หาปุ้งกี๋แตกมาหนึ่งอัน ผ้าเก่าหนึ่งผืนปูรองด้านใน นับได้ว่ามีเตียงผู้ป่วยแมวดำแล้ว เอามันจัดวางไว้ด้านล่างข้างเตียงยู่เซิง คนไข้ที่ขาหักอยู่ทั้งบนและล่างอย่างละหนึ่ง เจินจูอดหัวเราะในใจไม่ได้
ผิงอันทั้งเติมถ่านให้กระถางไฟ ทั้งเล่าเหตุการณ์ที่เก็บแมวดำได้กับหลัวจิ่ง กล่าวตามตรงคือเขาพูดคุยกับตนเองอยู่ฝ่ายเดียว หลัวจิ่งเพียงฟังอยู่เงียบๆ
ผิงซุ่นที่นั่งยองๆ ด้านข้างก็เสริมสองสามประโยคขึ้นมาเป็ระยะๆ
เจินจูหาถ้วยเครื่องปั้นดินเผาแตกๆ ออกมาหนึ่งใบจากห้องครัว คลุกกับข้าวที่เหลือในตอนกลางวันเล็กน้อย วางในหม้อน้ำร้อนอุ่นไว้สักครู่ แล้วเติมน้ำแร่จิติญญานิดหน่อยลงไป อาหารของลูกแมวก็เรียบร้อยแล้ว
เมื่อก่อนบ้านนางเคยเลี้ยงลูกแมวหนึ่งตัว บิดาคนเก่าของนางชอบเลี้ยงสัตว์ทุกชนิดเป็อย่างยิ่ง บนระเบียงของบ้าน เคยเลี้ยงกระต่าย ไก่ นกพิราบ เต่า และอื่นๆ สัตว์ปีกที่สามารถซื้อได้ตามท้องตลาด บิดาของนางล้วนอยากเลี้ยง ลูกแมวที่เลี้ยงมาสองปีจู่ๆ ก็ไม่เห็นอีกเลย เขาออกค้นหาย่านนั้นอย่างกระวนกระวายใจเป็เวลาเจ็ดแปดวันจึงยอมแพ้อย่างเศร้าสลด หลังจากหายเศร้าผ่านไปหนึ่งเดือน ก็วิ่งไปตลาดขายสัตว์เล็กและต้นไม้ ซื้อลูกสุนัขหนึ่งตัวที่อายุได้สองเดือนมา จากนั้นจึงเดินออกจากความทุกข์ที่สูญเสียแมวไปได้
ก่อนที่นางจะทะลุมิติมายังที่นี่ ในบ้านนางยังเลี้ยงสุนัขหนึ่งตัว เต่าสองตัว แล้วก็มีปลาหลากสีอีกสิบกว่าตัวอยู่ด้วย
สำหรับนิสัยของแมวแล้วนางยังนับว่าพอเข้าใจอยู่ เ้าแมวสกปรกบ้านของนางเป็สัตว์ที่กินไม่เลือก กินเนื้อปลาและกระดูก กินผักและข้าว บางครั้งหัวไชเท้าและแตงกวาที่วางไว้ในบ้านล้วนแทะไปหลายคำ
ตอนแรกทั้งครอบครัวนางต่างรู้สึกแปลกประหลาดมาก ต่อมาพอหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต จึงพบว่าลูกแมวหลายตัวล้วนเป็แบบนี้ เจินจูจึงนับว่ามีความเข้าใจต่ออุปนิสัยของแมวอย่างแน่นอน
เอาถ้วยเครื่องปั้นดินเผาที่แตกวางไว้ข้างแมวดำ ปีกจมูกของมันกระตุกอยู่ไม่กี่ที ก็ยกอุ้งเท้าหน้าขึ้นทันใด พยายามเดินขาลากไปทางอาหาร ทั้งกินทั้งส่งเสียงกลืนลงไป และร้อง “หง่าว” ทุกคนที่ล้อมเฝ้าดูต่างตกตะลึงไม่หยุด
“มิใช่ว่าแมวกินแค่ปลาหรือ? เหตุใดแม้แต่ผักกวางตุ้งก็กินเล่า?” ผิงซุ่นมองอย่างประหลาดใจ และถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“อื้ม แมวไม่ได้กินเพียงปลา เนื้อก็กิน ข้าวสวยก็กิน ผักก็กิน” คิดๆ แล้ว จึงกล่าวกับสองพี่น้องผิงซุ่นและผิงอัน “อีกเดี๋ยวพวกเ้าไปริมแม่น้ำขนทรายกลับมาเล็กน้อย ต้องใช้น่ะ”
“ท่านพี่ เอาทรายมาทำอันใด? เอาเท่าไร?” ผิงอันถาม
“อืม... พวกเ้าถือปุ้งกี๋ไป ขนมาปุ้งกี๋เต็มก็พอแล้ว ใช้เป็ห้องส้วมให้แมว” เจินจูเม้มปากยิ้มน้อยๆ “แมวรักความสะอาด มันจะถ่ายมูลในทราย หลังจากนั้นจะกลบมูลไว้”
“พี่สาม ท่านรู้เยอะจริงๆ” ผิงซุ่นมองเจินจูดวงตาผุดประกายระยิบระยับ
“ฮ่า ฮ่า รีบไปเถิด รอมันกินเสร็จต้องหาที่ถ่ายมูลแน่” เจินจูยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อ “ในห้องฟืนยังมีปุ้งกี๋แตกอันหนึ่ง อย่าลืมรองแผ่นกระดานบางๆ เล่า ไม่เช่นนั้นทรายจะรั่วได้”
รอจนพวกเขาไปหมดแล้ว เจินจูหันมากล่าวกับหลัวจิ่งที่เงียบไม่พูดจามาตลอด “ยู่เซิง เอาแมวมาไว้ที่นี่หนวกหูเ้าหรือไม่?”
“ไม่หรอก” เสียงหลัวจิ่งมีความเศร้าสลดอยู่หลายส่วน แมวดำที่ได้รับาเ็ทำให้เขาคิดถึงพี่สาวคนที่สามอย่างหลัวรุ่ยขึ้นมา นางก็เลี้ยงแมวเปอร์เซียสีขาวราวหิมะที่น่ารักหนึ่งตัว หลังสกุลหลัวถูกค้นบ้านและยึดทรัพย์ พี่สามก็เหมือนหยกที่หล่นแตกเหมือนบุปผาที่ร่วงโรย [1] ไม่รู้ว่าแมวเปอร์เซียร่อนเร่ไปแห่งใดแล้ว หลัวจิ่งปิดเปลือกตาสองข้างลงทันที ระงับน้ำตาที่จวนจะไหลล้นออกมา
“…”
เจินจูรู้สึกขึ้นทันที ว่าบางครั้งสายตาที่ดีเกินไปของตนที่มองทะลุใจเขาได้ก็ไม่ใช่เื่ดีสำหรับตนเช่นกัน ความเ็ปเศร้าโศกเต็มดวงตานั่นทำให้นางรู้สึกถึงรสชาติของชีวิตที่เคยพบเจอกับความทุกข์ขึ้นมาทันใด ไม่รู้ว่าตรงไหนไปะเือารมณ์ที่เ็ปของเขาเข้า ทำให้ทั้งตัวของเขาเหมือนฉาบไปด้วยเงามืดของความเสียใจ เฮ่อ เจินจูแอบถอนลมหายใจอยู่ข้างใน แต่ละคนที่โศกเศร้าย่อมมีความทุกข์ของตนเอง คนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องเดินไปข้างหน้า หากเดินออกจากความทุกข์ไม่ได้ ตนเองก็มีเพียงความเ็ปทุกข์ทรมาน
“เหมียว...” เสียงร้องของลูกแมวปลุกสองคนที่นิ่งเงียบให้ตื่น
หลังลูกแมวดำกินอาหารในชามหมดเกลี้ยง ของบำรุงร่างกายอย่างน้ำแร่จิติญญาทำให้แมวดำที่ก่อนหน้านี้ฟุบอยู่กลับร่าเริงขึ้นได้ มันนั่งลงครึ่งตัวบนรังเล็กที่ทำอย่างลวกๆ ลูกตาดำเปียกชื้นหันมาทางเจินจูแล้วร้องสองเสียง “เหมียว...เหมียว” ราวกับจะกล่าวขอบคุณมาทางนาง
เจินจูนั่งยองๆ ลงไป ยื่นนิ้วมือออกไปลูบหัวของมัน แมวดำร้อง “เหมียว” พลางหลุบตาลงไปครึ่งหนึ่ง หันหัวมาถูกับฝ่ามือของนางไม่หยุด “เฮ้ เพื่อนตัวน้อย นับว่าเ้าอายุยืนนัก เก็บชีวิตน้อยๆ กลับมาได้ ต่อไปต้องระวังหน่อยนะ”
นิ้วมือเคาะจมูกชื้นของมันเบาๆ ลูกแมวกลับเลียที่นิ้วมืออย่างรีบร้อน หลังพบว่าไม่มีของเหลวไหลซึมออกมา จึงส่งเสียงร้อง “เหมียว...เหมียว” คล้ายกับกำลังบ่นนางก็ไม่ปาน
เจินจูเลิกคิ้ว แมวนี่ฉลาดมากนัก ดื่มน้ำแร่จิติญญาไปครั้งเดียวก็โหยหาแล้ว “ดูเ้าสีดำมืดเสียจริง เรียกว่าเสี่ยวเฮยแล้วกัน ...เสี่ยวเฮย นอนดีๆ เล่า อย่าเอาแต่โหยหาสิ่งที่มีบ้างไม่มีบ้าง แมวที่ขาหักแต่เฉลียวฉลาดมีความสามารถมากไปก็จับหนูไม่ได้”
เสี่ยวเฮยร้องตอบหนึ่งเสียง “เหมียว” มองนางด้วยสายตาละห้อย
หลัวจิ่งเอียงศีรษะมองไปยังหนึ่งคนหนึ่งแมวบนพื้น ในการพูดคุยของเด็กสาวกับแมว มีคำพูดหนึ่ง หลัวจิ่งรู้ว่าเป็การพูดเปรยๆ ให้เขาฟัง ใจเต้นเล็กน้อย เขาสังเกตเด็กสาวบอบบางที่อยู่ใกล้ตรงหน้าอย่างละเอียด คิ้วประณีตเป็ทรงยกขึ้นอย่างนุ่มนวล ั์ตาสว่างไสวเวลานี้หลุบลงไปข้างล่าง ขนตายาวเด้งงอนเล็กน้อย กะพริบเข้าหากันเป็ครั้งคราว เกิดเป็รูปมุมหนึ่งที่โค้งอย่างสวยงาม สันจมูกสูงสง่า ริมฝีปาวขาวนุ่มเดี๋ยวเบะเดี๋ยวยิ้มน้อยๆ กำลังหยอกล้ออยู่กับแมว โดยรวมเป็ใบหน้าสมบูรณ์แบบ รวมกับสีหน้าท่าทางคล่องแคล่วมีชีวิตชีวาแล้ว ทำให้คนอดละสายตาไม่ได้
“ยู่เซิง”
เสียงใสปลุกหลัวจิ่งใตื่น พลันหลบตามองลงรีบปิดบังความเก้อเขินของตนเอง
’คิดอันใดกัน? เคลิบเคลิ้มเพียงนี้’ เจินจูได้แต่คิดไม่ได้ถามความในใจของเขาออกไป “ข้าไปให้อาหารกระต่ายก่อนสักครู่ เสี่ยวเฮยจำต้องวางไว้ที่นี่แล้ว” กล่าวจบ จึงเดินไปทางนอกประตู
หลัวจิ่งมองเงาร่างที่ไกลออกไป ั์ตาซ่อนลึกไม่แสดงออก
......ทิศตะวันตกเฉียงเหนือด่านชายแดน เมืองถงเยว่ ในลานบ้านเล็กๆ ที่เงียบสงัดหลังหนึ่ง เสียง “ปัง” น่าหวาดหวั่นดังสะท้อนขึ้นจากในห้อง
“คนยังหาไม่พบหรือ?” เสียงเยือกเย็นเต็มไปด้วยความระทมทุกข์และโมโห
“เรียนคุณชาย ยังหาไม่พบ สายข่าวเบื้องล่างส่งมา คนลากรถพาคุณชายรองตรงไปทิศใต้ ระหว่างทางเปลี่ยนถนนหลายเส้น รถม้าก็เปลี่ยนหลายครั้ง สืบหาขึ้นมากลับพบว่าแกะรอยยากขึ้นยิ่งนัก” คนรายงานกล่าวด้วยความระมัดระวัง
“… เพิ่มความเร็วสืบหา อย่ามองข้ามเบาะแสใดๆ” เสียงหนักหน่วงอดกลั้น
“ขอรับ!”
......ในกระท่อมกระต่ายกลิ่นไฟเผาถ่านรวมกับกลิ่นสาบของกระต่าย เกิดเป็กลิ่นไม่ดีนัก เจินจูย่นจมูกแล้วเติมหญ้าเข้าไปทีละอันๆ นึกขึ้นได้ว่าในมิติช่องว่างยังเหลือฟางข้าวโพดจำนวนมาก นางมองไปรอบๆ ไม่กี่ที แล้วดึงเอาลำข้าวโพดไม่กี่ก้านออกมาจากมิติช่องว่าง แบ่งเป็ท่อนเล็กๆ โยนเข้าในกรง แป๊บเดียว กระต่ายก็ทยอยะโโผเข้าหาฟางข้าวโพด
“อย่าแย่งกัน อย่าแย่งกัน ตัวละท่อน หากตีกันจะลงโทษกักบริเวณพวกเ้า ตัวไหนก็จะไม่ได้กินทั้งนั้น ทำตัวดีๆ หน่อย” เจินจูพร่ำกับตนเองอย่างต่อเนื่อง ใช้ฟางจิ้มกระต่ายที่แย่งอาหารกันเป็ระยะๆ ว่ากล่าวพวกมันหนึ่งที
เลี้ยงกระต่ายเสร็จ เจินจูก็เลี้ยวไปเดินเล่นที่เพิงหมู หมูขาวตัวใหญ่กำลังร้องเสียงดัง “อู๊ด อู๊ด” ในรางอาหารหมูว่างเปล่า “โห กินเกลี้ยงอีกแล้ว เ้ายังกินได้อีกจริงๆ” เจินจูปิดจมูกเดินเข้าไปในเพิง มองรอบๆ แวบหนึ่งอย่างระมัดระวัง หยิบเครือเถาฟักทองเก่าที่ยาวๆ ออกมาหนึ่งเส้น “นี่ เ้ากินไหม?”
หมูขาวตัวใหญ่พรวดเข้ามาอย่างรวดเร็ว เท้าหน้ายันอยู่บนราวที่กั้นคอกร้องออกมา “อู๊ด อู๊ด” เจินจูใถอยหลังไปสองสามก้าว รีบโยนเครือเถาวัลย์บนมือสลัดทิ้งออกไป หมูขาวตัวใหญ่กัดแล้วลากเข้าไป สามคำห้าคำ แม้แต่รากและใบก็ถูกกินจนหมด เจินจูที่ดูอยู่ตกตะลึง ไม่นานสักพักหนึ่ง หมูขาวตัวโตก็เข้ามาเบียดสีที่กั้นคอกอีกครั้งและส่งเสียงร้อง “อู๊ด อู๊ด”
“หมดแล้ว หมดแล้ว ร้องอีกก็ไม่มีประโยชน์” เจินจูโกยแนบวิ่งหนีออกไป
หมูขาวตัวใหญ่ข้างหลังร้องเสียงแหลมขึ้น
หลี่ซื่อได้ยินเสียงจึงยื่นกายจากห้องครัวออกมาดู มองสีท้องฟ้า ยังไม่ถึงเวลาให้อาหารหมู เหตุใดหมูนี่ร้องหนักเช่นนี้
หมูขาวตัวใหญ่ร้องเสียงดังต่อเนื่อง หลี่ซื่อขมวดคิ้ว วางงานที่อยู่ในมือลงด้านหนึ่ง เช่นนั้นเลี้ยงหมูให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เจินจูแอบแลบลิ้น หันหน้าไปทางคอกหมูทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตา เ้าหมูขาวตัวใหญ่นี่ละโมบมากนัก ครั้งหน้าจะไม่ให้มันอีกแล้ว
รุ่งสาง วันที่หนาวเย็นเงียบสงบและสบาย เจินจูเปิดเปลือกตาทั้งสองข้างขึ้น หลบอยู่ใต้ผ้าห่มครู่หนึ่ง แล้วจึงลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้าไปล้างหน้าแปรงฟัน
อากาศยังคงหนาว แต่หิมะไม่ได้ตกลงมาแล้ว เจินจูถือกระดาษฟางที่ซื้อใหม่มายืนอยู่นอกห้องส้วม มองเพิงที่ถูกลมเหนือพัดเสียจนเอียงเล็กน้อย นางกังวลจริงๆ ว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเพิงจะพัดพังลงมาที่ตัวนางหรือไม่
หากว่าซ่อมแซมที่พักอาศัยในฤดูใบไม้ผลิ จะต้องซ่อมห้องส้วมให้เสร็จก่อน จัดการห้องส้วมนั่งยองอย่างระมัดระวังราวกับออกรบก็ไม่ปาน เจินจูหนีบจมูกอย่างแรงแล้วเข้าไปในห้องส้วม จัดการด้วยความรวดเร็วฉับไว
เมื่อนางออกมาจากห้องส้วม เสียงผิงอันเรียกหานางสะท้อนออกมาจากหลังบ้าน
เสียงคล้ายกับมีความปีติยินดี เจินจูล้างมือให้สะอาด แล้วเดินเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบ
“ท่านพี่ ท่านมาดู” ผิงอันยื่นกายออกมาจากกระท่อมกระต่าย กวักมือมาทางนางอย่างลึกลับ
“เป็อะไร?” เจินจูยิ้มแล้วเดินไปทางเขา
“ท่านดูสิ” ผิงอันดึงนางไว้ ชี้ไปที่กรงหนึ่งแล้วกล่าวเสียงเบาอย่างเบิกบานใจ “กระต่ายตัวเมียตัวนี้ออกลูกหนึ่งคอก”
“จริงหรือ?” เจินจูกล่าว ก้มลงไปสำรวจอย่างละเอียด เห็นเพียงมุมหนึ่งจากในกรง กระต่ายอ่อนไม่กี่ตัวขยับขยุกขยิกใต้หนังท้องกระต่ายตัวเมียหนึ่งตัว สีแดงชมพูอ่อนๆ ท่าทางน่ารักอย่างยิ่ง “จริงด้วย ผิงอัน ทำได้ไม่เลวเลย เ้าดูแลกระต่ายได้ดีมากนัก นี่เป็การขยายพันธุ์กระต่ายคอกที่หนึ่งของพวกเรา ครั้งก่อนคอกนั้นไม่นับ นั่นเป็มันที่ท้องเอง ฮ่า ฮ่า”
“อื้ม ท่านพี่ คราก่อนที่ท่านให้ข้าทำ ข้าล้วนจำได้ กระต่ายตัวผู้สองตัวนั้นขังเดี่ยว รอปล่อยกระต่ายตัวเมียออกมาเดินเล่น จึงเอาพวกมันแยกย้ายกันไปอยู่กับกระต่ายตัวเมีย เช่นนี้ กระต่ายตัวเมียก็จะมีลูกกระต่ายแล้ว ถูกหรือไม่?” ผิงอันยังเด็ก ยังไม่เข้าใจว่าทำไมปล่อยกระต่ายตัวผู้กับตัวเมียอยู่ด้วยกันถึงมีลูกกระต่ายได้ แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ขัดขวางเขาในการปฏิบัติตามคำแนะนำของเจินจูอย่างเคร่งครัด
“ถูกแล้ว ผิงอัน ทำได้ดี จำไว้ ตอนเอากระต่ายตัวเมียออกมาเคลื่อนไหวให้ลูบท้องของมัน เมื่อเจอลูกกลมเล็กๆ ติดต่อกัน นั่นหมายความว่ากระต่ายตัวเมียก็มีลูกกระต่ายแล้ว เช่นนี้อย่าปล่อยรวมกับกระต่ายตัวผู้ ต้องเอาพวกมันแยกกันเคลื่นไหว” เจินจูกล่าวอีกครั้งอย่างไม่ยุ่งยากและลำบากอะไร ความจำผิงอันดีนัก เื่พื้นฐานที่เคยบอกล้วนสามารถทำสำเร็จด้วยความจริงจัง “รอถึงฤดูใบไม้ผลิ กระต่ายบ้านเราก็จะเพิ่มอีกหลายคอก”
“ทราบแล้ว ท่านพี่ ท่านเคยบอกแล้ว ข้าล้วนจำได้!” ผิงอันทำหน้ามุ่ย
“ นี่เริ่มรำคาญที่พี่สาวเ้าพูดมากแล้วหรือ ดูเ้าสิ ปากยื่นจวนจะห้อยขวดน้ำมันได้แล้ว” นางบีบใบหน้าเล็กของผิงอัน กล่าวด้วยความขบขัน “ไป ไปดูเสี่ยวเฮยหน่อย”
แมวดำตัวน้อยพักฟื้นผ่านไปหนึ่งคืน ไม่นึกเลยว่าจะมีชีวิตชีวาผิดปกติ แม้ขาหลังหนึ่งข้างยังคงขยับไม่ได้ แต่ถึงมีเพียงสามขา เสี่ยวเฮยก็เริ่มขยับเขยื้อนช้าๆ บ้างแล้ว
“ว้าว เสี่ยวเฮย เ้าเก่งเกินไปแล้วกระมัง เมื่อวานเพิ่งขาหัก วันนี้ก็เดินได้แล้ว” ผิงอันนั่งยองๆ ข้างเสี่ยวเฮย ลูบหัวมันเบาๆ
เสี่ยวเฮยนอนหมอบไปครึ่งหนึ่งด้วยใบหน้าเ็า หรี่ตารับความรู้สึกพึงพอใจที่ถูกคนลูบ หัวเล็กๆ ของมันยังหันคลอเคลียผิงอันบ่อยๆ บางครั้งยังอ้อนเสียงเบาๆ “เหมียว...เหมียว”
“ยู่เซิง เมื่อวานเสี่ยวเฮยกวนเ้าหรือไม่?” จำได้ว่าแมวเป็สัตว์กลางคืน เ้าเพื่อนตัวน้อยจะวิ่งเพ่นพ่านไปทั่วทุกที่และไม่นอนตอนกลางคืนหรือเปล่า
เชิงอรรถ
[1] เหมือนหยกที่หล่นแตกเหมือนบุปผาที่ร่วงโรย หมายถึง สาวงามที่สิ้นลมหายใจจากไป