้ารู้! ในหุบเขาซุ่ยสือทางทิศใต้ ที่นั่นมีก้อนหินใหญ่จำนวนมาก บนผิวก็เรียบเนียนไม่น้อย” ผิงซุ่นวิ่งมาอยู่ข้างหน้าเจินจูกล่าวอวดความดีความชอบ
“ในหุบเขาซุ่ยสือทางทิศใต้? ไกลหรือไม่?” เจินจูถาม
“ไม่ไกล อยู่ทางนั้น ผ่านเขาหนึ่งลูกก็ถึงแล้ว” ผิงซุ่นชี้ไปยังทิศทางด้านหนึ่งของฝั่งตรงข้าม
“…”
ผ่านทะลุทั้งหมู่บ้าน แล้วยังข้ามูเาอีกหนึ่งลูก นี่เรียกว่าไม่ไกล? อีกอย่างน้ำหนักของก้อนหินก็ไม่เบา เจินจูไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ แล้วมองสีท้องฟ้าอีกครั้ง “ไป พวกเราไปหาก้อนหินกัน”
“โอ้ ไปสนุกที่หุบเขาซุ่ยสือกันเถอะ” ผิงซุ่นะโโลดเต้นขึ้น หุบเขาซุ่ยสือห่างจากหมู่บ้านค่อนข้างไกล ยามปกติที่บ้านไม่อนุญาตให้ไปเล่นฝั่งนั้น เขาเพียงเคยแอบไปกับสหายครั้งหนึ่ง
เ้าเด็กดื้อนี่ มีความสุขเขาล่ะ วันที่หนาวะเืแบบนี้ หากไม่ใช่เพื่อหาก้อนหินไม่กี่ก้อนที่เขียนตัวอักษรได้ นางจะไม่ออกนอกบ้านอย่างเด็ดขาด
“ท่านพี่ ข้าก็ไปได้หรือไม่?” ในตาของผิงอันที่ระยิบระยับปรากฏความคาดหวัง ูเาด้านทิศใต้ห่างไปไกลนัก ผิงอันร่างกายอ่อนแอ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยไปมาก่อน
“อยากไปก็ไป แต่ เ้าเดินไกลเช่นนั้นได้หรือไม่?” เจินจูมองที่ร่างเล็กของผิงอัน ยังมีความกังวลใจอยู่เล็กน้อย
“ได้สิ ท่านพี่ ่นี้ข้าร่างกายดีมากแล้ว มีพละกำลังด้วย” กล่าวจบยังตบที่หน้าอกเล็กของตนเองเบาๆ รับรองเหตุผล
“ได้ เช่นนั้นไปกันเถิด เ้าไปหาท่านพ่อก่อน ให้เขาพาพวกเราไป ข้าจะไปหยิบของบางอย่าง อีกเดี๋ยวจะมา” นางเป็เด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งไม่กล้าพาพวกเขาเข้าป่าลึกหรอก เวลาเช่นนี้ ควรให้ท่านพ่อสกุลหูไปด้วยกันเป็ดีที่สุด
เชิงอรรถ
[1] แท่นหินฝนหมึกซงฮวา เป็ถาดฝนหมึกที่สามารถอุ่นหมึกให้ร้อนได้ โดยผลิตขึ้นจากหินเขียวซงฮวา
[2] สามลงห้าลบสอง หมายถึง อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
[3] ขิงเผ็ดที่แก่ ยังคงเป็ท่านที่ยอดเยี่ยม ดัดแปลงมาจากคำพังเพยของจีนที่ว่า ขิงยังคงเผ็ดที่ความแก่ (姜还是老的辣) หมายความว่า ความเผ็ดของขิงขึ้นอยู่กับความแก่ ยิ่งขิงแก่ก็ยิ่งเผ็ด อุปมาว่า ผู้สูงอายุมีประสบการณ์ ทำงานช่ำชอง ซึ่งในนิยายหมายความว่า ขิงแก่คือหวังซื่อ ความเผ็ดเป็ฝีมือที่ช่ำชอง