โหยวเสี่ยวโม่ไม่รู้จักเขา ได้แต่พยักหน้ารับ
เขาคนนั้นก็พูดเข้าประเด็น “หลินเซียวฝากข้ามาบอกว่า ่นี้เขาไปทำธุระ กลับมาแล้วจะมาหาเ้า ไม่ต้องเป็ห่วง”
โหยวเสี่ยวโม่หน้าแดงด้วยความเกรงใจ ประโยคก่อนหน้าพอเข้าใจได้ แต่ไอ้ประโยคหลังนั้นมันหมายความว่าอะไร ให้เขาไม่ต้องเป็ห่วงหรือ เขาเป็ห่วงหลิงเซียวั้แ่เมื่อไรช่างปั้นเื่เก่งจริง ไม่ทันรอเขาตอบ ชายผู้นั้นก็เอ่ยต่อ
“นอกจากนี้ เขายังบอกให้เ้าเตรียมจำนวนของ่นี้ให้ครบ ถึงเวลาเขาจะรับเอาทีเดียว ให้เ้าอย่าอู้งาน”
นี่สิ ใจความสำคัญจริงๆ โหยวเสี่ยวโม่อดไม่ได้ที่จะกลอกตาบน
ไม่ต้องให้ย้ำเตือนเขาก็รู้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่เคยอู้สักหน่อย บวกกับตอนนี้ได้เป็ศิษย์ขงเหวินแล้ว ถ้าหากทำให้อาจารย์ขายหน้า เขาคงรู้สึกแย่
“ข้ารู้แล้ว ขอบคุณที่เ้าอุตส่าห์มาที่นี่” ถึงแม้จะบ่นอยู่ในใจ แต่โหยวเสี่ยวโม่ก็ยังกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท
ชายผู้นั้นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลานั้นนิ่งราวกับน้ำแข็ง ตอบกลับมาอย่างไร้อารมณ์ “ไม่ต้องขอบคุณข้า ข้าแค่มาตามคำสั่งศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ได้ตั้งใจมาหาเ้า อีกอย่างข้าไม่รู้ว่าเ้ามีข้อตกลงอะไรกับศิษย์พี่ใหญ่ แต่ข้าหวังว่าเ้าอยู่ให้ห่างจากศิษย์พี่ใหญ่ อยู่ใกล้เขาไม่มีอะไรดีกับตัวเ้าหรอก”
ราวกับได้ยินความในใจ โหยวเสี่ยวโม่แทบพุ่งตัวไปจับมือเขาไว้
เ้าหลิงเซียวจอมร้ายกาจ ไปยุ่งกับเขาไม่มีอะไรดีเลย ถูกต้อนไปต้อนมาแถมไม่มีอิสระ
ทว่าเขาไม่อาจบอกเื่นี้กับชายผู้นี้ได้ว่า หลิงเซียวคนนี้ไม่ใช่คนเดิมที่เขารู้จักแล้ว เขาก็แค่ตัวปลอม ฉะนั้นคนที่อยู่กับเขาแล้วไม่มีอะไรดีก็หมายรวมถึงตัวพวกเขาเองด้วย แต่นี่ก็เป็คนแรกที่บอกกับเขาด้วยความหวังดีว่าให้อยู่ห่างจากหลิงเซียวเข้าไว้ แถมสายตาที่มองมาก็ไม่ได้แฝงความคิดแง่ลบอะไรด้วย
โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกได้ เขาแค่เตือนเขาด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ได้ดูถูกดูแคลนเหมือนคนอื่น เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ส่งยิ้มกว้างกลับไปให้เขา พร้อมเอ่ยอย่างจริงใจ “ขอบคุณสำหรับคำเตือนของเ้า!”
ชายผู้นั้นคิดไม่ถึงว่าจะได้รับคำขอบคุณจากจริงใจ ทำเอาถึงกับตะลึงไปชั่วครู่
คนทั่วไปถ้าได้ยินเช่นนี้ ควรจะโกรธไม่ใช่หรือ? ทว่าเขาไม่ได้ถามออกไป เพียงแต่จ้องมองเขาและเดินจากไป
คนนี้ไม่เหมือนกับคนอื่นที่เคยเข้าใกล้เขาหรือศิษย์พี่ใหญ่
พอปิดประตู โหยวเสี่ยวโม่ดีใจะโโลดเต้น พอคิดว่าไม่ต้องเจอหน้าหลิงเซียวอีกหลายวันก็อารมณ์ดีเป็พิเศษ แรงกระตุ้นในการทำงานพลุ่งพล่านขึ้นมา บวกกับตอนแรกที่ฟังการบรรยายของขงเหวินไปหนึ่งชั่วยามก็ทำให้เขากระตือรือร้นเต็มที่อยู่แล้ว
พร้อมกับเอาเตาหลอมแล้วก็หญ้าเซียนที่เหลือจากวันนั้นออกมา โหยวเสี่ยวโม่ก็เริ่มหลอมยาด้วยความกระตือรือร้น
เพราะไม่รู้ว่าหลิงเซียวจะไปกี่วัน ฉะนั้นโหยวเสี่ยวโม่จึงหลอมเพิ่มในส่วนของสองวัน เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขามาบ่นถ้ายังหลอมไม่ครบตามจำนวน
คงเพราะสภาวะทางจิตใจต่างกัน หรือเพราะสองวันมานี้มีแต่เื่น่ายินดีเกิดขึ้นติดต่อกัน ความเร็วของโหยวเสี่ยวโม่จึงเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อวาน จากตอนแรกสามารถหลอมโอสถขั้นหนึ่งคุณภาพดีได้สิบเม็ดในหนึ่งชั่วยาม ตอนนี้เขากลับหลอมได้ตั้งสิบห้าเม็ด โหยวเสี่ยวโม่ยังพบว่าพลังปราณของเขานั้นเพิ่มขึ้นจากวันก่อน แม้จะไม่ชัดเจนมากนัก แต่ก็รู้สึกได้อยู่
นี่สินะความแตกต่างของการมีวิชายุทธ์กับไม่มี
ก่อนนี้เขาหลอมยาไม่หยุด ทุกวันต้องหลอมอย่างต่ำหนึ่งร้อยเม็ดต่อวัน แต่พลังปราณของเขาไม่ได้เพิ่มเติมขึ้นมาเลย หรืออาจจะเพิ่มจนแทบสังเกตไม่ออก แต่มาตอนนี้แม้ฝึกวิชายุทธ์ไปเพียงแค่วันเดียว พลังปราณก็กลับเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ถึงว่าสำนักเทียนซินมีวิชายุทธ์ไว้ในแต่กลับเก็บซ่อนอย่างมิดชิดเข้มงวด ที่แท้ก็เพราะประโยชน์มหาศาลของวิชายุทธ์นี่เอง
ทว่าโหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้รู้เลยว่า หาก คัมภีร์ิญญา์ นั้นเป็เพียงวิชายุทธ์ทั่วไป การพัฒนานั้นไม่สามารถชัดเจนถึงเพียงนี้
ยกตัวอย่าง วิชายุทธ์เล่มนั้นของสำนักเทียนซิน เห็นทางสำนักเก็บซ่อนไว้รัดกุมมาก แต่หารู้ไม่ว่าวิชายุทธ์เป็เพียงแค่คัมภีร์ระดับกลางเท่านั้น เทียบกับคัมภีร์ิญญา์แล้ว ช่างต่างกันคนละระดับ ถ้าโหยวเสี่ยวโม่ได้เปรียบเทียบเสียหน่อยจะจับสังเกตว่าการพัฒนาของเขานั้นช่างมีค่าอย่างยิ่ง
เพราะเหตุนี้แม้ฝึกเพียงวันเดียวก็พัฒนาได้อย่างชัดเจนเพียงนี้ ในความเป็จริงการฝึกวิชายุทธ์ทุกเล่มในขั้นต้นนั้นง่ายดาย แต่จะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนท้าย ฉะนั้นการพัฒนาของโหยวเสี่ยวโม่จากนี้จะไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก
เนื่องจากพลังปราณที่เพิ่มพูน ความเร็วก็ไวขึ้น ฉะนั้นโหยวเสี่ยวโม่ก็จัดการหลอมหญ้าเซียนที่เหลือจนหมดอย่างไว ล้วนเป็ยาที่หลอมให้หลิงเซียว จากนั้นจึงไปรับหญ้าเซียนที่เรือนหญ้าเซียนเพิ่มอีกหนึ่งพันสองร้อยต้น
ในตอนนี้ ข่าวที่เขาถูกรับเข้าเป็ศิษย์ของขงเหวินนั้นกระจายไปทั่วทัพพิภพ รวมไปถึงทั่วทั้งแขนงโอสถเลยก็ว่าได้
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เขารู้สึกว่าอาจารย์จ้าวเจินมองเขาด้วยสายตาสนิทชิดเชื้อมากขึ้นราวกับกลายเป็ญาติสนิทเพียงข้ามคืน
โหยวเสี่ยวโม่พอจะรับรู้ได้ว่าคงเพราะลูกชายเขา จ้าวต๋าตัน เขาเองก็เป็ลูกศิษย์อาจารย์ท่านเดียวกัน นับว่าเป็ศิษย์พี่ศิษย์น้อง เมื่อลงเรือลำเดียวกัน ท่าทีที่เปลี่ยนไปแบบนี้ก็พอคาดเดาได้ แต่ท่าทีต่อเขาที่เปลี่ยนไปหาได้มีแต่อาจารย์จ้าวเจินผู้เดียว
ยังมีศิษย์คนอื่นระหว่างทางที่พบปะ คนเ่าั้ต่างทักทายเขาอย่างยิ้มแย้ม ราวกับว่าท่าทีตีตัวออกห่างเมื่อวานเป็เพียงความฝัน
เื่จริงที่ว่า เมื่อน้ำขึ้นเรือย่อมสูงขึ้น คนพวกนี้ก็แสดงความเป็มิตรกับเขา ช่างเป็พวกมนุษย์โลกที่ร้ายกาจเสียจริง
ดีที่โหยวเสี่ยวโม่เป็พวกไม่ใส่ใจเื่พวกนี้มากนัก ไม่เช่นนั้นคงปวดขมับตาย
ทั้งที่เป็ศิษย์สายเดียวกัน ไม่ตั้งใจหลอมยาเพื่อก้าวข้ามทัพ์และทัพวิหคยังไม่เท่าไร ยังมาเล่นแง่เพทุบายในบ้านเดียวกันอีก
ระหว่างทางมีศิษย์บางคนอยากคุยกับเขา แต่โหยวเสี่ยวโม่ก็แกล้งทำเป็ไม่เห็น หอบหญ้าเซียนมากมายตรงรี่กลับเข้าห้อง และเริ่มหลอมยาอย่างขมักเขม่น ระหว่างนั้นไม่มีใครมารบกวนเขาเลย รวมถึงฟางเฉินเล่อที่ตั้งใจมาหาเขาทีแรก แต่ก็ต้องหัวเราะและล้มเลิกความตั้งใจเมื่อได้ยินจากอาจารย์จ้าวกล่าวว่าเขาพึ่งขนหญ้าเซียนกลับไปจำนวนมาก
ศิษย์น้องผู้ขยันขันแข็งคนนี้ ดูท่าอาจารย์จะเลือกคนไม่ผิด
สี่วันผ่านไป ในที่สุดโหยวเสี่ยวโม่ก็ออกจากห้องพร้อมกับใต้ตาดำคล้ำบนใบหน้า
แสงแดดที่แรงกล้า อึก…ช่างแสบตาเหลือเกิน สี่วันก่อน ด้วยความที่อารมณ์พลุ่งพล่านชั่วขณะ จึงไม่ได้ก้าวออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว
ทว่ากลับได้ผลงานที่น่าพอใจ เพราะเขาหลอมยาได้จำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะยาเซียนตันชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ยาทดแทนความหิว ความหมายตรงตามชื่อ หากใช้ยาตัวนี้ไม่ต้องห่วงเื่ความหิวโหย เพียงแต่่เวลาสั้นๆ อย่างที่เขาหลอมสามารถทดแทนความหิวได้ราวสิบวัน
ยาทดแทนความหิวเป็ยาเซียนตันขั้นหนึ่ง ฉะนั้นการทดแทนความหิวทำได้ไม่ยาวนาน
ยานี้ไม่มีอัตราความเสี่ยงในการใช้ เพียงแต่ถ้าคุณภาพยายิ่งสูง ยิ่งมีผลนานขึ้นเท่านั้น
เพราะเหตุนี้ โหยวเสี่ยวโม่จึงเน้นหลอมยาตัวนี้ จนท้ายสุดเขาหลอมยาเม็ดที่ดีที่สุดออกมาจนได้ เพียงแค่กลืนมันเข้าไป ก็สามารถอยู่ได้ครึ่งเดือน ถ้าพูดถึงโอสถขั้นหนึ่งที่คุณภาพระดับล่าง ความยาวนานนี้ถือว่าดีที่สุดแล้ว เพราะโดยทั่วไปคุณภาพระดับล่างนั้นทำได้แค่ห้าวัน ถ้า้าระยะเวลาที่นานขึ้นคงต้องเป็ระดับกลางและระดับสูงเท่านั้น
ว่ากันว่า ยาทดแทนความหิวคุณภาพระดับกลางที่ดีที่สุดนั้นมีผลถึงครึ่งปี คุณภาพระดับสูงคงอยู่ได้สิบปี ก็ไม่รู้ว่าจริงตามนั้นหรือเปล่า
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่โหยวเสี่ยวโม่ก็หลอมออกมาเพียงยี่สิบเม็ดเท่านั้น
หนึ่งคือเพราะเขาเป็มนุษย์โลก เคยชินกับการกินวันละสามมื้อ ถ้าไม่กินเลยก็จะรู้สึกแปลกๆ
สองคือเขาไม่ได้้ายานี้มากเพียงนั้น เพราะยังไงเขาก็ไม่ได้จะเก็บตัวบำเพ็ญเพียรบ่อยๆ พอคำนวณแล้วจึงหลอมเพียงแค่ยี่สิบเม็ด
นอกจากนี้ เขายังหลอมยาอื่นอีกหลายชนิด ทั้งในส่วนที่ต้องให้หลิงเซียวกับเรือนหญ้าเซียน เขาเองก็ยังหลอมเผื่อในส่วนของตัวเอง เพราะเขาตัดสินใจจะลงเขาอีกรอบ เพื่อที่จะขายโอสถแลกกับเงิน เขาตั้งใจซื้อเมล็ดพันธุ์เพิ่ม โดยเฉพาะขั้นหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาคิดว่าน่าจะต้องใช้เมล็ดพันธุ์ที่เยอะกว่านี้
“ศิษย์น้องเล็กเก็บตัวอยู่สี่วัน ในที่สุดก็ยอมออกมาแล้วหรือ?”
ณ เรือนหญ้าเซียน ขณะที่โหยวเสี่ยวโม่กำลังจะล้วงขวดยาจากถุงเก็บของเพื่อส่งให้กับอาจารย์จ้าวนั้น ก็มีเสียงอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มดังมาจากข้างหลัง
โหยวเสี่ยวโม่เหลียวมองพบว่าเป็ศิษย์พี่ใหญ่ฟางเฉินเล่อนี่เอง เขาเองพึ่งออกมาจากด้านใน เห็นโหยวเสี่ยวโม่เดินมาพอดี เพราะว่าตอนนี้พวกเขาต่างก็เป็ศิษย์ร่วมอาจารย์ น้ำเสียงที่คุยกันยิ่งสนิทสนมขึ้นกว่าแต่ก่อน
ั้แ่แรกโหยวเสี่ยวโม่ก็มีความรู้สึกดีกับศิษย์พี่ใหญ่ท่านนี้ ถ้าตัดหลิงเซียวออกไป เขารู้สึกอุ่นใจกับฟางเฉินเล่อมากกว่าอาจารย์เสียอีก
“ศิษย์พี่ใหญ่” โหยวเสี่ยวโม่ยื่นยาให้กับอาจารย์จ้าวแล้วเดินตรงไปหาเขา
“เก็บตัวตั้งสี่วัน ดูไม่ออกเลยเพราะท่าทางเ้าตอนนี้ดูดีกว่าเดิมอีก” ฟางเฉินเล่อเห็นแก้มแดงเขาดูเปล่งปลั่ง มีพลัง ช่างไม่เหมือนคนที่เก็บตัวถึงสี่วัน ประหลาดใจอยู่เนืองนิด สี่วันที่ผ่านมาใครจะรู้ว่าโหยวเสี่ยวโม่ดื่มน้ำทะเลสาบไปไม่น้อยทีเดียว
โหยวเสี่ยวโม่ไม่อาจบอกกับเขาได้ จึงหัวเราะเกร็งๆ พร้อมเกาหัว
ในตอนนี้เอง น้ำเสียงราบเรียบแฝงด้วยความเ็าดังมาจากด้านหลังเขา
“เหมือนว่าข้าไม่อยู่ เ้าจะสุขสบายใจดีนี่”