วันรุ่งขึ้น โหยวเสี่ยวโม่ไปยังห้องนกเมฆา
ห้องนกเมฆาเป็สถานที่ที่นักหลอมโอสถระดับสูงทั้งสามของทัพพิภพใช้บรรยาย โดยเปิดครั้งละเดือน
ในเดือนนี้เป็คาบสอนของขงเหวิน เมื่อวานตอนแยกกัน ศิษย์พี่ใหญ่เล่าเื่นี้กับเขาว่าถึงแม้จะมีธุระหรือไม่มีก็ต้องไปให้ได้
เมื่อวานขงเหวินได้รับเขาเป็ศิษย์ ทว่าเื่นี้คนที่รู้ยังมีไม่มาก ฉะนั้นขงเหวินเลยใช้โอกาสนี้ประกาศแนะนำตัวโหยวเสี่ยวโม่ให้ศิษย์ทัพพิภพรู้โดยทั่วกัน เพราะการบรรยายของนักหลอมยาระดับสูงที่ผ่านมาที่นั่งเต็มตลอด คนที่มารวมตัวกันก็เยอะกว่าปกติหลายเท่านัก
โหยวเสี่ยวโม่รีบออกเพื่อไปให้ทันเวลา
เนื่องจากนี่คือครั้งแรกที่เขาไปห้องนกเมฆา ปกติแล้วก็ไม่ค่อยได้ไปฟังเื่ราวสัพเพเหระเหมือนศิษย์คนอื่นๆ ฉะนั้นก็เลยไม่เคยรู้มาก่อนว่าทัพพิภพนั้นมีห้องนกเมฆาอยู่ด้วย
พอไปถึงห้องนกเมฆาปรากฏว่าเต็มแน่นไปด้วยผู้คน เห็นแต่ศีรษะขยับไปมา เพราะยังไม่ถึงเวลาทุกคนต่างคุยจ้อแจ้กันตามประสาราวกับอยู่ในตลาดสดก็ไม่ปาน
โหยวเสี่ยวโม่ยืนอยู่ตรงทางเข้าเหลียวซ้ายแลขวา หาศิษย์พี่ใหญ่ ก็เห็นคนที่อยู่แถวหน้าสุดด้านในโบกมือมาทางเขา
“ศิษย์น้อง มาทางนี้!”
คนที่กำลังโบกมือให้เขาคือฟางเฉินเล่อนั่นเอง เขารอศิษย์น้องเล็กคนนี้ั้แ่เช้าแล้ว เมื่อเหลียวมามองก็เห็นศิษย์น้องเล็กยืนประหม่าหน้าเป็กังวลอยู่ ก็รู้สึกสนุกสนาน รู้ว่าเขามาครั้งแรก ทำตัวไม่ถูก จึงเอ่ยปากเรียกเขา
ทว่าเสียงเรียกของฟางเฉินเล่อ กลับทำให้ทั้งห้องนกเมฆาเงียบกริบ
สายคาดผมสีดำเรียงเป็แถบหันมาพร้อมเพรียงกัน พลันเห็นโหยวเสี่ยวโม่ที่ยืนอยู่ตรงทางเข้า น้อยคนไม่รู้จักเขา บางคนถึงขั้นเอ่ยโพล่งออกมา
“เอ๊ะ คนที่ไปกินข้าวกับหลินเซียวจากแขนงการต่อสู้นี่นา ทำไมถึงดูสนิทสนมกับศิษย์พี่ฟางเช่นนี้ล่ะ?”
โหยวเสี่ยวโม่ถูกสายตาหลายคู่จดจ้องจนทำอะไรไม่ถูก รีบเดินขวักไขว่ตรงไปทางฟางเฉินเล่อ
เสียงคุยแซ่ซ้องกลับดังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าเสียงดังกว่าเดิม เนื่องจากศิษย์พี่ฟางสั่งห้ามศิษย์น้องคนอื่นปล่อยข่าวลือเื่ที่โหยวเสี่ยวโม่ถูกรับเลือกเป็ศิษย์ตรงของขงเหวินแล้ว ฉะนั้นทุกคนจึงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่งั้นคงใยิ่งกว่านี้แน่
ฟางเฉินเล่อเดาได้ว่าเขาคงหาที่นั่งไม่ได้ จึงจองให้เขาไว้ที่นึงั้แ่แรก
โหยวเสี่ยวโม่เดินไปเห็นที่นั่งข้างฟางเฉินเล่อว่างอยู่ที่หนึ่ง ศิษย์พี่ที่เหลือก็นั่งตรงที่นั่งถัดไปในแถวเดียวกัน
กล่าวขอบคุณกับศิษย์พี่ใหญ่ และทักทายศิษย์พี่ทั้งหลาย จากนั้นโหยวเสี่ยวโม่จึงนั่งลงอย่างหน้ามุ่ย
เขาพบว่า ยิ่งเขาพยายามจะทำตัวปกติ แต่คนที่เขารู้จักกลับทำให้เขาต้องตกเป็เป้าสายตาอยู่ตลอด ไม่รู้ว่ามันดีหรือร้ายกันแน่นะ
สิบห้านาทีผ่านไป ขงเหวินก็ปรากฏตัว ยังคงมาในชุดสีเขียวเรียบง่าย บนหัวมีปิ่นหยกสีขาวปักอยู่ ไม่ได้ดูโดดเด่นอะไร ทว่ากลับมีความสง่าราศีแผ่ออกมาจากตัวเขา คนทั่วไปเห็นไม่ก้มหัวให้ก็คงไม่ได้ เมื่อเขามาถึง ทั้งห้องก็เงียบลงจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มหล่นลงบนพื้น
วันนี้ เขาไม่ได้เปิดเข้าหัวข้อเื่ที่จะบรรยายทันที หากแต่เป็การแนะนำใครคนหนึ่ง
เขาคือคนที่ทุกคนพึ่งจะเพ่งเล็งสายตามอง โหยวเสี่ยวโม่ นั่นเอง เมื่อได้ยินว่าเขากลายเป็ศิษย์คนที่เจ็ดของขงเหวิน เหล่าศิษย์ที่นั่งเรียงรายอยู่ก็อุทาน ‘ว้าว’ เสียงดังสนั่น
“ขงเหวินรับศิษย์งั้นหรือ เป็ไปได้ยังไงกัน?”
“เ้าโหยวเสี่ยวโม่นี่ช่างบุญหล่นทับอะไรเช่นนี้ ไม่กี่วันก่อนเพิ่งมีข่าวลือกับหลินเซียวแขนงการต่อสู้ ผ่านมาไม่กี่วันก็ถูกรับเป็ศิษย์ของอาจารย์ขงเหวิน นี่มันสุดยอดเกินไปแล้ว”
“เขามีที่มายังไงกัน ทำไมถึงไปมีเอี่ยวกับคนมีชื่อเสียงในสำนักเทียนซินได้?”
“ข้าได้ยินมาว่าคุณสมบัติก็งั้นๆ นี่ ทำไมอาจารย์ขงถึงรับเขาเป็ศิษย์นะ?”
“หรือว่า นี่แหละที่เขาว่ากัน ความสัมพันธ์สายคาดเอว”
……
คนไม่น้อยที่ตั้งข้อสงสัยเื่นี้ ไม่กี่วันก่อนเขากับหลินเซียวพึ่งมีข่าว ก็มีคนแอบตรวจสอบเขา
ปรากฏว่าคุณสมบัติก็ธรรมดา ก่อนหน้านี้ที่พิธีคำนับอาจารย์ เขาไม่ได้ถูกทัพ์หรือทัพวิหคคัดเลือก ต่อมาอาจารย์ขงเหวินก็คัดเลือกมา แต่ไม่ได้รับเขาขึ้นตรงเป็ศิษย์ทันที ถ้าคุณสมบัติเขาดีจริง ทำไมขงเหวินต้องรับเป็ศิษย์ั้แ่ตอนนั้น
แต่เขาก็ไม่ได้รับ เมื่อได้ฟังข่าวนี้ ส่วนใหญ่ล้วนนึกไปถึงความสัมพันธ์ของเขากับหลินเซียว
แขนงโอสถเป็ส่วนที่ขาดไม่ได้ในสำนักเทียนซิน แขนงการต่อสู้ก็เช่นกัน สำนักเทียนซินเป็หนึ่งในดินแดนหลงเสียง ต้องพึ่งแขนงการต่อสู้ ถ้าจะเปรียบเทียบตำแหน่งก็คงเป็ทัพแนวหลัง
หลินเซียวเป็ศิษย์อันดับหนึ่งการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ อนาคตก็มีแววว่าจะได้สืบทอดตำแหน่งท่านเ้าสำนัก ถ้าเขาช่วยโหยวเสี่ยวโม่ออกหน้าพูดไม่กี่คำ อาจารย์ขงเหวินก็คงต้องให้เกียรติเขาบ้าง
“เงียบ!” ขงเหวินพูดเสียงเรียบ ทันใดทุกคนก็ปิดปาก
ในห้องนกเมฆาได้ยินแต่เสียงหายใจดังฮึดฮัด ชัดเจนว่าพูดได้ตรงจุด หรือจะพูดว่าเื่ที่โหยวเสี่ยวโม่ได้เป็ศิษย์ขงเหวินทำให้หลายคนไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม การตกอยู่ท่ามกลางสายตาอิจฉาชื่นชมโกรธเคืองต่างๆ นานานั้น โหยวเสี่ยวโม่ก็ใช่ว่าจะพึ่งเคยเผชิญเป็ครั้งแรกเสียเมื่อไร
โหยวเสี่ยวโม่ทำได้เพียงอย่างเดียวตอนนี้คือหดหัวมิดชิด
ฟางเฉินเล่อที่อยู่ข้างกันเมื่อเห็นท่าทีเหมือนเต่าของเขาก็รู้สึกขำ ศิษย์น้องคนนี้ทำให้เขารู้สึก ‘ประหลาดใจ’ ได้ทุกเมื่อ
ตอนแรกนึกว่าขงเหวินจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นนี้ แต่กลับไม่ใช่ เขาทำราวกับไม่ได้ยินอะไร และเริ่มเข้าสู่หัวข้อการสอนวันนี้
วันนี้เื่ที่เขาจะพูดประเด็นหลักเกี่ยวกับคติทางใจในการหลอมยา เพราะเขาเป็นักหลอมโอสถระดับสูง ฉะนั้นประสบการณ์นั้นล้ำค่ายิ่งนัก ถ้าพลาดโอกาสก็ไม่มีทางได้ฟังอีกรอบที่สองแน่ เพราะเนื้อหาเดิมเขาจะพูดแค่รอบเดียว
จากตอนแรกที่กำลังอึดอัดอย่างโหยวเสี่ยวโม่ สักพักก็ถูกเนื้อหาดึงดูดความสนใจเข้าให้
ถึงแม้ขงเหวินจะเน้นพูดคติทางใจการหลอมยาเซียนตันระดับกลาง เขาในตอนนี้ยังไม่อาจเข้าถึง แต่พอฟังแล้วก็สามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้บ้าง
การสนทนาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม สีหน้าโหยวเสี่ยวโม่เท่าไรก็ไม่พอ
จนถึงตอนที่ขงเหวินกล่าวจบการสอน โหยวเสี่ยวโม่ยังคงใจลอย ดีว่าได้ฟางเฉินเล่อเรียกสติกลับมา
“ศิษย์น้องเล็ก เ้าคิดจะนั่งต่อไปอีกนานแค่ไหน?”
“เอ๊ะ?” โหยวเสี่ยวโม่ดึงสติกลับมา ก็เห็นศิษย์พี่ใหญ่ยืนหน้ามาแอบจ้องเขา ถึงพบว่าคนทั้งห้องนกเมฆาออกไปหมดแล้ว เหลือพวกเขาแค่สองคน ทันใดก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา
ฟางเฉินเล่อไม่ได้ล้อเขาต่อ เพียงแต่ถามอย่างเอ็นดูว่าเนื้อหาที่อาจารย์พูดวันนี้ฟังเข้าใจหรือไม่ ถ้าไม่เข้าใจ ให้ถามเขาได้ทุกเมื่อ
โหยวเสี่ยวโม่กล่าวขอบคุณเขา หลังออกจากห้องนกเมฆาก็แยกกัน แต่พอกลับถึงห้อง ก็พบใครบางคนที่เขาไม่รู้จักยืนอยู่หน้าห้องราวกับกำลังรอเขาด้วยท่าทีเ็าที่ไม่ได้เป็โดยกำเนิด แต่สาเหตุมาจากเขาเอง พอเห็นเขา ไม่พูดอะไรให้มากความแค่เอ่ยถาม
“เ้าคือโหยวเสี่ยวโม่?”