จวินเหยียนมองดูภรรยารักที่เดินอยู่เบื้องหน้าพลางอุ้มลูกเร่งฝีเท้าไล่เดินตาม ขณะนั้นเพ่ยเอ๋อร์และหวนเอ๋อร์ที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็ได้แต่มองดูอย่างไม่เข้าใจ แท้จริงแล้วท่านอ๋องสามารถมอบจวิ้นจู่น้อยหวานหว่านให้พวกนางอุ้มแทนก็ได้ เพราะหากทำเช่นนั้นจะไม่ช่วยให้ไล่ตามพระชายาได้เร็วกว่าและสะดวกกว่าหรอกหรือ?
อีกประการ อวี่เสี้ยนจู่ที่พ่อบ้านพูดถึงนั้นเป็ผู้ใดกัน?
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่ตามมาเื้ั นางก็อดไม่ได้ให้ต้องหันกายกลับไปมอง แล้วจึงได้เห็นจวินเหยียนอุ้มลูกอยู่พลางวิ่งไล่ตามมา ด้วยเหตุนี้ นางจึงได้แต่ต้องรีบหยุดฝีเท้าแล้วกล่าวเสียงขรึม “จวินเหยียน ท่านจะอุ้มหวานหว่านไว้ แล้วออกวิ่งเช่นนี้ได้อย่างไร หากท่านทำนางตื่นขึ้นมา แล้วเราจะทำเช่นไร”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็รีบผ่อนฝีเท้าลง จากนั้นก็พูดขึ้น “เ้าเดินเร็วเพียงนี้ หากข้าตามไม่ทัน เ้าก็ได้หนีหายไปจากข้าน่ะสิ”
อวิ๋นซีขมวดคิ้ว จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “เดิมทีข้าก็คิดอยากจะวิ่งหนีไปจริงๆ อย่างท่านว่า ทว่าที่นี่คือจวนอ๋อง หากข้าคิดจะหนี จะให้ข้าหนีไปไหนได้” คนผู้นี้ป่วยหรือ ยามนี้นางกำลังเดินมุ่งหน้าเข้าจวนอ๋องแท้ๆ แล้วจะยังเป็กังวลว่านางจะหนีหายไปไหนได้อีก
จวินเหยียนส่งหวานหว่านให้เพ่ยเอ๋อร์อุ้มแทน จากนั้นก็ให้คนพากลับไปพักผ่อนที่ห้อง ก่อนจะรุดขึ้นหน้าไปอยู่ข้างกายอวิ๋นซีพร้อมยิ้มแย้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว ครั้งหน้าหากอุ้มลูกอยู่ ข้าจะระวังให้มากกว่านี้”
อวิ๋นซีมองเขาไปทีหนึ่ง แค่นเสียงเ็า “ช่างเถิด ท่านไม่จำเป็ต้องมาขอโทษข้าหรอก ยามนี้รีบไปหาเหมยเขียวน้อยของท่านก่อนเถอะ” ตอนเด็กๆ หยวนอวี่จะต้องรู้จักจวินเหยียนแน่ๆ ด้วยเหตุนี้ คนถึงได้ไม่สนความยากลำบากและถ่อเดินทางมาหาเขาถึงที่นี่
นางรีบเดินเข้าไปยังเรือนชั้นสอง โดยไม่สนใจจวินเหยียนที่ติดตามอยู่เื้ัแม้แต่น้อย ในตอนนั้นหวนเอ๋อร์เองก็ตามติดอยู่ด้านหลังเช่นกัน เมื่อได้เห็นว่าท่านอ๋องยังคงไล่ตามเข้ามาใกล้ จึงได้รีบแจ้งนายตน “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องเสด็จตามพระองค์มาด้วยเพคะ”
เมื่อได้ยินพระชายากล่าวว่า ‘เหมยเขียวน้อยของท่านอ๋อง’ หวนเอ๋อร์ก็พอจะเดาได้แล้วว่า อวี่เสี้ยนจู่ผู้นั้นคือใคร อีกฝ่ายยอมเดินทางจากเมืองหลวงมาจนถึงหานโจว แสดงว่าคนจะต้องมีรักลึกซึ้งต่อนายท่านเป็แน่ ทว่าในจวนอ๋องของพวกนางมีพระชายาอยู่แล้วนี่ อีกทั้ง พวกนางพี่น้องล้วนชื่นชอบพระชายาท่านนี้มาก ดังนั้น หวนเอ๋อร์จึงรู้สึกไม่ยินยอมหากอวี่เสี้ยนจู่จะขึ้นมาแทนที่เ้านายตน เพราะคิดว่าการมาถึงในครั้งนี้ อีกฝ่ายย่อมต้องหวังจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องและพระชายาเป็แน่
“อยากจะตามมานักก็ให้ตามมา” อวิ๋นซีพูดเสียงเรียบ ถึงกระนั้นในใจนางกลับไม่ชอบใจตนเองในตอนนี้สักเท่าไรนัก เพราะจู่ๆ ตนก็โกรธาอย่างไม่มีที่มาที่ไปเสียอย่างนั้น อีกทั้ง เหมยเขียวของอีกฝ่ายก็หาได้ข้องเกี่ยวอะไรกับตน อวิ๋นซี เ้านี่ชอบยุ่งเื่คนอื่นเสียจริง
จวินเหยียนเร่งฝีเท้าขึ้นไปอยู่เบื้องหน้านางพร้อมสวมกอดนางไว้ในอ้อมแขนตน จากนั้นก็พูดขึ้น “พระชายา เ้าเป็นายหญิงแห่งจวนอ๋องนี้ ในเมื่อมีแขกมาเยือนเช่นนี้ก็สมควรเป็ชายาออกไปให้การต้อนรับถึงจะถูกมิใช่หรือ หากจะให้เปิ่นหวางออกไปคงมิสมควรกระมัง”
เหมยเขียวน้อยหรือ? ใครจะเป็เหมยเขียวน้อยกับหยวนอวี่กัน ตัวเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายนั้นหน้ากลมหรือว่าหน้าเหลี่ยม ต่อให้ตอนเด็กๆ จะเคยเจอกันอยู่ครั้งสองครั้ง แต่นั่นก็เป็เพียงเื่ราวในตอนเด็กเท่านั้น ยามนั้นหยวนอวี่ยังเป็แค่เด็กน้อย ยามนี้ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว หากมิใช่เพราะมีคนกล่าวถึง เขาคงลืมหยวนอวี่ผู้นี้ไปเสียสนิทแล้ว
ถึงกระนั้นเมื่อได้เห็นท่าทีเช่นนี้ของอวิ๋นซี เขาก็ดีใจยิ่ง แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ในใจของนางนั้นห่วงตนเพียงไร เพราะท่าทีเหล่านี้ที่แสดงออกมานั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็คือการกินน้ำส้มสายชู [1] ชัดๆ
อวิ๋นซีมองชายตรงหน้า ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ท่านอ๋องไม่กังวลหรือว่า หม่อมฉันอาจจะทำการใดที่ละเลยเหมยเขียวน้อยของท่านไป? ”
“อวิ๋นซี เปิ่นหวางจะพูดให้เ้าฟังอีกรอบ นางหาใช่เหมยเขียวน้อยของเปิ่นหวาง อีกประการ หากเ้าอยากจะจัดการกับนางเช่นไรก็ทำตามแต่ที่ใจปรารถนาเถิด ขอเพียงอย่าให้ผู้อื่นถึงตายก็เป็พอ” เขาหยิกแก้มนางโดยแรง จากนั้นจึงกล่าวเสริม “ยิ่งกว่านั้น ยามนี้เ้ากลับไปชำระกายและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเถิด หากไปเจอสตรีนางนั้นด้วยสภาพเช่นนี้ ระวังจะถูกผู้อื่นข่มเอา”
“หยวนอวี่นั้นชอบแสร้งทำตัวเป็ดอกบัวขาว [2] การจะต่อกรกับคนเช่นนั้น ข้ารับรองได้ว่าจะไม่มีออมมือให้แม้แต่น้อย” เมื่อพูดจบนางก็ผลักเขาออก แล้วจึงเดินมุ่งหน้าต่อไปยังเรือนชั้นใน
เมื่ออวิ๋นซีกลับไปชำระกายแล้ว นางก็เปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงยาวละพื้นสีม่วงอ่อน ทำผมยกสูงทรงดอกบัวบนศีรษะพร้อมประดับด้วยปิ่นหยกมันแพะที่ระย้าเป็ลายดอกหลันฮวา เดิมทีอาภรณ์ที่สวมใส่ก็ดูหรูหราอยู่แล้ว แต่เมื่อประสมรวมกับเครื่องประดับผมที่เรียบง่ายกลับชวนให้ไม่น่ามองนัก อย่างไรเสียอาภรณ์ที่หรูหราซับซ้อนก็ควรคู่กับเครื่องประดับที่หรูหราซับซ้อนเช่นกัน
ทว่า การแต่งกายเรียบง่ายเช่นนี้ของอวิ๋นซีกลับทำให้นางราวกับเป็ดอกหลันฮวาสีม่วงอ่อนแสนลึกลับที่เติบโตอยู่กลางหุบเขาลึก ทั้งร่างดูสง่างามสูงศักดิ์เสียจนฉุนเอ๋อร์ที่ช่วยนางแต่งตัวยังอดอุทานออกมาไม่ได้ “แต่งองค์เช่นนี้ พระชายาทรงงดงามยิ่งนักเพคะ” เมื่อพูดจบสาวใช้ก็หน้าแดงขึ้นมาน้อยๆ เดิมทีนางยังคิดจะแต่งเติมเครื่องประดับหรูหรามีราคาให้พระชายาอีกหน่อย แต่เมื่อคิดได้ว่า การแต่งกายเช่นนี้ของพระชายา หากยังประดับเครื่องประดับที่หรูหราเข้าไปเพิ่มอีก บางทีอาจจะทำให้ดูมีอายุ และอาจเป็การกลบปิดความสง่างามของพระชายาที่มีแต่ดั้งเดิม
อวิ๋นซีสำรวจการแต่งกายในตอนนี้ของตน จากนั้นยิ้มและพูดว่า “ไปเถอะ เราไม่อาจปล่อยให้แขกสูงศักดิ์จากเมืองหลวงผู้นั้นต้องรอคอยนานไปกว่านี้ได้อีกแล้ว” ตอนที่พูดคำว่า ‘แขกสูงศักดิ์’ นั้น อวิ๋นซีกัดฟันพูด
หยวนอวี่กับนางนับเป็ศัตรูชาติก่อนที่มาพบพานกันอีกในชาตินี้จริงๆ
เซียงเอ๋อร์พูดเสียงเบา “เมื่อครู่พ่อบ้านได้ส่งคนให้มาแจ้งต่อพระชายาว่า นับแต่ที่อวี่เสี้ยนจู่ท่านนั้นเข้ามายังจวนอ๋อง นางก็รั้งรออยู่ที่ห้องรับรองมาโดยตลอด เดิมทีพ่อบ้านคิดจะให้นางพำนักอยู่ในเรือนชั้นสอง ทว่านางกลับไม่ยินดีที่จะไป ทั้งยังบอกอีกด้วยว่าจะรอให้ท่านอ๋องกลับมาก่อน และในตอนหลังเมื่อได้ทราบว่าท่านอ๋องกลับมาแล้ว นางก็รีบนำคนไล่ตามไป ทว่ายามนั้นท่านอ๋องและพระชายากลับเสด็จเข้ามาถึงเรือนชั้นสามเสียก่อน”
หวนเอ๋อร์ที่ปากไวอยู่เสมอหลุดพูดออกมา “เหตุใดนางจึงไม่ยอมอยู่ในเมืองหลวงให้ดีๆ แต่กลับวิ่งโร่มายังหานโจวของเราเพื่อทำอันใด” คิดอยากจะมาแย่งท่านอ๋องไปจากพระชายา? ช่างหน้าไม่อายเสียจริงๆ คนเป็สตรีที่ยังไม่ออกเรือน แต่กลับยอมลำบากลำบนดั้นด้นมาไกลถึงหานโจว นี่นางไม่คิดจะรักษาหน้าตนเลยหรืออย่างไร?
หากเป็ผู้อื่นได้เห็นหยวนอวี่เป็เช่นนี้คงมิแคล้วให้ต้องซาบซึ้งในความรักแน่วแน่ของนางเป็แน่ แต่น่าเสียดายที่พวกหวนเอ๋อร์หาใช่สาวใช้ธรรมดา พวกนางล้วนเคยผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวดมาจากเหล่าองครักษ์ของจวินเหยียนแล้ว ดังนั้น ความคิดของพวกนางย่อมไม่เหมือนคนทั่วไป ทั้งยังเป็พวกชอบถือหางอีกด้วย
สำหรับพวกนางแล้ว ท่านอ๋องเคยตรัสไว้ว่า ต่อไปพระชายาจะถือเป็นายของพวกนาง เช่นนั้นพระชายาย่อมต้องเป็คนสำคัญที่พวกนางจะต้องปกป้อง และคอยถือหางอยู่เสมอ ส่วนอวี่เสี้ยนจู่อะไรนั่นก็มีค่าไม่ต่างจากศัตรูที่พวกนางพี่น้องต้องสู้รบตบมือด้วยเท่านั้น
อวิ๋นซีพาบรรดาสาวใช้เดินออกนอกประตูไป ขณะที่เพ่ยเอ๋อร์กลับรับคำของหวนเอ๋อร์มาพูดต่อ “จะมาทำอันใดได้อีกเล่า? นี่เป็ความคิดของซือหม่าเจา [3] ชัดๆ ”
สตรีผู้หนึ่งที่ยังไม่ออกเรือน หากคิดอยากจะพักผ่อนจริงๆ ละก็ คนคงต้องไปที่เจียงหนานแล้ว เพราะที่นั่นอากาศดีเหมาะแก่การพักผ่อนเป็ที่สุด ทว่านี่นับเป็ครั้งแรกที่นางเพิ่งได้ยินคนบอกว่า อยากจะมาพักผ่อนยังหานโจวแห่งนี้ที่มักเกิดพายุทรายอยู่บ่อยๆ
อวิ๋นซีกวาดตามองพวกนาง “หากอยากจะรู้ ไปดูก็รู้แล้วมิใช่หรือ”
นี่เป็ครั้งแรกหลังเกิดใหม่ที่จะได้ไปเจอคนที่เคยรู้จักเมื่อชาติก่อน ในใจของอวิ๋นซีเต้นระรัวบ้าคลั่งอย่างประหลาด ถึงขนาดที่ดวงใจที่แทบจะตายไปแล้วดวงนั้นราวกับได้รับชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนที่อวิ๋นซีเดินไปถึงเรือนรับรองด้านหน้าก็บังเอิญได้ยินเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในห้องโถงรับรองใหญ่พอดี “พ่อบ้าน ท่านอ๋องอยู่ที่ใดกันแน่? เหตุใดจนถึงบัดนี้แล้วจึงยังไม่เสด็จมาหาเสี้ยนจู่ของเราอีก”
พวกนางมาถึงสถานที่แห่งนี้เกินครึ่งค่อนวันแล้ว ทว่าท่านอ๋องกลับยังไม่รีบมาพบคุณหนูของพวกนางอีก ท่านผู้นั้นกระทำเกินไปแล้วจริงๆ
พ่อบ้านมองไปยังอวี่เสี้ยนจู่ที่สวมชุดขาว แต่งหน้าบางเบา แต่กลับงดงามเลิศล้ำราวกับบุปผา แล้วจึงพูดขึ้น “เสี้ยนจู่ ระหว่างทางมานี้จวิ้นจู่น้อยได้หลับไปแล้ว ท่านอ๋องจึงได้พาจวิ้นจู่น้อยและพระชายากลับไปยังเรือนพักด้วยองค์เอง หากจะเป็การชักช้าเกินไป ขอเสี้ยนจู่โปรดเข้าใจด้วย”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] กินน้ำส้มสายชู(吃醋)หมายถึง การหึงหวง
[2] ดอกบัวขาว(白莲花)เปรียบเทียบถึงคนที่ภายนอกเสแสร้งทำเป็บริสุทธิ์สูงส่ง แต่จริงๆ แล้วภายในไม่ได้เป็เช่นนั้น
[3] ความคิดของซือหม่าเจา(司马昭之心)หมายถึง ความคิดที่คนบางคนพยายามปิดซ่อนไว้ ทว่าสิ่งนั้นกลับเป็ที่รู้กันไปทั่วเหมือนไม่ได้ซ่อนไว้